เสาร์ 11 ต.ค. 2008 10:09 pm
หลวงพ่อนพวรรณ วัดเสนานิมิต ตอน เก้าเฮหรือหุ่นพยนต์กับการยืนหยัดที่รากเหง้าของสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
โดย ศิษย์กวง จาก http://www.oknation.net/blog/sitthi/2008/06/13/entry-1
- 01.jpg (25.92 KiB) เปิดดู 3970 ครั้ง
@....เฮกังกิงบาตูปุลุเกรอะเกราเกรา
บาตุลงงันคิวลูปะตูกะตุนตง…..@
ขึ้นต้นเรื่องมาด้วยคาถาบทนี้ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ นักนิยมพระเครื่องทุกท่านต้องทราบว่านี่คือวิชา
“เก้าเฮ” ซึ่งเป็นวิชาที่มีชื่อของสำนัก
“วัดพระญาติการาม” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา...ซึ่งอดีตเคยมีพระเกจิอาจารย์อาคมขลังนามว่า
“หลวงพ่อกลั่น”เจ้าของเหรียญแพงเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย เป็นอดีตเจ้าอาวาสผู้เกรียงไกร……….
- 02.jpg (20.4 KiB) เปิดดู 3969 ครั้ง
ผมได้ติดตามคณะศรัทธาของคุณประจักษ์ เพื่อไปกราบนมัสการ
ท่านหลวงพ่อนพวรรณ หรือพระครูสังฆรักษ์นพวรรณ คุณสาโร เจ้าอาวาสวัดเสนานิมิต ต.บ้านหีบ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อีกองค์หนึ่งในปัจจุบัน ที่มีเชี่ยวชาญในสรรพวิทยาคาถาอาคมอย่างหาตัวจับได้ยาก อีกทั้งประสบการณ์ของวัตถุมงคลที่ท่านสร้างออกมามีประสบการณ์แพร่หลายและเป็นที่เสาะหาของบรรดานักนิยมพระเครื่องทั่วไป….
- 03.jpg (21.73 KiB) เปิดดู 3970 ครั้ง
หลวงพ่อนพวรรณท่านเป็นพระรูปร่างเกินอวบเล็กน้อย ผิวดำ สักยันต์เต็มตัว ด้วยความที่ท่านเป็นคนไทยแท้ๆ ลูกหลานชาวนา และพื้นเพเป็นคนท้องถิ่นนี้ เท่าที่พวกเราสังเกตดูหลวงพ่อนพวรรณ ท่านจะเป็นพระที่พูดจาเสียงดัง พูดตรงๆ หรือที่เราเรียกกันว่า
“ขวานผ่าซาก” นั่นแหละครับ แต่บทที่ท่านคุยติดตลกซิครับ เรียกเสียงฮาดังๆ..ได้รอบวงสนทนาจริงๆ
ดังนั้นเมื่อท่านเข้ามาที่วัดเสนานิมิตแห่งนี้ จงอย่าแปลกใจเลยหากจะได้ยินการสนทนาซึ่งคล้ายๆกับคนกำลังทะเลาะกัน....ยิ่งกับชาวบ้านละแวกวัดและกลุ่มลูกศิษย์แล้วต่างถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าวันไหนไม่ได้ยินเสียงหลวงพ่อซิครับ จึงจะเป็นเรื่องที่แปลก...
ซึ่งผมคิดว่าการที่ต้องมีการพูดคุยเหมือนตะโกน อาจเกิดขึ้นจาก[b
]”สภาพของพื้นที่และทำเลที่ตั้ง”[/b]ของวัดซึ่งอยู่กลางท้องนา ถามว่าระยะห่างจากถนนผ่านท้องนาเข้าไปที่วัดไกลแค่ไหน อยากให้เพื่อนๆ จินตนาการถึงสนามฟุตบอลซักหนึ่งสนาม แล้วลองเอากระป๋องโค้กไปตั้งไปตรงกลาง เปรียบเทียบดูว่าสนามฟุตบอลเป็นท้องนาและกระป๋องโค้กเป็นวัดซิครับ ไกลประมาณนั้นแหละครับ....
ซึ่งบริบทของการสนทนาแบบพูดตรงๆไม่เกรงใจญาติโยมอย่างนี้ หลวงพ่อเมตตาขยายความด้วยน้ำเสียงเหน่อๆ อันดังปนหัวเราะให้พวกเราฟังว่า..
- 04.jpg (23.4 KiB) เปิดดู 3967 ครั้ง
“ทำไมกูต้องสนใจ ถ้าญาติโยมหรือลูกศิษย์จะชอบกู นับถือกู ก็ต้องชอบหรือนับถือที่กูพูดจริง ไม่ใช่เพราะกูพูดเพราะ...อีกอย่างกูก็ไม่ใช้พระรับแขก..”(หัวเราะ)
ครับสิ่งที่หลวงพ่อนพวรรณท่านพูดออกมา ลักษณะที่เป็นตัวของตัวเอง บางทีคล้ายกับเป็นการมั่นใจในตัวเองสูงแบบสุดโต่ง แต่หากเราพิจารณาให้ดีแล้ว สิ่งที่ท่านพูดคือความเป็นจริงล้วนๆ...
ลองถามใจตัวเองดูซิครับว่าเราชอบคนแบบไหน ชอบคนที่พูดจริง หรือคนที่พูดจาไพเราะ..
บนโลกมนุษย์ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังชั่ง ตวง วัด คุณค่าของความเป็นคนจาก
”รูปลักษณ์ภายนอก” ซึ่งหมายรวมถึงคำพูดหวานๆ มากกว่าความเป็นจริง แต่สำหรับหลวงพ่อนพวรรณ
ท่านไม่ใช่...
- 05.jpg (21.13 KiB) เปิดดู 3966 ครั้ง
“วันนี้ไอ้พวกผีบ้า มานิมนต์กูไปเหยียบบ้าน กูบอกมึงไม่ต้องมานิมนต์กูหรอก มึงไปนิมนต์หลวงพ่อ หลวงน้า วัดแถวบ้านมาเจิมเป็นสิริมงคล ไม่ต้องมาเอากู กูก็พระธรรมดา อ้อ..นี่พวกมึงมานิมนต์เพราะว่ากูมีชื่อใช่มั๊ย ศรัทธากูที่ชื่อ ที่กูมีชื่อเสียง ไม่ใช่ศรัทธากูที่เป็นพระ ไอ้พวกผีบ้า...เดี๋ยวกูถีบหน้าหงาย”(หัวเราะ)
อย่างไรก็ตามถึงหลวงพ่อนพวรรณ ท่านจะมีฝีปากที่ร้อนแรงดังมังกรพ่นไฟ แต่
”สิ่งที่พวกเราเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปทั้งหมด”..โดยเฉพาะ...ถ้าคุณค่าความยิ่งใหญ่ของคนวัดกันที่ผลงาน ความยิ่งใหญ่ของพระสงฆ์รูปนี้ก็คงดูได้จากสิ่งที่พวกเราเห็น...
- 06.jpg (16.52 KiB) เปิดดู 3966 ครั้ง
วัดเสนานิมิต ตามที่หลวงพ่อนพวรรณเล่าให้พวกเราฟัง ความว่าเป็นวัดร้างเก่าแก่สมัยตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ซึ่งตัวท่านเองก็ไม่สามารถย้อนระลึกชาติได้ว่าอยู่ในสมัยพระเจ้าอะไร จำได้ก็แต่ลืมตาเกิดมาก็เห็นวัดนี้แล้ว ความตั้งใจมุ่งมันที่จะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้จึงฝังอยู่ในความคิดของท่านตั้งแต่เด็กๆ จนเมื่อท่านบวชและก้าวเข้ามาเป็นเจ้าอาวาสวัดเสนานิมิตแห่งนี้แหละครับ จากสภาพเดิมๆของวัดที่มีแต่เพียง
“โคกเจดีย์ ที่มีก้อนอิฐกระจายอยู่รอบๆ กับต้นมะขามเทศ สองต้น” ปัจจุบันวัดแห่งนี้มีสถานที่สำหรับพระภิกษุสงฆ์ประกอบศาสนกิจค่อนข้างครบถ้วน ซึ่งหลวงพ่อบอกพวกเราว่า เงินที่นำมาบูรณปฏิสังขรณ์วัดก็มาจากการออกร่วมงานพุทธาภิเษก หรือออกวัตถุมงคลในนามของท่านเอง
- 07.jpg (33.58 KiB) เปิดดู 3963 ครั้ง
ถึงตอนนี้คงเป็นการตอบคำถามที่คาใจนักนิยมสะสมพระเครื่องทุกท่าน ที่ได้ตั้งข้อสังเกตกันว่าหลวงพ่อนพวรรณ ท่านเป็นลูกศิษย์สายวัดพระญาติจริงหรือเปล่าหรือเป็นลูกศิษย์สายไหนกันแน่ นอกเหนือไปจากรอยสักรูปจิ้งจกที่ยืนยันการเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง...
- 08.jpg (28.94 KiB) เปิดดู 3965 ครั้ง
“ไอ้ทิดพ่อกูยังเกิดไม่ทันหลวงพ่อกลั่นแล้วกูจะทันได้ยังไง แต่ปู่กูเกิดทันโว๊ย ย่ากูเป็นน้องสาวหลวงพ่ออั้น
- 09.jpg (27.88 KiB) เปิดดู 3961 ครั้ง
ตอนหลวงพ่ออั้นมรณภาพ ย่ากูได้ตำราสืบต่อมาทั้งหมด เขาเรียกว่าเป็นสายกัน อาจารย์กูเป็นฆราวาสอายุเก้าสิบกว่าๆ เป็นลูกศิษย์ทันหลวงพ่อกลั่นแต่ตอนนี้ตายหมดแล้ว มีครูเลื่อน ที่เรียนวิชากระบี่กระบองและคาถาจากหลวงพ่อกลั่น…ครูใหญ่ กูก็ได้วิชาเก้าเฮ...ครูใหญ่ได้วิชาจากหลวงพ่อกลั่นตอนแกอายุยี่สิบกำลังจะไปทหาร...นี่กูพูดเอาแต่ความจริง ไม่ได้โกหกลวงโลก”ซึ่งเกี่ยวกับวิชาเก้าเฮ..นี้หลวงพ่อนพวรรณ ได้อธิบายเพิ่มเติมให้พวกเราฟังพอประดับสติปัญญาน้อยๆว่า
- 10.jpg (22.55 KiB) เปิดดู 3961 ครั้ง
“วิชาเก้าเฮ..ขึ้นต้นด้วย ....เฮกังกิงบาตูปุลุเกรอะเกราเกรา บาตุลงงันคิวลูปะตูกะตุนตง…. เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องของชาตรี คือเป็นวิชาที่ใช้ป้องกันอาวุธ เมื่อมีอะไรมากระทบตัวเราจะกลายสภาพเป็นของเบาดุจนุ่นทั้งหมด ต่างจากวิชาคงกระพัน ซึ่งเป็นวิชาที่ทำให้ร่างกายเหนียวและคงทนต่ออาวุธ”นอกเหนือไปจากวิชาเก้าเฮ...แล้ว ผมเชื่อมั่นว่าอีกวิชาที่หลวงพ่อนพวรรณได้เล่าเรียนมาและอยู่ในความสนใจของกลุ่มชนที่นิยมไสยศาสตร์เช่นกันคือ
“วิชาทำหุ่นพยนต์” ....หุ่นพยนต์คืออะไร ผมคงขอข้ามไปเพราะหลวงพ่อนพวรรณท่านไม่ได้อธิบายตรงจุดนี้แต่หากเพื่อนๆ สนใจลองค้นคว้าดูได้จากสื่อต่างๆ ที่เผยแพร่ออกมาก็คงพอจะได้ความ....หลวงพ่อนพวรรณเล่าเรื่อง
”อาจารย์ที่สอนวิชาหุ่นพยนต์”ให้พวกเราทราบว่า...
“อาจารย์ที่สอนกูชื่อตาลอย แกชื่อลอย โพธิ์เงิน ลอยเรืออยู่ริมคลองหน้าวัดสุวรรณาราม ตาลอยแกเป็นหมอชาวบ้าน กวาดยา ดูหมอ ทำเสน่ห์ ทำหุ่นพยนต์ แกเรียนมาจากหลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ หลวงพ่อแป้น เรียนมาจากหลวงพ่อโนรี พระเขมร “
- 11.jpg (20.94 KiB) เปิดดู 3959 ครั้ง
“กูก็เคยทำ สี่กรก็ทำได้ จะไปยากอะไร เอาหวายลูกนิมิตหรือหวายคล้องช้าง มาสานเป็นตัวหุ่น เสกนารายณ์เข้าไปให้มีฤทธิ์มีเดช หรือมึงจะให้กูสานเป็นเศียรฤษีก็ได้ แต่มึงเอ๊ยกว่าจะได้แต่ละตัวไมเกรนแทบขึ้น สานไป ว่าไป ตอนนี้กูหยุดทำแล้ว ไม่ไหววันหนึ่งสานได้แค่ตัวสองตัว ทำให้คนบูชากันทั้งประเทศ จะเอาไปทำอะไรกิน ยังไม่ทันซื้อปูนเทพื้นศาลากูก็ตายห่าซะก่อน”(หัวเราะ)
- 12.jpg (22.22 KiB) เปิดดู 3960 ครั้ง
ครับ...ตามที่ผมเล่าเรื่องของ
“วิชาเก้าเฮ” หรือ
“วิชาหุ่นพยนต์” เพื่อนๆบางท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ในความเป็นจริงแล้ววิชาต่างๆเหล่านี้คือส่วนประกอบของคนไทยในยุคสมัยเก่าใช้ในการรักษาและกอบกู้เอกราชจากศึกสงคราม
ผมเองก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อย่างเลื่อนลอยเหมือนคนละเมอไร้จุดหมายทุกอย่างที่ผมพูดมีหลักฐานชัดเจน ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ
สำนักดาบพุทไธสวรรค์ ที่สอนวิชากระบี่กระบอง ฟันดาบ หรือ
- 13.jpg (22.99 KiB) เปิดดู 3957 ครั้ง
สำนักวัดประดู่ทรงธรรม ซึ่งเป็นตักศิลาทางไสยศาสตร์ของ
ภาคกลาง เช่นเดียวกับ...
- 14.jpg (22.67 KiB) เปิดดู 3956 ครั้ง
สำนักเขาอ้อที่เป็นตักศิลาไสยศาสตร์ของ
ภาคใต้...ซึ่งทั้งสองวิชานี้ก็มีบรรจุอยู่ในหมวดวิชาเกี่ยวกับพุทธศาสตร์ของทั้งวัดเขาอ้อและวัดประดู่ทรงธรรม และสำนักที่ผมกล่าวอ้างมาทั้งหมดก็มีบทบาทในการต่อต้านศึกสงครามของไทยในอดีต...
ถึงแม้หลวงพ่อนพวรรณ ท่านจะเป็น
”พระขวัญใจ”ของกลุ่มลูกศิษย์ ซึ่งมีหลายๆท่านเป็นนักธุรกิจร่ำรวย เป็นนายตำรวจ ยศใหญ่โต หรือเป็นชาวบ้านที่ประกอบอาชีพทำนาในละแวกอำเภออุทัย จนสามารถ
”ว่ากล่าวตักเตือนหรือจะจิ้ม”ให้ลูกศิษย์คนไหนมาอำนวยความสะดวกได้ตลอดเวลา แต่หลวงพ่อนพวรรณ ท่านก็ไม่ได้ใช้
”อภิสิทธิ์ตรงนั้น”มาบริการตัวท่าน
บ่อยครั้งที่พวกเราจะเห็นว่าหลวงพ่อเลือกที่จะพาตัวท่านเองไปนอนพักอย่างเงียบๆ เพราะไม่สบายและไม่มีรถรับตัวท่านไปรักษา เช่นในวันที่เรามากราบนมัสการท่านในครั้งนี้ เพียงเพื่อไม่อยาก
”รบกวนหรือเป็นภาระ”ของใคร....
- 15.jpg (22.72 KiB) เปิดดู 3955 ครั้ง
“กูจะไปมีอะไรไอ้ทิด...กูไม่มีรถ เจ็บไข้ได้ป่วยกูก็นอนของกูอยู่ตรงนี้ จะไปว่าจ้างรถก็ลำบาก เดี๋ยวมันไม่คิดเงิน กูเสกพระสร้างพระได้ปัจจัยมาก็มาลงที่วัดทั้งหมด นี่ถ้ากูไม่สร้างวัดกูคงมีเงินเป็นสิบๆล้าน แต่มีแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตายแล้วลูกหลานก็มาแย่ง นี่ของหลวงพ่อกู ของหลวงลุงกู หนักๆเข้ากรรมการวัดก็บอก วัดของกู หลวงพ่อของกูบ้าง แย่งกันไม่รู้จักจบสิ้น แย่งกันโคตรโคตร”....ครับคำพูดนี้คือบทสรุปของคำว่าผลประโยชน์ ความโลภ หรือความตะกละ ที่ไม่เข้าใครออกใคร
- 16.jpg (21.14 KiB) เปิดดู 3954 ครั้ง
จากที่มาของคำว่า
“พุทธทาส” ในความหมายของ “หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ” ที่ว่า ข้าพเจ้ามอบชีวิตและร่างกายนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้า,ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า,พระพุทธเจ้าเป็นนายของข้า เพราะเหตุดังว่ามานี้ ข้าพเจ้าจึงชื่อว่า
“พุทธทาส” ....เช่นเดียวกับ..”หลวงพ่อนพวรรณ” ที่ชีวิตนี้ท่านก็”อุทิศ”ให้กับพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ซึ่งในวันนั้นพวกเราได้เห็นท่านให้โอวาทกับพระภิกษุที่เข้ามานมัสการท่านว่า
- 17.jpg (24.48 KiB) เปิดดู 3950 ครั้ง
“ท่านต้องจำไว้ พวกเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พวกเราห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ซึ่งเป็นเครื่องแบบของผู้บริสุทธิ์ หลวงพ่อคู่สวดพาเรามาพูดซักฟอกกลางกลุ่มพระสงฆ์ให้รับรู้ จนไม่มีมลทินเป็นที่รังเกียจของสังคม คณะสงฆ์จึงตกลงรับเราเข้าเป็นพระ ให้สวมเครื่องแบบบริสุทธิ์ เมื่อวานท่านยังตีไก่ นั่งร้องเพลง วันนี้ใครเห็นท่านก็กราบไหว้ เขากราบไหว้ใจบริสุทธิ์ของคนห่มผ้าเหลือง”พวกเราฟังแล้วต้องนั่งกันเงียบ ด้วยไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นหลวงพ่อนพวรรณท่านพูดได้ลึกซึ้งขนาดนี้ ...ความรู้สึกของผมเริ่มเปลี่ยนไป
..”ว่ากันว่าคุณค่าของความเป็นคนไม่จำเป็นต้องมานั่งประเมินด้วยคุณค่าของความยิ่งใหญ่” หลวงพ่อนพวรรณ ท่านอาจจะไม่ใช่พระที่สำรวม เก่งในเชิงคำสอนตามพระไตรปิฏก หรือเป็นพระผู้ประกาศธรรม แต่กระนั้นความคิดหรือความดีที่ท่านหมั่นทำหมั่นสอนอย่างไม่เคยว่างเว้น ก็ส่งผลให้พระที่มีผิวกายสีคล้ำเต็มไปด้วยรอยสักยันต์ เต็มเปี่ยมไปด้วย
”แสงสว่างในตัวเองอยู่เสมอ...”
- 18.jpg (23.27 KiB) เปิดดู 3948 ครั้ง
ที่ผมคิดอย่างนี้ก็เพราะว่าตลอดเวลาของการสนทนาหลวงพ่อนพวรรณ ท่านไม่เคยพูดถึงคุณวิเศษของวัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างออกมาเลย ทั้งๆที่ตัวท่านเองก็สร้างออกมาหลายอย่างและทุกอย่างก็มีประสบการณ์บ่อยๆทำให้ของทุกอย่างหมดจากวัดไปอย่างรวดเร็ว เช่นหุ่นพยนต์ หรือนางกวักสำหรับค้าขาย…
“ไอ้ผีบ้า พวกมึงก็เชื่อกันไปได้มันเป็นอุปทาน มึงอยากขายดี มึงมาเอากูไปช่วยขายซิวะ”หรือเหรียญและตะกรุด
“พระนเรศวรปราบหงสา” ซึ่งได้ชื่อว่า
“มีค่าควรเมือง”
- 19.jpg (25.94 KiB) เปิดดู 3946 ครั้ง
“กูสร้างพระยันต์นี้ไม่ได้มีไว้ให้คนร่ำรวยกันหรือมีไว้ให้ป้องกันปืน ป้องกันระเบิด แต่กูสร้างเป็นอนุสสติรำลึกถึงคุณพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธองค์จะคุ้มครองได้ต่อผู้มีธรรมอยู่ในใจเท่านั้น ไม่ได้ไปหลอกคนให้ไปเช่าไม่ได้ไปหลอกให้คนหลงงมงาย แต่กูสร้างให้เป็นอนุสสติ รำลึก ให้นึกถึงบุญคุณแผ่นดิน นึกถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ผู้กล้าหาญ ที่ได้กอบกู้เอกราชกรุงศรีอยุธยาไว้ไม่ให้เป็นเมืองขึ้นประเทศพม่า”
- 20.jpg (29.5 KiB) เปิดดู 3943 ครั้ง
ครับ....ถ้าเราจะเปรียบ
“พระพุทธศาสนาของเราเป็นดั่งต้นโพธิ์” รากเหง้าของต้นโพธิ์ที่ชอนไชลงไป เปลี่ยนเสมือน
“ศาสนาพุทธของเราชอนไชเข้าไปทุกหนทุกแห่ง ในทุกวัฒนธรรม” ไสยศาสตร์หรือตำราคาถาอาคมที่หลวงพ่อนพวรรณ ท่านร่ำเรียนมาก็คือ
”ส่วนหนึ่งของการถูกชอนไชจากรากต้นโพธิ์ต้นนี้” ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของ
”วัฒนธรรมดั่งเดิมของคนไทย” และเมื่อเราย้อนมองไปดูวัฒนธรรมดั้งเดิมของเรา มันไม่ใช่เป็น
”การถอยหลังเข้าคลอง” หากแต่เป็น
”การยืนหยัดที่รากเหง้าของสิ่งที่ถูกต้องดีงาม”
- 21.jpg (20.07 KiB) เปิดดู 3943 ครั้ง
ถึงตอนนั้นแหละครับพวกเราก็จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า
”ความดี ความจริง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านหลวงพ่อนพวรรณ ท่านได้ทำมาตลอดชีวิตของท่าน.....สวัสดีครับ