พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:36 pm
“อาเตี่ยลูกมาก”
ทมยันตี

- vimol-siriphaiboon.jpg (6.72 KiB) เปิดดู 5060 ครั้ง
“อาเตีย” เป็นผู้มีศีล แต่อาเตียกลับมีลูกมากเหลือเกิน หากวิธี “สร้าง” ลูกของอาเตียนั้นผิดแผกจากคนทั้งปวง
“อี๊ด เวลาจะกลับลงไป เอาปลาที่เน นะ ปลาสด ๆ เอาไปทำข้าวต้มปลาเลี้ยงลูก ๆ หวานดี”
“อี๊ด เอาหัวน้ำปลาดีไปใช้บ้างซิ เขาเพิ่งเอามาให้”
รักของเตี่ย คือ “การให้” ไม่มีอะไรที่เตี่ย “ให้” ไม่ได้ รวมทั้งการให้อย่างสูงสุด คือการสอน “คนให้เป็นคน” โดยสมบูรณ์
“อี๊ด อยากมีปัญญาดีไหมล่ะ ?”
ใครบ้างจะไม่อยากมีปัญญา โดยเฉพาะคนที่ หากินทางตัวอักษร ปัญญาย่อมเป็นสารพัดแระโยชน์ ยามใดที่ขาดปัญญา ยามนั้นอาชีพต้องพินาศอย่างแน่นอน
“เตี่ยมีคาถาเรอะ ?”
“เออ ไม่ต้องหากระดาษจดหรอก สั้นนิดเดียว จำง่าย ปฏิบัติง่าย”
แบบนี้คนคอยฟังก็ทำหูกางเป็นหูช้างเท่านั้นเอง
“ถ้าอี๊ดอยากมีปัญญา อี๊ดก็ต้องมีศีลก่อน พอมีศีล จะเกิดสมาธิ พอมีสมาธิ ก็จะเกิดปัญญา”
คาถาบทนี้ของเตี่ย ทำให้คนฟังสะดุ้งใจ เพราะนั่นคือหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ใครก็ตามที่จิตยึดมั่นในความดีงาม จิตย่อมเป็นสมาธิ และสมาธินี้เองจะก่อให้เกิดปัญญาแจ่มกระจ่าง
“อี๊ดไม่เคยถือศีลหรอก เตี่ย”
คนอื่นที่มาหาเตี่ยไม่ค่อยกล้าเถียงเตี่ย หากเราทำเป็นประจำจนเตี่ยเคยว่า
“ไอ้อี๊ดปากมาก”
ทว่าเตี่ยเองก็ชอบให้เถียง เพราะเตี่ยเคยบอกว่า
“คนฟังเงียบ ๆ ไม่รู้ว่ามันเข้าใจหรือเปล่า แต่คนพูดมาก เดี๋ยวก็รู้ว่ามันโง่หรือฉลาด” เรานั้นเถียงทีไร ขยายโง่ทีนั้น แต่ก็อดปากไว้ไม่ได้ตามประสาคนปากไว
“ถ้าอี๊ดไม่ถือศีล อี๊ดยึดหลักอะไรในใจล่ะ ?”
“เวลาอี๊ดจะทำอะไร อี๊ดถามตัวเองทุกทีว่า สุจริตหรือเปล่า ยุติธรรมไหม ถ้าอี๊ดแน่ใจว่า สุจริต ยุติธรรม อี๊ดก็ทำ”
“เออ นั่นแหละ...ใช้ได้ คนสุจริตยุติธรรม อย่าว่าแต่คนเลย เทวดาก็กลัว”
พอเอ่ยถึงเทวดา เตี่ยก็ถามว่า
“อี๊ด อยากเห็นผีไหม ?”
เรื่องนี้ละถูกใจนัก เพราะความอยากจะรู้ว่า ผีมีจริงหรือเปล่า เวลาใครเขาทรงเจ้าเข้าผี เป็นแจ้นไปดู แล้วก็หงายหลังกลับมาทุกที เมื่อเตี่ยถามอย่างงี้ เตี่ยอาจจะจับผีมาให้ดูบ้างก็ได้
“อยากเห็นซิเตี่ย เรียกมาดูเดี๋ยวนี้ได้ไหม ?”
“ได้ซิ”
ลงเตี่ยรับปาก เตี่ยเป็นทำทุกที
“ไหนล่ะ เตี่ย ?”
“มันอยู่ใกล้ ๆ นี่ล่ะ อี๊ดเอ๋ย คนเรา...เวลาตาย คือเวลาหมดสติสัมปชัญญะ หมดความทรงจำแล้วทุกวันนี้ เวลาอี๊ดนั่งคุยกับเพื่อน อี๊ดมีเวลาหมดสติบ้างหรือเปล่า ? ถ้าอี๊ดมีสติฟังเตี่ยได้ตลอด รู้ทุกคำ แม้แต่ว่าอี๊ดนั่งอย่างไร ทำอะไร หายใจอย่างไร เรียกว่ามีสติกำกับทุกอิริยาบถ อี๊ดก็เป็นคนเป็น ถ้าช่วงไหนอี๊ดขาดสติ ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ไม่ได้ยินที่เตี่ยพูด อี๊ดก็ขาดสติ อี๊ดก็กลายเป็นผี ผีมันอยู่ในตัวอี๊ดวันละนาน ๆ อี๊ดยังไม่รู้อีกหรือ ?”
นั่นคือวิธีการสอนเรื่องสติ ที่ทุกวันนี้เรายังไม่แน่ใจว่า เรามีเวลาเป็นผีมากว่าเป็นคนด้วยซ้ำ
“อี๊ดอยาก “เห็น” บ้างไหมล่ะ ?”
โอ๊ย...เนื้อเต้นเชียวละ ก็เวลาติ๊กนั่งสมาธิทีไร เรายังซักเสียแทบตายเลยว่า เห็นอย่างไร เหมือนดูโทรทัศน์ไหม ทำไมได้ยินเสียง ทำยังไงเราจะ “เห็น” มั่ง
“อยากซิเตี่ย”
“ง่ายจะตาย อี๊ดลองเริ่มหัดทำจิตยังงี้ก่อนนะ เวลาจะนอน อี๊ดต้องวางใจไว้ว่า ดีก็ไม่คิด เลวก็ไม่คิด”
เจ้าประคุณเอ๋ย...ตั้งแต่ฝากตัวเป็นทั้ง “ลูก” เป็นทั้ง “ศิษย์” มา เป็นแต่ฝึกจิตเท่านั้น ยังทำไม่ได้เลย แล้วจะมีหน้าไป “เห็น” อะไร ที่เป็นผลพลอยได้ คือสามารถวางจิต “ลง” ให้หลับได้ตามเวลาที่ต้องการ โดยไม่ต้องพึ่งแวเลี่ยมอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ
“อี๊ดอยากได้ ไม้ บ้างไหมล่ะ ?”
“ไม้” ที่ว่าคือ ไม้อ้อยาวประมาณศอกกว่า ซึ่งถ้าเตี่ย “ลง” ให้แล้ว จะเป็น “ไม้ไล่ผี” ดีนัก หากคนที่ได้ไปต้องนำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์ โดยจะเรียกทรัพย์สินเงินทองจากใครไม่ได้ แถมถ้าใครมาเรียกให้ไปช่วยยามไหน ต้องไปยามนั้น จะอิดออดไม่ไปไม่ได้
“ไม่เอาล่ะ เตี่ย” เราเริ่มสั่นหัวดิก
“ขี้เกียจไปตั้งตัวเป็นเจ้าแม่”
“มันขี้เกียจนัก เตี่ยจะใช้ให้เข็ด”
“ไม้” อันแรกที่ทำให้ เผอิญพระมีชื่อองค์หนึ่งเคยได้ไม้อย่างนี้ไป แล้วทำของตัวหาย จึงมาขอเตี่ยไปเสียก่อน เราจึงรอดพ้นจากการเป็น “เจ้าแม่” ไปอย่างหวุดหวิด แต่เตี่ยก็ทำไม้อันที่สองให้เราจนได้
“ไม้นี่ดีนา” เตี่ยโฆษณาสรรพคุณ
“เอาไว้ป้องกันตัว เวลาหมาจะกัดอี๊ด อี๊ดก็เอา ตีหมาเสียซิ”
“แหม ทำยังกับเตี่ยเป็นหัวหน้าพรรคกระยาจก”
เตี่ยหัวเราะชอบใจ และทุกวันนี้ “ไม้” ของเตี่ยก็ยังอยู่บนโต๊ะพระ โดยเวลาสวดมนต์ทีไร ไม้ของเตี่ยก็ตี “ผี” ในใจของเราให้ออกไปได้ทุกที นับว่า ไม้ของเตี่ยศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ
“เอ้า ปรอทของอี๊ด แต่อี๊ดต้องสัญญาก่อนนะว่า ถ้าใครเป็นมะเร็งมาขอยาปรอท อี๊ดต้องทำให้เขาฟรี ๆ เรียกร้องอะไรไม่ได้”
นับจากนั้น คนในบ้านเราก็ต้องทำยาปรอทแจกชาวบ้านเขาจนตาเหลือก...โธ่ อาเตียนะอาเตีย...ตอนนี้ทั้งไข่ ทั้งถ่านแพงหูดับ อี๊ดจะม้วยอยู่แล้ว แต่เมื่อเตี่ยสั่งซะอย่าง อี๊ดก็ต้องทำ
อีตอนที่ “หนักหนา” คือ ตอนที่จะมีลูกคนสุดท้าย เตี่ยมักมองเราอย่างเป็นห่วง แล้วก็พูดภาษาจีนกับติ๊ก โดยไม่ยอมให้เรารู้
“เตี่ยแปลซิ พูดอย่างนี้ อี๊ดจะรู้เรื่องหรือ ?”
“เออน่า อย่าสอดรู้สอดเห็นนักเลย”
วันที่จะออกจากบ้านไปโรงพยาบาล เราไม่รู้เหมือนกันว่า สันนั้นทำไมไม่อยากจากบ้าน ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวลุกขึ้นอาบน้ำตั้งแต่ตีสี่ กว่าจะไปก็ตีห้า แถมตอนนั่งรถ ยังเหลียวดูบ้านที่เปิดไฟไว้สว่างจนลับสายตา หัวใจขณะนั้นค่อนข้างวาบหวิว ห่วงอาลัยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
ลูกคนเล็กคลอดเมื่อเวลา ๐๗.๔๕ น. ด้วยน้ำหนักตัวถึง ๕,๑๕๐ กรัม คือ ๕ กิโลกับอีกขีดครึ่ง นับเป็นเด็กที่แม่คลอดเอง โดยที่มีน้ำหนักตัวมากที่สุด ตอนที่เราฟื้นขึ้นมานั้น พยาบาลเข็นรถลูกเข้ามาให้ดูหน้า เรายังสงสัยตัวเองว่า ทำไมดูหน้าลูกไม่ชัด ทุกอย่างดูคล้ายเป็นหมอกมัว ไ กั้นไว้ แล้วอีกครู่ก็ได้คำตอบ คือมีอาการตกเลือดจนช๊อค อาการแบบนี้นั้นมารู้ทีหลังว่า มีคนตายเสียนักต่อนัก หากเราอยู่ระหว่างความเป็นความตายได้ ๕ วันก็รอด โดยหมอตอบกันไม่ถูกว่ารอดเพราะอะไร หากเมื่อเรากะย่องกะแย่งมาหาเตี่ยในภายหลัง เตี่ยบอกว่า
“ทำไมวันนั้นไม่รีบไปโรงพยาบาล ถ้าอี๊ดไปช้า รถติดตอนเช้า ๆ อี๊ดจะออกลูกตายในรถ”
เตี่ย “รู้” เรื่องนี้ได้อย่างไรก็สุดแต่จะคิดกันเอาเอง
“เตี่ยไม่ให้อี๊ดตายหรอก ลูกยังเล็ก ใครจะเลี้ยงลูก”
ประโยคนี้ก็คือ ประโยคที่เราคิดอยู่ในใจ ขณะที่ “วิญญาณ” เกือบจะลอยล่องออกจากตัวเสียแล้วและเตี่ยก็ “รู้” อีก
เมื่อเราออกจากโรงพยาบาลแล้วนั้น “เลือดของเรายังไม่ปกติ หมอเองก็ค่อนข้างแน่ใจว่า คนไข้คงไม่มีชีวิตอยู่เกินปี เพราะจะต้องผ่าตัดซ้ำสอง เย็บหน้าท้องใหม่”
“อี๊ดมีเงินบ้างไหม ถ้าไม่มีเงิน อี๊ดก็ต้องกินเลือดหมาดำหนึ่งตัวนะ เลือดอี๊ดจะได้เป็นปกติ”
“ไม่เอา เตี่ย สงสารหมามัน”
เตี่ยปรุงยาผสมโสมให้กินพลางปลอบว่า
“เงินหาใหม่ได้นะอี๊ด แต่ชีวิตใหม่มันยากกว่า”
เวลานี้ลูกคนเล็กอายุ ๖ ขวบแล้ว และเราก็ยังมีชีวิตอยู่ด้วยยาของเตี่ยโดยแท้...เตี่ยกับเรามีเรื่องมากจนเขียนไม่หมด เพราะเรื่องเหล่านั้น เท่ากับลูกกับอาเตียจะพึงมีต่อกัน เราเถียวเตี่ยบ้าง ดื้อบ้าง ขู่เตี่ยบ้าง
“เตี่ยกินกาแฟมาก ๆ ไม่ดี เตี่ยต้องผสมโอวัลตินนะ”
“เออ...”
“เตี่ยอย่าสูบบุหรี่มากนักซิ เดี๋ยวก็ไอ”
“เออว่ะ”
วันดีคืนดี เตี่ยก็ถามว่า “อี๊ด ตั้งแต่เขียนหนังสือมา เคยได้รางวัลอะไรบ้างไหม ?”
“ไม่มีใครเขาให้หรอก เตี่ย นอกจากรางวัล ป.ม.”
“เออ คราวนี้อี๊ดจะได้รางวัลจากคนสูงสุดในแผ่นดินเสียด้วย”
เราไม่สนใจ ตนเมื่อได้รับพระราชทานรางวัลตุ๊กตาทองจากเรื่อง “คู่กรรม” โดยรับจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอง จึงนึกขึ้นได้
“อี๊ดดื้อ”
เตี่ยบ่นอย่างนี้เสมอ และบัดนี้...ประดาลูกดื้อทั้งหลายแหล่ ไม่มีเตี่ยคอยสอนอีกแล้ว จะเหลือก็แต่ ความทรงจำอันงดงามที่ “อาเตีย” มีต่อประดาลูก ๆ มากมายของเตี่ยเท่านั้นเอง “ละคร” ของเตี่ยปิดฉากอย่างที่เตี่ยกล่าวไว้ แต่ “ละคร” ของลูก ๆ ยังต้องโลดแล่นต่อไป และเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า พอละครของเราปิดฉาก ที่ ๆ เราจะต้องไปคงไม่ “เรียบ เรียบ” อย่างที่อาเตีย “ส่งข่าว” มา เพราะคนเถียงพ่อเถียงแม่ จะต้องปากเท่ารูเข็มอย่างแน่นอน
“...เตี่ย...ช่วยหน่อยนะ อี๊ดไม่อยากตกนรก อี๊ดอยากเป็นเทวดา...”
“มีสติก่อนซิ อี๊ด อี๊ดจะได้เป็นคน ไม่เป็นผี”
ถ้าเตี่ยอยู่ เตี่ยก็คงสอนอย่างงี้
“แล้วอี๊ดก็ต้องสุจริตเที่ยงธรรม แค่นี้ก็เป็นเทวดา ของง่าย ๆ”
ที่เตี่ยสอนไว้น่ะ ไปถามลูกคนไหนเถอะเป็นจำได้ทุกคน หาก...เราขอถามมายังประดา “ลูก ๆ” เตี่ยทั้งหลายทีเถอะว่า
“ทำได้หรือเปล่า ?”
ร้อยทั้งร้อยก็ต้องตอบอ่อย ๆ ว่า
“เปล่า...”
เราอยากจะถามเตี่ยจังว่า “เตี่ยมีลูกมากเสียเปล่า แต่ไม่ได้ความเลย จริงไหม ?”
ตอนนี้เตี่ยคงรู้แล้วว่า “ลูกมากจะยากนาน” เพราะ “ลูกมาก” และ “ดื้อ” ทั้งนั้น งานศพจึงวิลิศมาหรา ขัดคำสั่งเตี่ย ทุกถ้อยกระทงความ หลักประหยัดมัธยัสถ์ “กินง่าย อยู่ง่าย ตายเงียบ” ของเตี่ยพังเค้เก้ไม่มีชิ้นดี แต่เตี่ยก็อาจจะ “รู้” อีกก็ได้นะว่า การสั่ง “สามวันเผา” ลูก ๆ จะเล่นเสีย “ร้อยวันเผา” ถ้าขืนสั่ง “ร้อยวันเผา” เราคงเผาปีหน้าเป็นแน่แท้ เตี่ยอยากมีลูกมากก็อย่าเสียใจเลยนะจ๊ะ มันดื้อกับเตี่ยได้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นแหละ จากนั้นเตี่ยก็คอยสมน้ำหน้ามันได้แล้ว เพราะมันไม่มีเตี่ยไว้ดื้อรั้นด้วยอีก เวลานี้ พวกลูก ๆ ไม่ใช่ “น้ำตาเช็ดหัวเข่า” หรอกเตี่ย มันเช็ดถึงข้อเท้ากันทุกคนเลยนะจ้ะ
ลูกคนหนึ่งของเตี่ย
ทมยันตี