Switch to full style
รวมบทความที่น่าสนใจต่าง ๆ จากนักเขียนชื่อดัง และ ผู้ที่ทรงภูมิความรู้มากมาย
ตอบกระทู้

เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 7:02 am

เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ
ของ หลวงพ่อกัสสปมุนี
วัดปิปผลิวนาราม ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง

DSC09610.jpg
เหรียญนิโรธสมาบัติ รุ่นแรก ปี 18 หลวงพ่อกัสสปมุนี (ด้านหน้า)
DSC09610.jpg (70.42 KiB) เปิดดู 8616 ครั้ง


ในกาลก่อน อำเภอบ้านค่ายมีพระผู้เฒ่าที่เรืองวิชาอยู่หลายองค์ด้วยกัน รุ่นใหญ่จริงก็ต้องหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย และ หลวงพ่ออ่ำเรือเก่า วัดหนองกระบอก สององค์นี้ถือเป็นบูรพาจารย์แห่งไสยวิชาผู้ถ่ายทอดภูมิรู้แก่ศิษย์ได้กว้างขวางที่สุด

ถามใครดูก็ได้ ว่าวิชาที่พระระยองสมัยปัจจุบันใช้สงเคราะห์ญาติโยมอยู่นั้นได้มาจากที่ใด

หากแท้จริงยังมี "ดังเงียบ" อยู่อีกหนึ่งคือ หลวงปู่สังข์เฒ่า ผู้เป็นญาติผู้ใหญ่ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ว่ากันว่าท่านองค์นี้ขลังขนาดเพ่งน้ำฝนที่รั่วหยดหลังคาให้จับตัวแข็งเป็นก้อนอุดรอยรั่วได้ และบ้วนน้ำลายลงพื้นดิน ดินก็แตกเปรี๊ยะออกจากกันทันที

ขลังขนาดนั้น

เป็นแต่หลวงปู่สังข์เฒ่าไม่ปรากฏประวัติที่ชัดเจน ทว่าเลือนลางคลุมเครือเหลือเพียงคำเล่าขานอย่างศรัทธาจนเกือบเป็นตำนาน ทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือเท่าใด คล้ายเรื่องของสำเร็จลุนที่ครูบาอาจารย์หลายรูปเป็นศิษย์มาแล้วจริง ได้พบเจอมาแล้วจริง แต่หาหลักฐานประกอบไม่มี

นี่ก็อีกหนึ่งตำนาน

ดังนั้น พระที่ไม่เป็นตำนานจึงก้าวขึ้นมายืนหยัดอยู่ในหัวใจศรัทธาได้ไม่ยากเพราะมีหลักฐานประกอบชัด ที่เห็น ๆ คือหลวงปู่ทิม อิสริโก และในวันนี้เรื่องของหลวงปู่เริ่ม ปรโม ก็กำลังเป็นที่กล่าวขานขึ้นทีละเล็กละน้อย เชื่อว่าไม่นานคงเป็นอะไรที่ไม่ต่างไปจากหลวงปู่ทิม

ที่กล่าวนามมานั้นเชื่อมั่นกันว่าเป็นพระขลัง นิยมตรงที่วัตถุมงคลทุกรูปแบบอันจะเป็นของท่าน พูดถึงระยองจะพูดได้เพียงพระขลังกระนั้นหรือ ?

เปล่าเลย เพราะที่บวชมาแล้วไม่เน้นขลังก็มีอยู่ ท่านปรารภความเพียรด้วยเป้าหมายเดียวชนิด หนึ่งไม่มีสอง ถึงขนาดประกาศอย่างอาจหาญว่า

อะนิวัตติ ภะวิสสามิ พรหมะจริยะ ปรายะโน
เรามีพรหมจรรย์เป็นที่ไปเบื้องหน้า การถอยหลังกลับของเราไม่มี


เห็นชัดว่าท่านไม่ปรารถนาการเกิดซ้ำแล้ว ๆ เล่า ๆ อีก สิ่งนี้จะเรียกว่าความเพ้อฝัน หรือปณิธานก็สุดแท้แต่จะเรียก หากผมเชื่อในท่านผู้นี้ว่าความต้องการของท่านไม่เป็นโมฆะแน่นอน

ท่านชื่อ หลวงพ่อกัสสปมุนี

หลายคนถามผมว่าทำไมท่านมีชื่อแปลก ๆ อย่างนั้น คำอธิบายมีอยู่ว่า สมัยพุทธกาลท่านองค์นี้ได้เคยถือกำเนิดมาแล้วครั้งหนึ่ง อยู่ในตระกูลที่ชื่อว่า "กัสสปโคตร" มีด้วยกัน 7 คน คือ มหากัสสปะ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ กุมารกัสสปะ อเจลกกัสสปะ และ จุลกัสสปะ

ซึ่งหลวงพ่อกัสสปมุนีในภพชาตินี้ก็คือท่านจุลกัสสปะในชาตินั้นนั่นเอง เมื่อท่านอุปสมบทในพระศาสนาโดยมี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณณสิริ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้ทูลปรึกษาถึงเรื่องนามฉายากับ สมเด็จป๋า ดังที่เล่ามา สมเด็จฯ ก็ทรงประทานฉายาให้ทันทีโดยไม่ลังเลว่า

กัสสปมุนีภิกขุ

หลวงพ่อกัสสปมุนี มีนามเดิมว่า ประยุทธิวรวุธิ อาภรณ์ศิริ เป็นบุตรของ พระพาหิรรัชฏพิบูลย์ (ประวัติ อาภรณ์ศิริ) และ นางพาหิรรัชฏพิบูลย์ (เผื่อน อาภรณ์ศิริ) มีพี่น้องร่วมอุทรอีก
3 คน

หลวงพ่อเกิดเมื่อปี พ.ศ.2452 ท่านเรียนจบที่อัสสัมชัญบางรักในชั้นสูงสุดของสมัยนั้นคือ มศ.6 ตรงกับปี พ.ศ.2471 และท่านได้เข้าทำงานที่กระทรวงการคลังจนถึงปี พ.ศ.2504 ท่านจึงลาออกจากราชการและเข้าสู่ผ้ากาสาวพัสตร์เมื่อปี พ.ศ.2506

ทว่าก่อนบวชนั้น หลวงพ่อเป็นผู้หนึ่งที่ชื่นชอบในการทำกัมมัฏฐานเป็นอย่างยิ่ง ท่านมักใช้วันว่างสงบจิตภาวนาเสมอ โดยเฉพาะ 5 ปีก่อนออกจากราชการท่านเร่งความเพียรอย่างยิ่งกระทั่งเกิดผลอัศจรรย์ในจิตท่านมากมาย

หากใครเป็นนักอ่าน อาจเคยได้ยินชื่อ คุณอรสา โตษยานนท์ หรือ อ.ระสานนท์ ผู้เขียนหนังสือญาณวิเศษจากอดีตชาติ คุณอรสาเป็นอีกท่านหนึ่งที่เคยได้พบหลวงพ่อกัสสปมุนีเมื่อสมัยท่านยังเป็นนายประยุทธิวรวุธิ และได้พบความมหัศจรรย์ทางจิตของท่านจนเชื่อถือใน ฌาน-ญาณ อันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระสงฆ์

ทราบเลา ๆ ว่านายประยุทธิวรวุธิสามารถถอดกายทิพย์ไปดูสถานที่ต่าง ๆ ที่มีผู้มาขอความช่วยเหลือได้ และยังเห็นในสิ่งลึกลับที่คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็น คุณป้าอรสาเองก็มี อะไรดี ๆ อยู่เหมือนกัน จึงเล่าว่านายประยุทธิฯ นั้นเป็นฤาษีและมีอาจารย์เป็นฤาษีถึง 2 องค์

นักบวชในอินเดียสมัยพุทธกาลก่อนพระพุทธเจ้าประสูตินั้น หากมิใช่โยคีหรือพราหมณ์ก็เป็นฤาษีดี ๆ นี่แหละ ฉะนั้น สิ่งที่คุณป้าอรสาเห็นจึงนับว่า "เข้าขั้น"

หลวงพ่อกัสสปมุนีบวชแล้วก็ขวนขวายประกอบความเพียร ท่านไม่รอให้เนิ่นนานช้า ออกพรรษาแล้วก็เที่ยวธุดงค์สู่ยอดภูกระดึง ฝึกฝนจิตตานุภาพเพื่อหวังกำราบกิเลสให้หมดไป หากทางผ่านที่ได้คือ "อภิญญา" ซึ่งท่านชำนิชำนาญอย่างหาตัวจับได้ยากอาจเพราะได้อาศัย "ของเก่า"

ในเมื่อครั้งเป็น "จุลกัสสปะฤาษี"

ครั้นถึงปี พ.ศ.2507 หลวงพ่อก็ตั้งความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะคืนสู่มาตุภูมิในภพก่อน

อินเดีย

เป้าหมายสำคัญของท่านที่จะจาริกสู่สังเวชนียสถาน 4 แห่ง จาริกสู่สถานที่ซึ่งท่านเคยถือกำเนิดมาบำเพ็ญบารมีเพื่อหลุดพ้นเมื่อสองพันกว่าปีก่อนและเหนืออื่นใด เมืองฤาษีเกษ ดินแดนแห่งเหล่าฤาษี โยคี นักสิทธิ์ ผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา

การเดินทางครั้งนั้นมีพระเถระร่วมทางไปเท่าที่ผมจำได้คือ พระครูวิสัยโสภณ (ทิม ธัมมธโร) วัดช้างไห้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ท่านปัญญานันทะ วัดชลประทานราชรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล บางจาก กรุงเทพ และหลวงพ่อกัสสปมุนีผู้มีพรรษาอ่อนสุดในกลุ่ม

รวมถึงฆราวาสที่ติดตามไปทั้งชายหญิงก็หลายสิบชีวิตในทัวร์นั้น วันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อ พขร.แขก เกิดตัดโบกี้ตู้ที่เป็นคณะท่านทิ้งเสียดื้อ ๆ ทำให้ขวัญเสียและลำบากลำบนเป็นที่สุด ไหนจะเรื่องห้องน้ำห้องส้วม ไหนจะเรื่องอาหารการกิน ครั้นออกปากชักชวนกันลองเข็นรถไฟดู คนยี่สิบกว่าคนก็ยังไม่อาจทำให้โบกี้นั้นขยับแม้สักน้อยหนึ่ง ยิ่งระยะทางข้างหน้าไม่ต้องพูดถึงเพราะรางรถไฟนั้นทอดยาวขึ้นเนินเขาไปร่วม ๆ กิโล กว่าจะถึงสถานีอีกแห่งหนึ่ง

เข็นกันจนเหงื่อไหลไคลย้อยก็ไม่เป็นผล คุณเอื้อ บัวสรวงบุรุษหนึ่งในคณะทัวร์เลยหันไปมองหน้าท่านพระอาจารย์วิริยังค์แล้วยกมือพนมนิมนต์ดื้อ ๆ ว่า “อาจารย์ช่วยหน่อยครับ” ท่านอาจารย์วิริยังค์จึงเดินเข้าไปยืนข้าง ๆ ตู้รถไฟบริกรรมภาวนาอยู่เป็นครู่ก็ทำท่าดันและบอกให้ทุกคนช่วยดัน

เท่าไร ๆ ก็ไม่ขยับ

คุณเอื้อจึงหันไปอาราธนาท่านเจ้าคณะจังหวัดยะลา เจ้าคณะอำเภอและท่านพระอาจารย์ทิมพร้อมกันสามองค์ท่านทั้งสามก็ตอบตามตรงว่า “ไม่ได้ฝึกมาทางนี้”

เมื่อสิ้นหนทาง ก็หันขวับมาที่พระบวชใหม่เพียง 1 พรรษาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ยังเหลือแต่หลวงพ่อกัสสปะองค์เดียวเท่านั้น ผมเชื่อว่าคงจะไม่สิ้นหวังเสียทั้งหมด” ว่าแล้วก็ยกมือไหว้

หลวงพ่อกัสสปมุนีจึงถามคุณเอื้อยิ้ม ๆ ว่า “ทำไมมาเจาะจง ก็ท่านเหล่านั้นยังรับไม่ไหวอาตมาภาพจะรับได้ยังไง”

คุณเอื้อได้พูดแกมขอร้องว่า “ถึงอย่างนั้นก็ขอให้หลวงพ่อเห็นแก่ญาติโยมผู้หญิงและคนแก่เถอะครับที่จะต้องโหนตัวขึ้นรถ”

เมื่อสุดวิสัยจะหลีกเลี่ยงหลวงพ่อก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “โยมบอกพวกนั้นให้ดันพร้อม ๆ กัน พอเห็นอาตมาภาพเดินขึ้นหน้ารถก็ดันเลย”

คุณเอื้อรับคำ เพียงหลวงพ่อกัสสปมุนีเดินกำหนดจิตเคียงขนานไปกับตู้รถไฟ เมื่อถึงหน้ารถ ตัวโบกี้ก็เกิดเขยื้อนขึ้นเสียงดังครืดใหญ่เป็นที่น่าอัศจรรย์ ตัวคุณเอื้อเองนั้นยืนจับราวบันไดเหล็กหน้าตู้รถอยู่ด้วยมือซ้าย ครั้นหลวงพ่อเดินเลยไปหน่อยท่านก็ส่งปลายไม้เท้ามาให้คุณเอื้อจับด้วยมือขวา

ทันทีนั้นเอง คุณเอื้อเล่าว่ารู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าแรงสูงดูด กระแสนั้นวิ่งผ่านแขนขวาไปสู่แขนซ้ายและตัวรถก็เลื่อนครืนไปตามราง หลวงพ่อเดินดุ่มนำหน้าไปโดยไม่หันมามองด้านหลังเลย ไม่นานเท่าใดโบกี้เจ้าปัญหาก็ไหลไปจนถึงสถานีปลายทาง

อย่าว่าแต่คณะคนไทยที่ไปด้วยกันจะตกตะลึงถึงขีดเลย แม้แต่แขกเองยังต้องมามุงด้วยเห็นเป็นหนังอินเดีย เพราะตู้รถไฟที่หนาหนักนับสิบตันนั้นก็เกินกำลังลากแล้ว นี่ยัง "จูง" ขึ้นเนินมาได้ระยะทางตั้ง 500 เมตร เลยเป็นธรรมดาที่ต้องมี "แขกมุง"

เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ที่นำชื่อเสียงมาสู่ท่านเป็นอย่างยิ่ง คณะศิษย์นอกจากจะมีความมั่นใจในองค์ท่านมากขึ้นแล้ว ยังเชื่อมั่นในพระศาสนาอีกเป็นเท่าทวี นับว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีจิตตานุภาพอย่างสูงโดยแท้

ภายหลังศิษย์ท่านหนึ่งคือ คุณอร่าม ธรมธัช ได้กราบเรียนถามถึงการกำหนดจิตว่าท่านใช้กำลังจิตอย่างไรอิทธิวิธีหรือ ?

ท่านตอบว่า “อาตมาไม่ได้ใช้อิทธิวิธี แต่ใช้อาโลกกสิณ”

ผมเข้าใจเอาเองว่าท่านคงเพ่งโดยสมาบัติให้เห็นตู้รถไฟเป็นสภาวะที่ว่าง เป็นของที่เบาเลยสามารถลากไปได้ไม่หนัก

ขายโง่อีกรึเปล่านี่

ด้วยเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยท่านบ่อย ๆ เมื่อหลวงพ่อปรารภสร้างพระอุโบสถบนยอดเขา ท่านพ.ต.อ.ประวิทย์ อินทุลักษณ์ จึงขออนุญาตสร้างเหรียญขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมการบุณย์ในวาระนั้น

เนื่องจากท่านผู้พันเคยถูกหลวงพ่อเตือนในวันหนึ่งของต้นเดือนกันยายน พ.ศ.2516 ว่า ให้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นจำนวนหนึ่งและฝึกฝนไว้ เพราะบ้านเมืองจะมีเหตุร้ายแรงในเร็ววันนี้ ลุถึงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2516 กลุ่มนักศึกษาก็พากันประท้วงและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ท่านผู้พันจึงได้นำกำลังที่ตระเตรียมไว้โดยการบอกล่วงหน้าของหลวงพ่อเข้าปฏิบัติภารกิจ และตัวผู้พันเองพร้อมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้เลย จากเรื่องนี้ทำให้ท่านผู้พันมีความเลื่อมใสในหลวงพ่อเป็นอย่างมาก จึงขออนุญาตทำเหรียญรุ่นแรกขึ้น และหลวงพ่อก็อนุญาตอย่างเป็นทางการ

ท่านประวิทย์ได้นำปลอกกระสุนปืนเนื้อทองเหลืองไปให้หลวงพ่ออธิษฐานจิตจำนวนถึง 10,000 ปลอกเศษ หลวงพ่อทำการเสกอยู่นานเป็นอาทิตย์ก่อนจะมอบให้นำไปหลอมเป็นชนวนทำเหรียญ ท่านประวิทย์เล่าว่าปกติโรงหล่อจะไม่รับหลอมปลอกกระสุนปืน เพราะเกรงว่าจะมีดินปืนตกค้างอยู่ในกระสุนและเป็นเหตุให้เบ้าหลอมระเบิด แต่มารดาเจ้าของโรงหล่อได้ตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อกัสสปมุนี ขอบารมีท่านให้งานลุล่วงโดยปลอดภัย ปรากฏว่าไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใด ๆ เลย

เมื่อได้ชนวนทองเหลืองมาแล้วก็นำไปปั๊มเป็นเหรียญทว่าเนื้อชนวนที่จำกัดจึงทำเหรียญทองเหลืองได้เพียง 1,000 เหรียญเศษ ท่านผู้พันเลยสั่งให้ช่างปั๊มเหรียญทองแดงขึ้นอีก 10,000 เหรียญ และทำการตอกโค้ดกันปลอมไว้ทุกองค์

ผู้การประวิทย์นำเหรียญไปถวายหลวงพ่อที่วัดในปลายเดือนพฤษภาคม ท่านก็เริ่มอธิษฐานจิตปลุกเสกทุกวันไปจวบจนเข้าพรรษาตลอด 3 เดือน

และในวันออกพรรษานั้นเอง ทุก ๆ ปีหลวงพ่อจะเข้า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน เพื่อเป็นการตอบแทนอุปการคุณของเสี่ยไซหรือคุณไพโรจน์ ติยะวานิช เจ้าของโรงงานน้ำตาลใกล้วัด ผู้เป็นปฐมโยมอุปัฏฐากทั้งด้านอาหารและที่สำคัญคือการสร้างวัด

หลวงพ่อบอกว่าไม่เห็นการตอบแทนอะไรจะยิ่งไปกว่าการเข้านิโรธสมาบัติเลย ดังนั้น ท่านจึงเข้านิโรธฯ ทุกปี แต่ไม่ใคร่ซ้ำวันกัน ครั้งแรกนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ.2510 และออกนิโรธฯในวันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ.2510

ท่านเล่าว่าเมื่อท่านเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น กำลังแห่งสมาบัติจะแผ่ขยายไปโดยรอบไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ของในกุฏิทั้งหมดเป็นอันว่า "ศักดิ์สิทธิ์" ทั้งนั้น และอย่าว่าแต่กุฏิเลย วัดทั้งวัด หรือภูเขาทั้งลูกนี้จิตตานุภาพของท่านก็ครอบคลุมไปหมด แม้จะหยิบหินหน้าวัดขึ้นมาสักก้อนหนึ่งแล้วอธิษฐานพกพาก็ยังมีอานุภาพ

สุดยอดไหม ?

เพราะอย่างนี้ผมถึงนิยมพระวิปัสสนาจารย์ที่อธิษฐานจิตเครื่องมงคลมากกว่าพระวิชาจารย์ที่ปลุกเสกของ

แต่เวลาโลภก็ไม่ทันเลือกเหมือนกัน !!

ดังนั้น เหรียญรุ่นแรกและรุ่นเดียวของหลวงพ่อซึ่งถูกสร้างและอธิษฐานในปี 2518 จึงถือว่าเป็นวัตถุมงคลที่ได้รับการเสกยาวนานที่สุดคือ 5 เดือนเศษ พร้อมกันนั้นก็วางอยู่ตรงหน้าท่านเป็นประจักษ์พยานในการเข้าสู่นิโรธสมาบัติของท่านในปีเดียวกัน

รับพลังไปเต็ม ๆ

และยิ่งเหรียญใดตกค้างอยู่กับท่านมาจวบจนท่านละสังขารเมื่ออายุได้ 79 ปี ในวันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2531 ย่อมได้รับการบรรจุอิทธิคุณแห่งสัญญาเวทยิตนิโรธที่ทรงอานุภาพเป็นล้นพ้นทุกปีไป นอกเหนือจากการเสกในทุกวัน

นานถึง 13 ปี

ถึงตรงนี้จึงมีเพียงคำนิยมในคนตาถึงที่จะหาของมงคลเยี่ยงนี้มาบูชา ราคาที่ไม่แพงเลยคงไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ ยังเหลือก็แต่ใจของทุกท่านที่ต้องวัดดูว่ามีศรัทธาหรือไม่

สรีระของหลวงพ่อยังนอนสงบนิ่งอยู่ในหีบมุก รอผู้เลื่อมใสไปกราบนมัสการที่ศาลาหงษ์ยนต์ในวัดปิปผลิฯ ที่นั่นมีอะไรดี ๆ อีกมาก หากท่านใดว่างผมก็ขอเป็นตัวแทนทางวัดเรียนเชิญตรงนี้เลยแล้วกัน หลวงพ่อบอกว่าท่านยังไม่ไปไหน จะอยู่ที่วัดไปจนกว่าอายุครบ 130 ปี ท่านจึงจะไปยังที่ที่ท่านควรไป

ฉะนั้น ขอทุกท่านมั่นใจเถิดว่าท่านยังต้อนรับเราอยู่ที่นั่นด้วยเมตตา แต่เราไม่อาจเห็นและคุยกับท่านได้เท่านั้นเอง ยังเหลือเวลากราบท่านอีก 36 ปีครับ ก่อนที่ท่านจะ "ไป" จริง ๆ

DSC09613.jpg
เหรียญนิโรธสมาบัติ รุ่นแรก ปี 18 หลวงพ่อกัสสปมุนี (ด้านหลัง)
DSC09613.jpg (62.91 KiB) เปิดดู 8606 ครั้ง






Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 7:47 am

อู๊ดมาคนแรกเลย ดีใจ ที่ได้อ่านบทความดี ๆ ขอบคุณครับ (อ่านไปสองกระทู้ ตาลายนิด ๆ แล้ว)

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 8:07 am

ง่วงก็ทานรำแล้วนอนซะนะจ๊ะ :lol:

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 2:04 pm

อ่านสนุกมากเลยครับพี่ต่อ แต่ถ้าตัวใหญ่กว่านี้หน่อยคงอ่านสบายกว่านี้ครับ ว่าแต่เมื่อไหร่เราจะมีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดปริผลิฯอีกครับ เพราะรู้สึกตอนนี้กิเลสต่างๆมันเริ่มกำเริบมากขึ้นอีกแล้ว แย่จัง :(

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 2:19 pm

เรียนคุณพี่ JoJo

ถ้าต้องการให้ตัวอักษรใหญ่ขึ้น ก็กดปุ่ม Ctrl ตรง keyboard ค้างไว้ฮะ แล้วก็เลื่อนลูกกลิ้งตรง Mouse ขึ้นๆลงๆ ตัวอักษรก็จะขยาย หรือ ย่อลงตามใจชอบฮะ

ลองดูนะฮะ

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 2:49 pm

แหม มีเทคนิคเพิ่มลดขนาดตัวอักษรอย่างนี้ด้วย ดีจริง ๆ เพราะสายตาอู๊ดเองก็ม่ะค่อยดีแล้ว

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:14 pm

ขอบคุณมาก คุณเด็กลึกลับ ที่แนะนำแต่สิ่งที่ดี ๆ

และสำหรับคุณjojo ถ้ากิเลสเพิ่ม เราก็อย่าเพิ่มกิเลสสิครับ
ไสฟืนเข้าใส่ไฟเพราะหวังว่าไม้จะไปทับไฟดับนั้น.... เป็นสิ่งที่ไม่มีทางหวังได้ครับ
:)

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 8:40 pm

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆๆครับพี่ต่อ

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 9:03 pm

ขอบคุณที่กรุณาติดตามอ่านเช่นกันครับ

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

จันทร์ 15 ก.ย. 2008 12:07 am

ทดสอบ ทดสอบ
:lol:

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

จันทร์ 15 ก.ย. 2008 1:19 am

เค้าต้องพูดว่า

ฮาโหลเทสท์ ฮาโหลเทสท์ ตะหากครับ

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

จันทร์ 15 ก.ย. 2008 7:03 pm

รู้จักท่านจากพี่ที่ทำงานน่ะค่ะ ทราบว่าท่านนั่งสมาธิต่อหน้าหลวงปู่โต๊ะ 7 ชั่วโมงรวด เรื่องลึกลับของท่านมีเยอะมาก แต่ก็ได้ยินจากที่พี่เค้าเล่ามานะคะ เคยไปวัดท่านอยู่บ้างค่ะ ไปกราบท่านที่ศาลาด้านล่าง แล้วก็ไปสวัสดีเจ้าแม่จำปากะสุนทรี วัดร่มรื่นดีมากเลยค่ะ

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

จันทร์ 15 ก.ย. 2008 9:17 pm

อู๊ด ก็เคยไปครับ ศาลาด้านล่างที่ว่าน่าจะเป็น ศาลาหงษ์ยนต์ (ถ้าจำไม่ผิด) บรรยากาศดีมากๆ ครับ ถ้าไม่นับบรรดาสุนัขกว่าสิบตัว ที่คอยเห่าคนอยู่ตลอดเวลา

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อังคาร 16 ก.ย. 2008 12:30 am

สวัสดีครับคุณรณธรรม

อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าอยากได้เลยครับ..
แต่รู้สึก..."อยากได้มากที่สุด" อ่ะครับ
:lol: :lol:

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อังคาร 16 ก.ย. 2008 12:36 am

ขอบคุณพี่ต่อมากครับที่เตือนสติ และก็ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆ สำหรับข้อแนะนำในวันนี้ เกี่ยวกับเรื่องของ หลวงปู่ฟัก มิฉะนั้นข้าน้อยคงต้องแย่แน่ๆเลย :(

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อังคาร 16 ก.ย. 2008 2:08 am

เรียนคุณศิษย์กวง

ถ้าอยากได้มาก ๆ ขนาดนั้นจริง ๆ ....

ผมจะให้ยืมแม่พิมพ์ครับ..!!

:lol: :lol:

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

อังคาร 16 ก.ย. 2008 2:13 am

JoJo เขียน:ขอบคุณพี่ต่อมากครับที่เตือนสติ และก็ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆ สำหรับข้อแนะนำในวันนี้ เกี่ยวกับเรื่องของ หลวงปู่ฟัก มิฉะนั้นข้าน้อยคงต้องแย่แน่ๆเลย :(



ด้วยความยินดีครับ และต่อ ๆ ไปในวันข้างหน้า อยากให้คุณน้องJoJoตั้ง "สติ" ให้แน่วแน่ในทุก ๆ เรื่องที่เราจะได้สัมผัสกับชีวิตประจำวันของเรานะครับ ท่านพ่อเมืองเคยย้ำกับผมหลายครั้งว่า "สติเป็นบ่อเกิดของธรรม ใครอยากให้ธรรมเกิด พึงมีสติอยู่ทุกเมื่อ"

ถ้าเรากำหนดสติได้เมื่อใด เมื่อนั้น...เวลานั้น.... ก็ชื่อว่าเราปฏิบัติธรรมอยู่ทุกขณะ และได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา

ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติครับ

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

ศุกร์ 19 ก.ย. 2008 8:16 pm

ทดสอบครับ

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

ศุกร์ 19 ก.ย. 2008 8:36 pm

เรียนถามเรื่องเหรียญนี้ด้วยครับ ไม่ทราบว่าcodeที่เห็นด้านหลังเหรียญนี้ มีตรงตำแหน่งอื่นด้วยไหมครับ เพราะผมเคยเห็นcodeเดียวกันนี้ตรงตำแหน่งด้านหน้าเหรียญ ขวามือของรูปหลวงพ่อด้วยครับ แต่เนื้อเหรียญจะเข้มกว่า และไม่ทราบว่า เหรียญพิเศษที่สร้างก่อน1000เหรียญนั้นมีcode ด้วยไหมครับ และจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นเหรียญชุดนั้นครับ ขอบคุณมากครับ

Re: เหรียญแห่งนิโรธสมาบัติ

เสาร์ 20 ก.ย. 2008 12:08 am

เรียนคุณjimmyuro

เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อกัสสปมุนีนั้นถึงแม้จะเป็นเนื้อทองแดงเหมือน ๆ กัน แต่การตอกโค้ดก็จะต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคนที่ตอกเป็นสำคัญ เพราะคนตอกมีด้วยกันหลายคนและไม่ได้ทำงานกันเป็นทีม ไม่ได้รับคำสั่งใด ๆ จากผู้สั่งการ เพราะคนตอกเป็น "ลูกจ้าง" ทั้งนั้นครับ หาได้มีคณะกรรมการผู้สร้างเหรียญเข้าไปควบคุม เมื่อตอกหลายคน ก็มีหลายตำแหน่ง อยู่ที่ความชอบของผู้ตอก ดังนั้น ตำแหน่งของโค้ดจึงไม่ใช่ข้อยุติครับ ให้ดูที่ตัวโค้ดคือลายโค้ดเป็นสำคัญ และพิจารณาความคมชัดของเหรียญให้ดี ซึ่งพื้นเหรียญด้านหน้าที่เป็นพื้นหลังของรูปหลวงพ่อ ช่างแกะได้ทำการแกะพื้นเป็นลายผ้านูนขึ้นมาเป็นริ้วจาง ๆ ของปลอมจะถอดไม่ติดครับ จึงถือเป็นจุดตายอันหนึ่งในการดูเหรียญของท่านนอกเหนือไปจากการดูโค้ด

สำหรับเหรียญเนื้อพิเศษนั้น ท่านผู้การประวิทย์ได้สั่งให้ทำขึ้นจากปลอกกระสุนปืน ซึ่งก็คือ "ทองเหลือง" ดี ๆ นี่เอง ดังนั้น เหรียญชุดพิเศษทุกเหรียญจึงเป็น "เนื้อทองเหลือง" ที่สังเกตได้ไม่ยาก เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บครับผม ถ้าเจอ เก็บให้ผมด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง เพราะขนาดท่านผู้การเองทั้งบ้านยังเหลือเหรียญเดียวเลย
ตอบกระทู้