หลวงพ่อเก๋ สุนันโท วัดแม่น้ำ ตอน การค้นพบตัวตนต้องผ่านการแสวงหาด้วยตนเอง โดย ศิษย์กวง จาก
http://www.oknation.net/blog/sitthi/2008/10/03/entry-1ศีล สมาธิ ปัญญา คืออะไรและเป็นอย่างไร ...ชาวพุทธเชื่อว่าเมื่อมีศีลที่บริสุทธิ์แล้ว สมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดสมาธิขึ้นภายในจิตดีแล้ว จึงจะเกิดปัญญา ว่ากันว่าปัญญานี่แหละเป็นตัวตัดสินการหยั่งรู้หรือการรู้แจ้งในธรรมมะ
ซึ่งคำว่าธรรมะในที่นี้
“หลวงพ่อเก๋ สุนันโท..” หรือ
“ท่านพระครูสุนันทวิริยาภรณ์” อดีตเจ้าอาวาสวัดแม่น้ำ ตำบลบางขันแตก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เคยสอนพวกผมว่า...
“ธรรมะ คือธรรมชาติ เป็นธรรมชาติของโลกและชีวิตจริง ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วนั้น เป็นความจริงอันสูงสุด ประเสริฐสุดในโลก
เรื่องนี้แหละทำให้ข้ามีความมั่นใจว่าสิ่งนี้เองคือทางที่จะต้องดำเนินต่อไปและจะไม่ถอยหลังกลับ...”วัดแม่น้ำเดิมมีชื่อว่าวัดบางนางจีนนอก พื้นที่บริเวณนี้มีวัดอยุ่ติดกันถึงสามวัด ปรากฏหลักฐานเป็นซากของพระอุโบสถเก่าๆอยู่ในบริเวณนี้ถึงห้าหลัง ต่อมาจะยังไงไม่ทราบทั้งหมดได้ย้ายมาอยู่รวมกันกับวัดแม่น้ำ...
วัดแม่น้ำเป็นวัดที่มีความสำคัญมาแต่อดีต ภายในวัดมี
“หลวงพ่อวิหาร” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด สอบถามจากชาวบ้านได้ความว่า
หลวงพ่อวิหารเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ ปางอุ้มบาตร แต่จะมาอยู่ที่วัดแม่น้ำแห่งนี้ได้อย่างไร ไม่มีใครสามารถตอบได้ บางคนบอกว่าเกิดมาก็เจอท่านอยู่ในวัดแล้ว ขณะที่บางคนก็บอกว่าลอยน้ำมา ฯลฯ..
เอาเป็นว่าคำตอบสุดท้ายจะเป็นอย่างไร โดยส่วนตัวของผมแล้ว ผมจะไม่ค่อยให้ความสนใจในรายละเอียดของเรื่องพวกนี้สักเท่าไร
อาจเป็นเพราะตนเองมีความคิดว่า เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ บางทีก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาคำตอบของหัวใจให้มากนัก..และน่าจะปล่อยให้เป็นปริศนาคาใจจะดีกว่า..
ผมว่ามันคือ
“เสน่ห์” ของเรื่องราวพวกนี้ เพื่อนๆลองคิดดูซิครับเรื่องลึกลับแบบนี้ หากเป็น
“สีขาว” จะสนุกอย่างไร มันต้องเป็น
“สีเทา” ครับถึงจะได้ใจ..
แต่ความน่าสนใจเกี่ยวกับ”หลวงพ่อวิหาร” อยู่ตรงนี้ครับ ข้อมูลที่ผมรับทราบคือหลวงพ่อวิหาร(องค์จริง) ถูกเก็บรักษาไว้บนกุฏิ มีพุทธลักษณะ
”ปางอุ้มบาตร” เหมือนหลวงพ่อวัดบ้านแหลม
แต่หลวงพ่อวิหาร(องค์จำลอง) ที่อยู่ในวิหาร มีพุทธลักษณะ”ปางประทานพร” ส่วนเหรียญหลวงพ่อวิหาร(รุ่นแรก) ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๐ ก็เป็นรูปแบบเดียวกับองค์จริงที่อยู่บนกุฏิครับ
ไม่ต้องยึดถือกันตรงคะแนนเสียงก็ต้องบอกว่าปางอุ้มบาตร คือพิมพ์ทรงที่ถูกต้อง แต่ทำไมปางประทานพรถึงมีขึ้นมาได้หรือนั่นคืออีกปางหนึ่งของท่าน หรือเพราะว่านายช่างที่ปั้นรูปจำลองของท่านสัพเพร่า ฯลฯ ตรงนี้ขอติดไว้ก่อนนะครับ..
ชีวิตคนเรายังมีอะไรให้ค้นหาอีกมาก ขออนุญาตข้ามตรงนี้ไปเลยนะครับ เพราะบันทึกน้อยตอนนี้ค่อนข้างยาวและผมยังมีอะไรที่ต้องพ่นอีกมาก....
หลวงพ่อเก๋ สุนันโท ท่านเป็นชาวเพชรบุรีโดยกำเนิด เกิดที่บ้านสระพัง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี โยมบิดาชื่อ จู๋ โยมมารดาชื่อ แป้น นามสกุล ตรีเพชรคง มีพี่น้อง ๖ คน
หลวงพ่อเก๋ท่านเป็นคนที่ ๓ อุปสมบทเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ณ วัดวชิรคาม จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีพระครูธรรมวิถีสถิต (หลวงพ่อโต) วัดคู้ธรรมสถิต เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสุตาภิรัต (หลวงพ่อรอด) วัดบางขันแตก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อทองอยู่ วัดแม่น้ำ เป็นพระอนุสาวนาจารย์...
หลังจากหลวงพ่อเก๋ สอบนักธรรมตรีได้และมีความสามารถในเชิงช่างไม้ หลวงพ่อทองอยู่ เจ้าอาวาสวัดแม่น้ำจึงขอตัวท่านให้มาช่วยงานที่วัดแม่น้ำ
สมัยนั้นหลวงพ่อทองอยู่ท่านมีชื่อเสียงในด้านวิชาอาคมและแพทย์แผนโบราณ เก่งสมุนไพร ว่านยา ทำให้หลวงพ่อเก๋ได้ศึกษาวิชาการต่างๆเหล่านี้จากหลวงพ่อทองอยู่ไว้จนหมดสิ้น
ต่อมาหลวงพ่อทองอยู่จึงได้นำท่านไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์
”หลวงพ่อโต วัดคู้ธรรมสถิต” และ
“หลวงพ่อรอด วัดบางขันแตก” ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิชาอาคมขลัง
นอกจากนี้ท่านยังได้ฝากตัวเข้าเป็นศิษย์ของ
”หลวงพ่อคง ธมมโชติ วัดบางกะพ้อม...” สมัยนั้นวัดบางกะพ้อม ถือว่าเป็นสำนักเรียนวิชาอาคมที่มีชื่อเสียง
บางท่านถึงกับกล่าวกันว่า วัดบางกะพ้อมแห่งนี้นัยว่าเป็นสำนักวัดประดู่ทรงธรรมของอยุธยาเลยทีเดียว ศิษย์พี่ที่มีชื่อเสียงร่วมสถาบันวัดบางกะพ้อมแห่งนี้คือ [b
]“หลวงพ่อเนื่อง โกวิโท”[/b] หรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า
“คุณพ่อเนื่อง” แห่งวัดจุฬามณีครับ
“หลวงพ่อเนื่องท่านมีลูกศิษย์เยอะ คนส่วนมากมักจะไปหาท่านเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องเงินๆ ทองๆ
ยิ่งวันหวยออกคนแน่นวัดจุฬามณี เขาว่าท่านให้หวยแม่น ก็ว่ากันไป แต่ว่าห้ามท้านะเสร็จท่านทุกราย แม่นจริงๆ” พวกผมเคยหยอกล้อหลวงพ่อเก๋ว่า เคยได้ยินคนเขาเล่าลือมาเหมือนกันว่า ท่านเก๋ วัดแม่น้ำก็แม่นไม่เบา เห็นท่านอมยิ้มพลางพูดเบาๆ ด้วยสำเนียงเหน่อๆ...
“อยากฉิบหายให้เล่นหวย....”
“คนเราที่วุ่นวายทุกวันนี้ เพราะมีความโลภเป็นนิสัย ตัดความโลภไปได้ ชีวิตก็จะสบาย บางคนเห็นคนอื่นมี ก็อยากมีอย่างเขา..
พวกเอ็งลองมองดูตัวเองซิ ถ้าทำอะไรได้ไม่เหมือนเขาก็อย่าไปทำเลย มันจะทำให้พวกเอ็งและครอบครัวเดือดร้อนเปล่าๆ...”ว่ากันว่าถ้า [b
]“ความสามารถ” [/b]เป็นตัวปั่นกำไร
“การรู้จักใช้” เป็นตัวปั่นความเชื่อ เมื่อสองอย่างนี้มารวมตัวกันเมื่อไหร่ ก็จะเกิดเป็นพลังงานมหาศาล ยากที่จะเปลี่ยนแปลง...
“จงอย่าไปทำตามอย่างคนอื่น จงทำและจงใช้ ตามความสามารถของตนเอง และจงเป็นผู้ที่รู้จักรักษาสมบัติของตนเองที่มีที่หาได้ นั่นแหละพวกเอ็งก็จะไม่เดือดร้อน...” หลายสิบปีของการเรียนรู้วิชาอาคมและฝึกปฏิบัติ การออกเดินธุดงค์เป็น
“โอกาส” สำคัญ..
เป็น
"มหาวิทยาลัยชีวิต"ที่สอนหลักสูตรภาคเร่งรัดให้พระภิกษุสงฆ์ได้สั่งสมประสบการณ์
“สมัยก่อนเดินธุดงค์ลำบากมาก ถนนหนทางก็ไม่ดี บ้านเรือนก็น้อย บางวันได้ฉันอาหารนิดเดียว บางวันก็ไม่ได้ฉัน บางทีเดินทั้งวันไม่เห็นบ้านคนสักหลัง..
แต่การเดินธุดงค์มันดีเพราะมันเป็นการชำระจิตใจให้ห่างไกลจากกิเลส..
ข้าไปมาหมดแล้วภาคเหนือ ภาคอีสาน เฉพาะแถวภาคกลางนี่เดินหลายปีเลย ไปพระพุทธบาท อยุธยา ถ้าใต้สุดก็ประจวบ....” หลวงพ่อเก๋ ท่านได้ออกเดินธุดงค์แสวงหาสัจธรรมและความรู้ด้านต่างๆอย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้ท่านได้หลายสิ่งหลายอย่างติดตัวเป็น
“ต้นทุน” สำหรับวันข้างหน้าที่ตัวท่านเองมุ่งมั่นลึกๆเสมอมาว่า วันหนึ่งจะต้องถึงเวลากลับไป
“ทดแทน” พระพุทธศาสนาและครูบาอาจารย์..
ท่านหยุดเดินธุดงค์ ด้วยว่าหลวงพ่อทองอยู่ ได้ขอร้องให้ท่านหยุดเดินและช่วยดูแลวัด เนื่องจากหลวงพ่อทองอยู่ท่านชราภาพมากแล้วและต้องการให้ท่านสอนนักธรรมแก่พระเณร...
“เป็นพระสงฆ์ต้องมีธรรมะ ศีล สมาธิ ปัญญา หากพระภิกษุสงฆ์รูปใดขาดซึ่งสิ่งเหล่านี้แล้ว จะเป็นผู้ที่หาความเป็นพระไม่ได้
จะว่าไปสมัยนี้พระที่ไร้ศีล ไร้สมาธิ และใช้ปัญญาในทางที่ผิดยังมีอีกมากจริงๆ...”
คำสอนของหลวงพ่อเก๋ ผมว่าไม่ใช่เฉพาะพระเท่านั้นที่ควรปฏิบัติ มนุษย์อย่างเราๆท่านๆ ก็สามารถนำคำสอนของท่านมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน...
สำหรับผมแล้วเชื่อว่าเมื่อคนเรามีศีล ทำให้เรามีสมาธิ พอเรามีสมาธิ สติปัญญาจะตามมาเอง เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีปัญญาแล้ว เราย่อมจะทำอะไรต่ออะไร หรือเราจะตัดสินใจทำอะไรได้อย่างมีเหตุผล...
ครูบาอาจารย์หลายองค์ที่พวกผมเคยกราบนมัสการ มักสอนพวกเราอยู่เสมอว่า เมื่อ
”นั่งสมาธิ”แล้วอย่าลืมเอา
”สติ”ตามไปด้วย
หรือบางองค์ก็ว่า
“สมาธิเป็นบ่อเกิดของดวงตาธรรม...” เพื่อนผมในกลุ่มถามท่านว่าเวลานั่งสมาธิหลวงพ่อเห็นอะไร..
“เวลาที่ข้านั่งสมาธิ ข้าเห็นธรรม คนอื่นจะนั่งแล้วเห็นอะไรข้าไม่รู้ แต่ว่าข้าเห็นธรรม คนเราถ้าขาดธรรมแล้ว ย่อมไม่ได้รับความเป็นธรรมแน่นอน..”ว่ากันว่าท่ามกลางความมี
”ชื่อเสียง”ของมนุษย์ มนุษย์มักเลือกที่จะนำเอาชื่อเสียงเข้าแลกกับ
”ความสบาย” แต่นั่นย่อมไม่ใช่มนุษย์ที่ชื่อว่าหลวงพ่อเก๋
เนื่องเพราะไม่ว่าชื่อเสียงหรือฐานันดรทางพระจะเสกสรรปั้นแต่งให้ท่านเป็นอย่างไร หลวงพ่อเก๋ท่านก็ไม่เคยมีความคิดที่จะบัญญัติคำว่า
“ความสบาย” ลงใน
"ประมวลกฎหมายของชีวิต.."“คนเราจะเอาอะไรกันมาก พระพุทธเจ้าท่านมีแค่บาตรกับผ้าไม่กี่ชิ้น ท่านยังประกาศคำสอนได้ทั่วโลก....”ฟังแล้วได้ใจครับ..หากว่าเรามองพุทธเจ้าของเราเป็นเช่นคนธรรมดา พระองค์ก็เป็นคนธรรมดาที่มี
”ชื่อเสียง”มาก ชื่อเสียงของพระองค์เป็นที่รู้จักกันทั่วไปของคนบนโลก..
แต่พระองค์ท่านก็ยังอยู่ห่างไกลจากคำว่า
“ความสบาย” หลายต่อหลายเท่านัก การที่พระองค์ทรงดำเนินออกสั่งสอนผู้คน พระองค์ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรเลย นอกจาก
”บาตรใบเดียว...”ธรรมะก็ว่าไปแล้ว คราวนี้มาเข้าเรื่องของคาถาบ้าง....สายน้ำแม่กลองเป็นสายน้ำที่ไหลมาจากจังหวัดกาญจนบุรี ผ่านทอดยาวเข้าสู่จังหวัดสมุทรสงคราม สองฝั่งของลำน้ำแม่กลอง
"อุดมสมบูรณ์"ไปด้วยพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายองค์
เช่นหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงพ่อตาด วัดบางวันทอง หลวงพ่อช่วง วัดปากน้ำ หลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย หลวงพ่อบ่าย วัดช่องลม หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ฯลฯ
ซึ่งหลวงพ่อ หลวงปู่เหล่านี้ในอดีตที่ผ่านมา ทุกท่านล้วนมีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป และก็เป็นโชคดีของพวกเราครับ ไม่ทันเกจิรุ่นปู่แต่มีโอกาสได้สัมผัสเกจิรุ่นหลาน...
“สมัยก่อนอยากได้วิชา ก็เลยไปฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชากับครูบาอาจารย์ในละแวกนี้ เดินไปบ้าง ติดเรือเขาไปบ้าง..”
“โชคดีที่มีอาจารย์หลายองค์ แต่ละองค์ก็เป็นหนึ่งในแต่ละด้าน มีดีกันคนละอย่าง บางองค์เก่งหมอยา บางองค์เก่งตะกรุด..”บรรดาครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้หลวงพ่อเก๋ ไม่มีองค์ไหนเลยที่จะสอนให้หลวงพ่อมีความละโมบโลภมาก เห็นแก่ตัว ไม่รู้จักพอ..
ดูเหมือน
”เคล็ดลับ”ความสำคัญที่สุดที่หลวงพ่อเก๋ท่านได้รับการปลูกฝัง มิใช่จำนวนปริมาณหรือคุณภาพของวิชาที่เรียน หากแต่เป็น...
”คุณธรรมที่อยู่ในหัวใจ...”“ข้าเรียนทั้งวิชากระทำและวิชาแก้ ครูบาอาจารย์สอนว่าวิชาที่เรียนไม่ได้มีไว้ให้ทำร้ายคน สอนไว้ให้ช่วยสงเคราะห์คน..”
มีเรื่องจริงที่เล่าขานกันทั่วลำน้ำแม่กลองว่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นเด็กชอบเที่ยว ชอบทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ พ่อแม่ว่าก็ไม่เชื่อ เรียนหนังสือก็เพื่อกันตำรวจจับโดยเอาโรงเรียนอาชีวะที่ตนเองเรียนบังหน้า
พอตำรวจจับก็บอกว่าตนเองเป็นนักเรียน ตำรวจก็ไม่อยากทำ เพียงแต่ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป เจ้าเด็กคนนี้ชอบยกพวกไปเที่ยวไล่ตีกับคนอื่น..
จนในงานวัดแห่งหนึ่ง ระหว่างที่เด็กหนุ่มคนนี้แยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน คู่อริเห็นเข้าเลยพาพรรคพวกไล่ฟันเด็กหนุ่มคนนี้ด้วยมีดสะปาต้า ว่ากันว่าฟันแบบไม่เลี้ยง เล่นเอาเสื้อผ้าขาดกระจุย กว่าตำรวจจะมาถึง เจ้าเด็กคนนี้ก็น่วมไปทั้งมีดและไม้ แต่น่าอัศจรรย์คือเมื่อตำรวจให้พ่อแม่ของเด็กนำส่งโรงพยาบาล
หมอที่รักษาหาแผลไม่เจอสักแผล พบแต่รอยฟกช้ำเท่านั้น ส่วนเสื้อผ้าขาดยับเยินไม่มีชิ้นดี ตำรวจสงสัยเลยขอดูว่ามีของดีอะไรในตัว ก็เลยพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีเพียงสายเชือกร่มที่ห้อยคอพร้อมเหรียญหลวงพ่อเก๋เท่านั้น ที่ทำให้เขารอดตาย เหรียญรุ่นนี้ก็เลยเรียกกันติดปากว่า
“เหรียญจิ๊กโก๋”หลวงพ่อเก๋ สร้างวัตถุมงคลครั้งแรกในลักษณะของเหรียญสามแบบ เมื่อพ.ศ.๒๔๙๐ คือ เหรียญหลวงพ่อวิหาร และเหรียญรูปเหมือนท่าน ทรงเรือบดไว้สำหรับแจกผู้หญิง
และที่มีประสบการณ์ตามเรื่องจะเป็นทรงรูปไข่ จะขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย ไว้แจกผู้ชาย ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า
“เหรียญจิ๊กโก๋..”สำหรับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีวัตถุมงคลชุดนี้ติดตัว มีมากมายเหลือเกิน เช่นแคล้วคลาด คงพระพัน เมตตาและปัองกันผี ซึ่งน่าจะเกิดจากงานปลุกเสกเหรียญชุดนี้มีครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อเก๋มาร่วมปลุกเสกหลายองค์
เท่าที่หลวงพ่อเคยบอกพวกผมก็จะมี หลวงพ่อโต วัดคู้ธรรมสถิต หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ ฯลฯ องค์ไหนที่อยู่ใกล้ๆ ท่านจะใช้วิธีเดินทางไปนิมนต์ด้วยตนเอง องค์ไหนที่อยู่ไกลๆ ใช้นั่งเรือขนทรายไปนิมนต์...
ปัจจุบันนี้เหรียญหลวงพ่อวิหารและเหรียญรูปท่าน ทรงเรือบด ยังพอหาได้ในแวดวงพระเครื่อง แต่ทรงจิ๊กโก๋ นานๆ จะมีโผล่มาให้ผู้ที่สนใจน้ำลายไหลเล่นๆ ด้วยความอยากได้...
แต่เห็นหลวงพ่อเก๋ เสกพระได้เหนียวๆอย่างนี้เถอะ ใครอย่าได้แหยมไปถามท่านเป็นอันขาดว่าอยากหนังเหนียว เพราะเพื่อนผมบางคนเคยโดนท่านตำหนิว่า..
“ข้าเป็นพระศีล ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่พระนักเลง...”ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ครับ ท่านก็พูดของท่านอย่างถูกต้องว่าตัวท่านเป็น
”พระศีล ปฏิบัติธรรม” แต่หากย้อนหลังตรวจสอบประสบการณ์ที่เกิดจากผู้ที่มีเหรียญของท่าน บางคนเคยโดนยิงหงายท้องตกลงกลางคูสวน
แต่เขาผู้นั้นไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย ปรากฏการณ์อย่างนี้ไม่เรียกว่า
“เหนียว” ก็คงเรียกใหม่ว่า
“สุดเหนียว..”แหละครับ
แถมท่านยังบอกกับพวกเราด้วยว่าพระของท่านต่อให้สร้างมาดี เสกอย่างดี จึงใช้คุ้มครองเฉพาะคนดี ถึงกระนั้นก็ดี ต่อให้เป็นคนดีก็ยังต้องตาย..ท่านว่า
“มันเป็นเรื่องของเวรกรรม..
ใครสร้างกรรมใดไว้ก็ต้องรับกรรม หากกรรมนั้นยังมีบุญคุ้มอยู่ ก็ยังสามารถป้องกันได้เมื่อยังมีบุญวาสนา
หากเมื่อหมดบุญวาสนาเมื่อไร..เมื่อนั้นแหละกรรมจะส่งผลให้ได้รับความทุกข์อย่างสาหัส...” พักเรื่องเหนียวซึ่งเป็นเรื่องของความรุนแรง มาว่ากันในเรื่องเมตตามหานิยม ใครเห็นใครรัก ใครทักใครชอบกันบ้าง
ของเมตตาที่ขึ้นชื่อว่าแน่สุดๆของหลวงพ่อเก๋ ก็คือ
“ดอกบานไม่รู้โรยเสก..” ซึ่งลูกศิษย์ตลอดจนญาติโยมละแวกวัดรู้ดีว่า นั่นแหละเป็น
”ของเมตตาชั้นเยี่ยม..” สอบถามพระที่นั่งข้างๆหลวงพ่อได้ความว่า...
“สมัยก่อนหลวงพ่อยังไม่ได้สร้างวัตถุมงคล ลูกศิษย์ต่างอยากได้ของที่หลวงพ่อเสก หลวงพ่อเก๋ จึงได้ให้พวกเขาเหล่านั้นไปเก็บดอกบานไม่รู้โรยมาให้ท่าน เพราะท่านจะเสกให้เป็นของเมตตา..
ท่านว่า...ดอกบานไม่รู้โรยเป็นของดี นามของดอกไม้นี้ก็บอกแล้วว่า “บานไม่รู้โรย” ฉะนั้นความมั่งมีมันจะไม่โรยรา....”ครั้งหนึ่งผมเคยถาม
”หลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา” ว่า ตอนนี้มีพระเกจิอาจารย์องค์ไหนที่เก่งๆบ้าง หลวงปู่บอกผมว่า..
“หลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ..” ท่านว่า หลวงพ่อเก๋เวลาเสกตะกรุด เมื่อเสกเสร็จแล้วลืมตามาดู ตะกรุดที่อยู่ในพานมักจะหายไปเสียทุกที..ค้นหาขนาดพลิกแผ่นดินวัดแม่น้ำแล้วก็ยังไม่พบ แต่อนิจจา....
ตะกรุดที่ท่านเสกมันไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ มันลอยไปอยู่บนต้นมะพร้าว ต้นตาล ที่มีอยู่ในสวนข้างๆวัด และผู้ที่พบก็ไม่ใช่ผู้วิเศษที่ไหนทั้งนั้น กลับเป็นคนงานชาวสวนที่ต้องปีนขึ้นไปบนยอดต้นมะพร้าวเพื่อหักปลิดขั้วมะพร้าวให้ตกลงมาจากต้น..
เจอครั้งที่หนึ่งไม่แปลก แต่เจอครั้งที่ขึ้นหลักสิบ จึงรีบมารายงานกับเจ้าของสวนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ทำให้ทราบว่าตะกรุดอันนั้นเป็นตะกรุดของวัดแม่น้ำ ที่หลวงพ่อเก๋ ท่านเสกในตอนกลางคืนและได้หายไปนั่นเอง...
หลวงปู่เมี้ยน บอกผมว่า นั่นแหละเขาเรียกว่า
“สำเร็จกสิณลม..”ครูบาอาจารย์ผู้ทรงภูมิทางด้านนี้ยังกล่าวรับรอง แล้วกับคนภูมิแพ้เรื่องของขลังอย่างเราจะรีรอได้ยังไงเล่าครับ...ย้อนกลับมาพ่นเรื่องของ
“กสิณ” กันหน่อย...
คำว่า
“กสิณ” สำหรับตัวผมแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมโหฬาร เนื่องจากตัวเองไม่มีความรู้ในเรื่องนี้มากนัก เท่าที่สมองน้อยๆ ระดับเด็กอนุบาลพอทราบก็คือว่า...
กสิณ คือ เรื่องของการ
”เพ่งมอง”เพื่อทำให้จิตเป็นสมาธิ จัดว่าเป็นกรรมฐานชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการนำจิตให้เข้าไปยึดติด มีส่วนช่วยส่งผลทำให้จิตเป็นสมาธิไว มีอานุภาพมาก
ดังนั้นการฝึกกสิณจึงเป็นการฝึกสมาธิวิธีหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวิธีฝึกจิตแบบหนึ่งเรียกว่า
"เจริญสมถกรรมฐาน" ส่วนเรื่องของกสิณจะมีกี่อย่างอันนี้ด้อยปัญญาจริงๆครับ แต่เท่าที่รู้จะต้องมี
“ปฐวีกสิณ” กสิณดิน คือ การเพ่งดิน
“อาโปกสิณ” กสิณน้ำ คือ การเพ่งน้ำ
“เตโชกสิณ” กสิณไฟ คือ การเพ่งไฟ และ
”วาโยกสิณ” กสิณลม คือ การเพ่งลม ทำนองนี้แหละครับ
กล่าวกันว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เราเรียกว่า
“ธาตุทั้งสี่” เป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตคนในโลกของความเป็นจริงที่มีคุณค่าและไม่น้อยหน้า ดิน น้ำ ลม ไฟ ตาม
"นัยของกสิณ..."จะให้ไม่สำคัญยังไงเล่าครับ ก็ในเมื่อหลวงพ่อทองอยู่ พระหมอโบราณเคยสอนหลวงพ่อเก๋ไว้ว่า..
“ความผิดปกติของชีวิตกับเลือดลม” มีสาเหตุมาจากธาตุทั้งสี่ ซึ่งถือว่าเป็น”ปัจจัยภายในตัวของเราเอง.....”“ชีวิตคนเราประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ปัถวี อาโป วาโย เตโช ดิน น้ำ ลม ไฟ ปัถวีคือดินอยู่ที่เท้า อาโป คือน้ำลาย น้ำเหลือง วาโยคือลมหายใจ
เตโช คือไฟธาตุที่ให้ความอบอุ่นในกายเราอยู่ทุกวัน ดังนั้นคนเราจึงตายเมื่อไฟธาตุแตก เพราะร่างกายเสียสมดุล....”“ธาตุทั้งสี่ในร่างกายคนเราเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา ตอนเช้าอาจจะยังดีอยู่ ตอนเที่ยงเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง มันเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที
โบราณจึงกล่าวกันว่า ความไข้ที่จะเกิดแก่ร่างกาย มันไม่เลือกวันเวลา เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น...”ตำรายาโบราณบันทึกไว้ว่า..
“เมษายน คนมักเป็นไข้รากสาด เดือนสิบสอง ลมว่าวพัดลงมา ท่านเรียกว่าไข้หัวลมหรือไข้หวัด พอช่วงหน้าฝนคนมักเจอมาลาเรีย และช่วงที่คนเราไม่สบายกันมากก็คือช่วงที่ฤดูกาลมาเจือจุนกัน นั่นคือการที่ความร้อนและเย็นมากระทบกัน...”“ฤดูกาลเปลี่ยนก็ส่งผลกระทบต่อธาตุทั้งสี่ในร่างกายคนเราว่าจะสามารถคงความสมดุลอยู่ได้หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างสัมพันธ์กันไปหมด...ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยภายนอก..”ว่ากันว่า
”การค้นพบตัวตน สำคัญคือต้องผ่านการแสวงหาด้วยตนเอง...” เช่นเดียวกันครับ หลวงพ่อเก๋ ท่านเรียนวิชาการต่างๆ มามาก ทั้งช่างไม้ หมอยา คาถา ฯลฯ เป็นที่รู้กันในกลุ่มของผู้ที่มีคตินิยมในแนวทางนี้ว่า การทำของให้ขลัง ให้เกิดความเสถียร นอกจากวิชาการต้องเข้มแข็งแล้วยังคงต้องพึงพา
“ความจริง” ที่มีชื่อว่า
“เคล็ดลับ...”“ทุกสิ่งในโลกนี้สำเร็จด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ คาถาทั้งหลายทั้งหมดจะต้องใส่ด้วยธาตุทั้งสี่ จึงจะได้ผล..”หลวงพ่อเก๋ สุนันโท หรือท่านพระครูสุนันทวิริยาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดแม่น้ำ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มี
”วิชาอาคมเก่งกล้า” พอๆกับ
“ความเมตตาที่กล้าแข็ง” ปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปนานแล้วครับ ศพของท่านถูกบรรจุอยุ่ในโลง ตั้งอยู่บนกุฎิเพื่อให้ลูกศิษย์และญาติโยมที่เคารพในตัวท่านได้กราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลกับตนเอง..
บันทึกน้อยของผมตอนนี้เขียนระลึกถึงบุญคุณและคุณงามความดีของท่าน ที่ได้สั่งสอนอบรมธรรมะแก่ชาวบ้าน พัฒนาวัดแม่น้ำให้มีความเจริญรุ่งเรือง..และแรงบันดาลใจอีกประการหนึ่งคือท่านเป็นพระสหธรรมมิกองค์สำคัญของ”ครูบาอาจารย์” ของผมอีกหลายองค์ ซึ่งคำว่า
“คนคอเดียวกัน ย่อมรู้ใจกัน..” เป็นนิยามที่ดีที่ใช้อธิบายถึงความสัมพันธ์อันนั้น...ขออนุญาตปิดบันทึกน้อยตอนนี้ด้วยคำสอนของหลวงพ่อเก๋ สุนันโท ครับ
“คนเราเกิดมามิได้พบพระพุทธเจ้าเลย...
แต่ว่าถ้าได้ดำเนินชีวิตของตนเองให้ตรงทางจริยมรรคแปดประการ ถูกต้องตามแบบแผนในการปฏิบัติโดยไม่ทอดทิ้ง และทำอย่างจริงๆ ก็สามารถสำเร็จมรรคผล เป็นอริยบุคคลได้...” สวัสดีครับ
ขอขอบคุณ คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับข้อมูล คุณณัฐวุฒิ เลิศวนานนท์ กับรูปภาพประกอบเรื่อง เพื่อนต่อ สำหรับคำแนะนำที่มีคุณค่า และไม่อาจลืมคุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจที่มีให้อย่างสม่ำเสมอ..