เสาร์ 20 ก.ย. 2008 11:43 pm
เหรียญฉลอง 70 พรรษา พระพุทธวิถีนายก (เพิ่ม ปุญญวสโน)
วัดกลางบางแก้ว ต.บางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐมโดย รณธรรม ธาราพันธุ์
- img064.jpg (47.79 KiB) เปิดดู 4295 ครั้ง
- img063.jpg (48.22 KiB) เปิดดู 4293 ครั้ง
พระพุทธวิถีนายก เป็นสมณศักดิ์ที่สืบต่อกันองค์แรกที่ได้รับคือ หลวงปู่บุญ ขันธโชติ อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว เมื่อหลวงปู่บุญมรณภาพสมณศักดิ์นี้ก็นำถวายแก่ หลวงปู่เพิ่ม ปุญญวสโน ครองต่อมา
วัดกลางบางแก้ว จะถือเป็นตักศิลาทั้งด้านพุทธาคม สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน และเป็นสถานีอนามัยก็ไม่ผิด เพราะนับแต่สมัยพระปลัดทองผู้เป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่บุญ ท่านก็มีกฤษดาภินิหารเป็นอันมาก แลท่านองค์นี้ยังเป็นปฐมบทแห่งการสร้างยาวาสนาจินดามณีที่ลือลั่นทั่วแผ่นดิน
หลวงปู่บุญผู้สืบสานดูเหมือนจะโดดเด่นดังเพชรน้ำงามที่สุดในกระบวนศิษย์วัดกลางบางแก้ว ท่านมีความสามารถทั้งการแพทย์แผนโบราณ เชี่ยวชาญในสมถะ-วิปัสสนากรรมฐานยิ่งนัก เป็นพระเถระที่ถึงพร้อมด้วยอำนาจจิตฤทธิ์อภิญญาอย่างหาตัวจับยาก วางตนสมกับสมณสารูปทุกประการ เหตุนี้ท่านจึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคุณชั้นสามัญที่ พระพุทธวิถีนายก ให้ปกครองมณฑลนครชัยศรี กินอาณาเขตหลายจังหวัด อาทิ นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี เป็นต้น
เรื่องขลังก็นับว่าท่านเป็นหนึ่ง สำนักวัดกลางบางแก้วได้รับตำราสืบทอดอันเป็นสมบัติของสมเด็จพระพนรัตน วัดป่าแก้ว กรุงอโยธยา ไว้ไม่น้อย หลักฐานคือพระชัยวัฒน์พิมพ์ต่าง ๆ ที่อาศัยตำราการสร้างพระกริ่ง-พระชัยฯ นั่นตำราของสมเด็จพระพนรัตนท่านเป็นผู้คิดค้น
พระคาถาศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดที่หลวงปู่บุญและหลวงปู่เพิ่มอบรมสานุศิษย์ให้ใช้สวดเสมอมาก็มี ชัยมงคลคาถา หรือที่เรียกว่า พาหุง 8 บท อยู่ด้วย พาหุงฯ นี้สมเด็จพระพนรัตนก็เป็นผู้รจนาขึ้นเอง ประคำมหาวิเศษสร้างยากเหลือประมาณ มีอานุภาพขั้นทำศึกเทวดาก็มิกลัวชื่อ ประคำนเรศวรปราบหงสา ก็สมเด็จพระพนรัตนผู้เป็นองค์อาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนี้แลเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้ศิษย์ได้ใช้คุ้มพระวรกายในเวลาศึกสงคราม
ยังไม่นับสรรพวิชาที่วัดกลางบางแก้วได้รับมามากมาย อาทิ เบี้ยแก้ ฯลฯ อัศจรรย์ท่านผู้เป็นเจ้าของวิชาเช่นสมเด็จพระพนรัตนว่าท่านคิดได้อย่างไร ? หากที่น่าอัศจรรย์กว่าคือหลวงปู่บุญซึ่งเป็นผู้สืบทอดท่านเรียนจำทำเป็นหมดทุกวิชาได้อย่างไร ?
จึงทำได้ขึ้นและทำได้ขลังนัก !! นับว่าหลวงปู่บุญเป็นผู้มีบารมีสูงอย่างยากที่ใครจะเทียม ขนาดหลวงปู่เพิ่มผู้เป็นศิษย์ใกล้ชิดได้รับการถ่ายทอดวิชามากที่สุดยังออกปากว่า
“หลวงปู่เก่าท่านเก่งมาก ฉันทำอย่างท่านไม่ได้หรอกจ้ะ” ทำไม่ได้ดังว่า อาทิ กำลังลงตะกรุดเมตตาอยู่ ก็หันไปลงตะกรุดหนังเสือได้ในทันที ท่านจึงว่าทำจิตอย่างนั้นไม่ได้ จิตที่กำลังเอิบอาบด้วยเมตตาธิคุณ จู่ ๆ ให้พลิกเป็นมหาอำนาจศักดาเดชในพริบตา มิใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าไม่ยิ่งด้วยบารมีที่สั่งสมอบรมมานานย่อมทำไม่ได้แน่
หรือเสกพระสะดุ้งกลับทุกพิมพ์โดยพระคาถาที่สวดต้องถอยหลังทั้งหมด เพื่ออานุภาพในทางกลับร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนเคราะห์ร้ายให้เป็นเคราะห์ดี ซึ่งต้องเดินจิตทวนกระแสอย่างที่พวกเราไม่อาจเข้าใจได้ หลวงปู่เพิ่มบอกว่าท่านเคยลองเสกโดยวิธีที่หลวงปู่บุญสอนแล้ว แต่ขณะจิตหนึ่งท่านสะดุดและกำหนดรู้ได้ว่าหากฝืนทำต่อไปจะเป็นอันตรายมาก จึงต้องหยุด
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลวงปู่เพิ่มไม่มีพระพิมพ์สะดุ้งกลับให้สานุศิษย์บูชา แต่ขอบอกว่าท่านไม่ใช่พระธรรมดา ๆ นะ ที่ว่าทำตามหลวงปู่บุญไม่ได้น่ะเพียงแค่บางอย่างซึ่งนั่นเป็นเรื่องวาสนาบารมีของการอบรมมาหลายภพชาติ ไม่เกี่ยวกับเก่งหรือไม่เก่ง
คนกระดูกเป็นพระธาตุยังธรรมดาอยู่หรือ ? คุณสุธน ศรีหิรัญ ศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่เพิ่มเคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งย่องไปกราบหลวงปู่ท่านเงียบ ๆ เพราะเห็นท่านกำลังเสกเบี้ยแก้อยู่ พักหนึ่งก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นเบี้ยแก้นับสิบตัวในถาดทำเสียงกุกกักมีอาการขยับออกเดินดังมีชีวิต แต่ละอันใครหันไปทางไหนก็เดินกุบกับกันไปทางนั้น ขนาดปีนถาดออกมาเดินบนกระดานก็หลายตัว
ขณะที่คุณสุธนกำลังขนลุกขนชันอยู่นั้นหลวงปู่เพิ่มก็ลดมือที่พนมลงพร้อมกับลืมตาขึ้น ทันทีนั้น ! ชาวเบี้ยแก้ก็หยุดเดินราวกับนัดกัน หลวงปู่ถามเรียบ ๆ ว่ามานานแล้วหรือพลางเอื้อมมือไปหยิบเบี้ยที่อยู่นอกถาดเข้ามาเก็บตามเดิม จากนั้นก็คุยธุระเรื่องอื่นไปโดยไม่พูดถึงสภาวะปาฏิหาริย์ตรงหน้าเลยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เยี่ยมยุทธ์ไหม ? ขนาดทำ
ธาตุตาย ให้กลายเป็น
ธาตุเป็น ได้ คงไม่ต้องห่วงเรื่องการเสกอะไรต่อมิอะไรว่าจะขลังหรือไม่เพียงใด
โดยจริตหลวงปู่เพิ่มแล้วท่านเป็นพระที่ทรงเมตตาล้นพ้น แม้การปกครองพระ-เณรก็เป็นไปอย่างพ่อกับลูก ปู่กับหลาน ทุกชีวิตท่านให้ความเมตตาเท่าเทียมกันหมด แม้หมาแมวมาเลียมาพันแข้งพันขาท่านก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าว หากท่านจะเดินก็เพียงอุ้มออกไปวางที่อื่นไม่หยาบคายกับมัน ท่านบอกว่าพวกนี้ล้วนเคยเป็นคนมาก่อน แต่มีกรรมบางประการจึงต้องมาเกิดเป็นสัตว์
ท่านว่าเรื่องอย่างนี้หลวงปู่เก่าหยั่งรู้ได้ดี หลวงปู่เก่าหรือหลวงปู่บุญเคยบอกให้หลวงปู่เพิ่มดูหมาแมวในวัด บอกตัวนั้นชาติก่อนเป็นนายนั่นนางนี่ อยู่บ้านนั้นบ้านนี้ตายแล้วมาเกิดเป็นหมาเป็นแมว ครั้นหลวงปู่เพิ่มสังเกตดูก็สมจริง ด้วยพอลูกหลานของคนดังกล่าวมาทำบุญที่วัด หมาหรือแมวที่หลวงปู่บุญพยากรณ์ไว้จะวิ่งไปคลอเคลียแสดงความรักใคร่อย่างประหลาด
อัศจรรย์ในญาณรู้ของท่านนัก หลวงปู่เพิ่มเองก็เป็นผู้ทรงอภิญญาญาณไม่ด้อยไปกว่าหลวงปู่บุญ แต่จริตนิสัยที่เรียบร้อยไม่ผาดโผนจึงดูคล้ายท่านไม่มีอะไร ซึ่งที่จริงไม่ใช่เลย จิตท่านเต็มไปด้วยพลังมหาศาลอันฝึกฝนไว้ดีแล้ว ครั้นถ่ายเทลงวัตถุใดสิ่งนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นวัตถุมหามงคล
ด้านวิชาอาคมนอกจากจะได้รับการถ่ายทอดจากหลวงปู่บุญองค์อาจารย์โดยตรงแล้ว พระอุปัชฌาย์ของท่านก็ให้ความเมตตาต่อท่านมาก มักอบรมท่านเสมอเมื่อเวลามาพักค้างที่วัดกลาง ฯ นาน ๆ ด้วยอุปัชฌาย์หลวงปู่เป็นสหธรรมิกรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับหลวงปู่บุญเป็นที่สุด
ท่านชื่อ สมเด็จพระสังฆราช แพ ติสสเทโว สมเด็จพระสังฆราชชอบสนทนากับหลวงปู่บุญนัก โดยเฉพาะการแลกวิชานั้นมีเป็นประจำ เชื่อว่าการสร้างพระชัยวัฒน์ของหลวงปู่บุญน่าจะได้ตำรามาจากพระสังฆราชแพเช่นกัน เพราะพระสังฆราชสร้างพระกริ่งรุ่นแรกครั้งสมณศักดิ์ที่ พระเทพโมฬี ตรงกับปี พ.ศ. 2444 ซึ่งหลวงปู่บุญก็เริ่มสร้างพระชัยวัฒน์ในปีนี้เช่นกัน
ศิษย์ของสมเด็จพระสังฆราชแพที่เก่งกาจก็ไปจากสำนักวัดกลาง ฯ ด้วย คือ พระศรีสัจจญาณมุนี (สนธิ์ ยติธโร) เห็นชัดว่าความสัมพันธ์ของสองสำนักนี้ลึกซึ้งยาวนานมาก หลวงพ่อพา วัดระฆังโฆสิตาราม ผู้รังสรรค์ พระระฆังหลังฆ้อน อันลือลั่นก็มากราบนมัสการต่อวิชากับหลวงปู่บุญอยู่เป็นประจำ หลวงพ่อแช่ม อินทโชโต วัดตาก้อง ก็ศิษย์หลวงปู่บุญ ไปมาหาสู่จนคุ้นเคยกันดีกับหลวงปู่เพิ่มแต่วัยเยาว์ หลวงพ่อเงิน จันทสุวัณโณ วัดดอนยายหอม เคารพหลวงปู่บุญและหลวงปู่เพิ่มมากเรียกหลวงปู่เพิ่มว่าหลวงพี่ทุกคำ
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความปรีชาในหลวงปู่บุญ ทำให้หลวงปู่เพิ่มได้รับอานิสงส์จากครูบาอาจารย์ที่แวะเวียนมาวัดกลางบางแก้วไม่ขาดสาย ได้กราบได้รับใช้ใกล้ชิด ได้เรียนวิทยาคุณจากพระเถระที่ทรงอภิญญาอย่างต่อเนื่อง หล่อหลอมให้หลวงปู่เพิ่มแกร่งขึ้นทุกวัน
หลวงปู่เพิ่มมีเหรียญรูปท่านเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2504 จากนั้นก็สร้างมาเรื่อยโดยทางวัดบ้าง เอกชนบ้าง ทุกรุ่นมีประสบการณ์กล่าวขานอย่างกว้างขวางตลอดมา
จวบจนปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่เพิ่มมีชนมายุได้ 92 ปี และอุปสมบทมาเป็นเวลา 70 พรรษาแล้ว คุณสุรินทร์ ฮวดควร ศิษย์ใกล้ชิดท่านหนึ่งมีความเห็นว่า วโรกาสมงคลนี้ควรได้ทำเหรียญที่ระลึกขึ้นมาสักรุ่น
- img062.jpg (62.52 KiB) เปิดดู 4287 ครั้ง
จึงนำความกราบเรียนหลวงปู่เพิ่ม ซึ่งท่านก็อนุญาตด้วยดี โดยคุณสุรินทร์มีวัตถุประสงค์ในการสร้างว่า
1. แจกเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ทหาร-ตำรวจที่รักษาชาติ แต่ถ้าการนี้มีผู้ร่วมทำบุญก็จะรวบรวมปัจจัยเก็บไว้บูรณะปฏิสังขรณ์กุฏิหลวงปู่
2. ถวายหลวงปู่แจกเป็นทานแก่ศิษย์ทั่วไปโดยไม่คิดมูลค่า
3. เหรียญที่เหลือบางส่วนจะมอบเป็นระลึกแก่ผู้ร่วมทอดผ้าป่ากับคุณสุรินทร์ ฮวดควร ณ วัดคอบมะม่วง จ.ชุมพร
ซึ่งการแจกทหารตำรวจนี้แท้จริงเป็นดำริของหลวงปู่เพิ่มที่มีมานานเนกว่า 2 ปีแล้ว ด้วยท่านได้เห็นภาพของทหาร-ตำรวจที่ได้รับอันตรายจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์อยู่เป็นประจำ ท่านจึงอยากทำของเพื่อช่วยเหลือโดยท่านกล่าวว่า
“ถ้าเขาใช้ก็ดี…” คุณสุรินทร์จัดทำเหรียญขึ้นมาทั้งสิ้น 23,019 เหรียญ แบ่งออกเป็น
1. เหรียญทองคำแท้ จำนวน 12 เหรียญ (สร้างตามสั่งจอง)
2. เหรียญเงินบริสุทธิ์ จำนวน 307 เหรียญ (แจกเฉพาะกรรมการทอดผ้าป่า)
3. เหรียญนวโลหะพิเศษ จำนวน 2,700 เหรียญ
4. เหรียญทองแดง 20,000 เหรียญ
ซึ่งแต่ละเนื้อโลหะหลวงปู่เพิ่มเมตตาจารแผ่นยันต์หลายแผ่นนำไปหลอมด้วย โดยเฉพาะเนื้อนวโลหะพิเศษนั้นได้ใช้ช่อชนวนพระชัยวัฒน์ของหลวงปู่บุญล้วน ๆ มาหลอมแล้วปั๊มเป็นเหรียญโดยผสมทองคำบริสุทธิ์กับเงินลงไปเล็กน้อยเท่านั้น
กำหนดเสกที่มีขึ้นเป็นการวางฤกษ์โดยองค์หลวงปู่เอง เป็นที่ทราบกันดีว่านอกจากด้านจิตตภาวนาแล้ว หลวงปู่เพิ่มท่านยังเชี่ยวชาญในโหราศาสตร์การวางฤกษ์ยามยิ่งนัก ถ้าท่านให้ฤกษ์ผู้ใดไป ย่อมเป็นดังที่ท่านกล่าวทุกประการ
เมื่อวัตถุประสงค์ของท่านคือการแจกทหาร-ตำรวจ จำเป็นต้องวางฤกษ์ที่มิใช่เมตตาหรือค้าขาย หลวงปู่จึงกำหนดลงที่ เพชฌฆาตฤกษ์ อันเป็นฤกษ์ยามที่แรงกว่าโจโรฤกษ์ เป็นฤกษ์ที่พระองคุลีมาลถือกำเนิดขึ้นในโลก
เพชฌฆาต แปลว่า ผู้ฆ่า ดังนั้นฤกษ์นี้จึงเหมาะแก่ผู้มีอาชีพฆ่าสัตว์ เช่น เพชฌฆาต นายพราน ชาวประมง หรือ ทหาร ตำรวจ ก็จัดเข้าด้วยกัน เป็นฤกษ์ที่เหมาะแก่การฝ่าฟันอันตรายและอุปสรรคนานา การปราบปรามอริราชข้าศึกศัตรู ตัดสินคดีความ หรือแม้ประกอบพิธีกรรมไสยศาสตร์ทางมหาอำนาจ มหาอุด คงกระพันชาตรี ก็นับว่าเหมาะที่สุด
หลวงปู่จึงกำหนดฤกษ์นี้ ถือเป็นเหรียญรุ่นแรกและรุ่นเดียวที่หลวงปู่เจาะจงให้เป็นเหรียญภาค ปราบ มิใช่ภาค โปรด ดังที่เคยเป็นมา สงเคราะห์ได้ว่าเป็นวัตถุมงคลฝ่าย บู๊ อย่างแท้จริง
กำหนดเสกมีขึ้นก่อนวันคล้ายวันเกิดท่านราว 10 กว่าวัน ในปีนี้วันเกิดท่านตรงกับวันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2520 และหลวงปู่ก็เสกเดี่ยวมาตลอดสิบวันเศษก่อนจะประกอบพิธีมังคลาภิเษกอีกถึง 2 ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี
ต่อมาวัดได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้ทราบกำหนดการนำเหรียญไปมอบเพื่อแจกทหาร-ตำรวจที่ไปรบ จากนั้นหลวงปู่ได้มอบหมายให้พระธรรมธร (มล) รองเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้วเป็นตัวแทนนำเหรียญทองแดงจำนวน 5,000 เหรียญ ไปมอบให้รมต.กระทรวงมหาดไทยในวันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2520 เป็นอันเสร็จเรียบร้อยสมเจตนารมณ์ของหลวงปู่
ชัดเจนว่าเหรียญนี้ทรงคุณค่าทางด้านจิตใจมาก เหตุเพราะเป็นความปรารถนาที่จะสงเคราะห์รั้วของชาติโดยหลวงปู่ดำริเองประการหนึ่ง เพราะไม่มีใครคิดเรื่องการค้าพาณิชย์เลย แม้ผู้สร้างเองก็สร้างถวายสนองพระเดชพระคุณอย่างมิได้คำนึงถึงผลกำไรแต่อย่างใดประการหนึ่ง เพราะหลวงปู่พิถีพิถันในการเสกมากถึงขั้นวางฤกษ์ที่แข็งสุด ๆ เพื่อหวังการป้องกันภัย ชนะศัตรูอีกประการหนึ่ง
สามประการดังกล่าวไม่ใช่จะบอกว่าดีกว่าเหรียญรุ่นอื่น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยให้หลุดมือเมื่อเจอ บอกเล่าเก้าสิบในฐานที่รักกันมาจนขนาดนี้ ยังต้องให้แนะนำอีกไหมว่า...
เช่าเถอะครับ...เช่าเถอะครับ...