โดย รณธรรม ธาราพันธุ์
ครั้งผมศึกษาวิทยาคุณกับครูบาอาจารย์ในสายเขาอ้ออยู่ ท่านเหล่านั้นต่างสอนว่า ธาตุ ทั้งสี่มีความสำคัญมากกับการบรรจุคุณ เพราะเมื่อเราจะประจุคุณพระและอำนาจปราณลงไปแล้ว ถ้าไม่มีกองธาตุรองรับพลังเหล่านั้นก็ไม่รู้จะไปเกาะเกี่ยวอยู่กับอะไร
อุปมาว่าเมื่อวิญญาณธาตุของสัตว์จะมาปฏิสนธิในครรภ์ หากไม่มีธาตุทั้งสี่รองรับวิญญาณเหล่านั้นจะไปเกิดกับอะไร
ดังนั้น ก่อนการเสกจำต้องตั้งธาตุสี่ขึ้นให้สมบูรณ์เสียก่อนและยังแยกอีกว่าเอาธาตุใดตั้งเอาธาตุใดหนุน ด้วยการตั้งธาตุอย่างหนึ่งหนุนด้วยธาตุอีกอย่างหนึ่งจะให้ผลไม่เหมือนกัน เช่น ตั้งธาตุไฟเอาดินหนุนก็เป็นคงกระพัน มหาอุด เป็นต้น
หลวงพ่อสาลีโขเล่าถึงศิษย์ชายคนหนึ่งของท่าน มีศรัทธาไปบวชพระอยู่กับหลวงปู่พรหมา เขมจาโร วัดสวนหินผานางคอย ภูกระเจียว จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่ครั้งหลวงปู่ยังไม่เป็นที่รู้จักแก่ใคร ๆ ทั้งวัดสวนหินเองก็มีสภาพไม่ต่างจากป่าดงดี ๆ นี่เอง
ศิษย์ท่านนั้นเล่าว่าพักอยู่ได้ไม่นานวัน กลางดึกคืนหนึ่งก็เกิดเรื่องประหลาดด้วยว่าวัดทั้งวัดซึ่งเป็นภูเขาทั้งลูกมีอาการสั่นไหวโยกโคลงประดุจเกิดแผ่นดินไหว เมื่อออกมาถามสหธรรมิกก็ไม่มีใครทราบเหตุ
จนสว่างจึงได้กราบเรียนถามเรื่องนี้กับหลวงปู่พรหมา ท่านบอกเล่าอย่างเมตตาว่าเมื่อคืนนี้ท่านสูตรของ(เสกพระนั่นแหละ)และการสูตรท่านต้องตั้งธาตุหนุนธาตุเสียก่อน นั่นเป็นเหตุให้ธาตุทั้งสี่ที่อยู่ในรัศมีจิตถูกปลุกเร้าจนเกิดความเปลี่ยนแปลงสั่นสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหว
นี่คือผู้สำเร็จธาตุ !
ผมจึงบอกเพื่อนพ้องเสมอว่าวัตถุมงคลในหลวงปู่พรหมานั้นไม่โหลดอก ใครมีจงมั่นใจเลยว่าป้องกันตัวได้จริง หากันเอาไว้ ไม่ต้องรุ่นดังหรอกขอแค่เชื่อมือคนสร้างว่าเสกจริงไม่เสริมไม่เกินเป็นแขวนได้ ผมรับรอง (ไม่อยากบอกให้สอบถามคุณอำพลเดี๋ยวจะว่าเชียร์กันเอง)
ใช่ว่ามีเพียงหลวงปู่พรหมาเท่านั้นที่เก่งกาจเรื่องธาตุ ที่จริงพระสงฆ์หรือใครก็ตามที่เรียนวิทยาคุณด้านนี้มาโดยตรงย่อมผ่านการเรียนธาตุมาก่อน ถือเป็นลำดับที่สองต่อจากการเรียนอักขระขอม หากยากตรงที่ใครจะเชี่ยวชาญในการตั้งธาตุจนเกิดเป็นปฏิภาคนิมิตนี่ต่างหากที่สำคัญ
เท่าที่รู้มาพระอาจารย์ในสายวัดเขาอ้อต้อง "เป็น" หมด เพราะด่านแรกที่จะผ่านมาเป็นนักไสยศาสตร์ที่ดีต้องเสกน้ำมันงาให้แข็งเป็นก้อนได้เสียก่อน
เสกเดือดน่ะเด็ก ๆ
เพราะน้ำมันงามีคุณสมบัติที่ไม่แข็งตัวง่าย ขนาดเอาเข้าตู้เย็นเป็นอาทิตย์ยังไม่กระเทือน ถ้าคิดทำให้แข็งด้วยมือเปล่าเป็นอันอย่าหวัง ฉะนั้นคนสักน้ำมันงามาก ๆ จึงขี้หนาวเพราะน้ำมันงามีคุณสมบัติซับความเย็นได้ดี
สายเขาอ้อทุกอาจารย์ล้วนเสกน้ำมันงาจับตัวแข็งได้ มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้งแข็งหรือจาระบี แม้ฆราวาสอย่างอาจารย์ชุม ไชยคีรี ก็ทำได้สะดวกดาย และเมื่อป้อนศิษย์แล้วหากคนนั้นไม่ผิดข้อห้าม เชื่อเถิดว่าคงกระพันตลอดชีวิตและกันคุณไสยได้เด็ดขาดนัก
นอกจากนี้ผู้ชาญธาตุที่ปรากฏชัดก็มี ท่านพระครูศรีฉฬังคสังวร หรือ หลวงปู่เริ่ม ปรโม วัดจุกเฌอ ต.บึง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นี่แหละ องค์นี้น่ะยอดวิทยายุทธเลยเทียว แต่เรื่องของท่านยาวเป็นกิโล จึงขอยกยอดไว้โอกาสหน้าผมจะ เม้าท์ ให้ฟัง
ที่ขาดไม่ได้และใกล้ตัวคือ พระครูภาวนาภิรัติ หรือ หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ หลวงปู่ทิมนี่พูดได้คำเดียวว่า ชั้นหนึ่ง ผมศรัทธาและเก็บพระท่านมาแต่ พ.ศ. 26-27 ตอนนั้นท่านไม่ดังเลย ถ้าว่าดังก็ค่อนไปทางไม่ดี เขาหาว่าท่านเป็นพระเชียร์ แค่พระแก่ ๆ หูก็ตึง
ฟังมันว่า
ทุกวันนี้คนว่าหาพระท่านควั่ก
กิตติคุณในหลวงปู่ทิมทุกวันนี้ปรากฏชัดว่ามิใช่แรงเชียร์ หากท่านไม่ดีจริงแขวนแล้วไม่เกิดประสบการณ์ในทางบวกกับคนแขวน เชียร์ให้ตายก็ขายไม่ออก
ทว่าท่านเป็นพระที่เก่งจริงดีแท้ ผู้ศรัทธาจึงยอมรับด้วยใจ แต่ในวัดละหารไร่ก็ยังมีพระดีซุ่มอยู่อีกรูปหนึ่ง เมื่อแรกท่านไม่ใคร่เป็นที่รู้จักแก่ใคร ๆ สังเกตได้ว่าด้วยเหตุสองประการ อย่างแรกชื่อเสียงหลวงปู่ทิมดังกลบมิด อย่างที่สองท่านผู้นี้แม้มีอายุอ่อนกว่าหลวงปู่ทิมแค่ 2 ปี แต่ท่านก็ยกย่องและเคารพเทิดทูนในหลวงปู่ทิมมากจนไม่อยากเปิดตัว...เคารพมาก...
มากขนาดที่เรียก คุณพ่อ ทุกคำ
ท่านผู้นี้นามว่า หลวงปู่แก้ว เกสาโร
หลวงปู่แก้วมีนามเดิมว่า เชียงคำ เกิดในสกุล คำมี ที่บ้านชนบท ต.ท่าฆ้อ อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันอังคาร เดือน 6 ปีวอก ท่านเคยบวชเณรเมื่ออายุได้ 15 ปีและเที่ยวหาอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณเพื่อศึกษาเล่าเรียน วิชาที่ท่านเรียนนั้นเน้นหนักไปทางคงกระพันชาตรีและมหาอุด ด้วยถูกจริตนิสัยของท่านที่ค่อนไปทางนักเลงมาแต่เด็ก ต่อมาก็ลาสิกขาไปเมื่ออายุได้ 22 ปี
ช่วงชีวิตที่พลิกผันก็มาถึง เมื่อท่านเข้าพวกกับพรานป่าออกล่าสัตว์อยู่นานปีจนพลัดเข้าไปอยู่กับหมู่โจรโดยที่ท่านไม่ทราบมาก่อน ในที่สุดท่านก็จำยอมต้องเข้าพวกร่วมปล้นโดยมีเสือฉิ่งเป็นหัวหน้าและตัวท่านเป็นรอง
อาคมที่ท่านศึกษาเล่าเรียนมาได้ปรากฏชัดจนลือชื่อในระยะนี้เอง เพราะวันหนึ่งเสือฉิ่งคุมพวกเข้าปล้นบ้านนายบุญเพื่อเอาม้าเลี้ยงไปขาย หลวงปู่แก้วในขณะนั้นจึงโดดขึ้นหลังม้าเพื่อควบหนีไป ทว่านายบุญเจ้าของบ้านยกปืนส่องเข้ากลางหลังอย่างจังถึงกับตกจากหลังม้า
ผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหลายไม่ว่าโจรว่าเจ้าของบ้านต่างมั่นใจว่าท่านตายแล้วแน่ ๆ ทันทีนั้นท่านก็ลุกพรวดพราดกระโดดขึ้นหลังม้าควบไปท่ามกลางความตกตะลึงของหมู่โจรและเจ้าบ้าน
ครั้นพวกเสือฉิ่งหนีกลับรังมาได้ก็ขอดูบาดแผลท่านเป็นการใหญ่ สิ่งที่เห็นเป็นแค่เพียงรอยช้ำเป็นจ้ำเป็นจุดเท่านั้น ลูกปืนยาวหาได้ระคายผิวท่านไม่
แต่นั้นมาลูกน้องทั้งหลายก็ขอให้ท่านเป็นผู้สักยันต์ให้ และคนเหล่านั้นได้กลายเป็นเสือติดปีกที่ปล้นฆ่าจนสร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้านเป็นอันมาก การปราบปรามของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ยังไม่สามารถทำอะไรโจรห้าร้อยพวกนี้ได้เลย
ท่านตั้งใจสักให้ลูกน้องเพื่อหวังคุ้มภัย แต่คนเหล่านั้นกลับไปเที่ยวก่อภัย ท่านเกิดความสลดสังเวชใจจึงเลิกสักให้ใครมานับแต่นั้น
สมัยฆราวาสท่านหนีอาญาบ้านเมืองไปอยู่ที่ใดท่านก็ได้ภรรยาที่นั้นทุกคราวไป ท่านหลบเจ้าหน้าที่มาเรื่อยและได้กบดานเงียบอยู่ที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ถึง 10 ปี ตำรวจก็รู้แหล่งอีกจนได้ ท่านจึงหนีลงมาอีกกระทั่งถึง ต.ตาสิทธิ์ (ต.หนองละลอก-ปัจจุบัน)
และที่นี่เองท่านได้พบพวกมิจฉาชีพด้วยกันเพราะตำบลนี้สมัยก่อนเป็นป่าดิบดงทึบ บรรดาเสือที่หนีการจับกุมของทางการพากันมารวมตัวที่นี่มากมาย เช่น เสือชู เสือเหี้ยม เสือไม้ รวมถึง เสือเชียงคำ คือท่านด้วย
ดังกล่าวแล้วว่าอยู่ไหนก็ได้เมีย ที่นี่ท่านก็มีอีกหนึ่งพร้อมให้กำเนิดบุตรชายอีกคนซึ่งได้รับการตั้งชื่อว่า ด.ช. เช้า คำมี ซึ่งต่อมาหลวงปู่ทิมได้อุปการะเด็กชายเช้าจนเติบใหญ่ได้ดีเป็นถึงแพทย์ประจำตำบล
หลวงปู่แก้วใช้ชีวิตระหกระเหินจนเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายในชีวิตที่ผ่านมา ท่านนึกถึงความชั่วร้ายที่ท่านก่อไว้เป็นอันมากในอดีตก็ยิ่งสลดใจ ท่านจึงตัดสินใจบวชพระเมื่ออายุได้ 60 ปี ณ พระอุโบสถวัดหวายกรอง โดยมี หลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอกเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เกียงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์สวัสดิ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า เกสาโร
บวชแล้วท่านยังได้ต่อวิชากับพระอาจารย์เกียงซึ่งเป็นพระชาวเขมรจนเจนจบ ต่อมาได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดละหารไร่ และได้ต่อวิชาอีกกับหลวงปู่ทิม ท่านได้เห็นความเก่งกล้าสามารถในวิชาอาคมและอำนาจจิตตานุภาพที่กล้าแข็งของหลวงปู่ทิม ท่านจึงยอมรับหลวงปู่ทิมว่าเก่งจริงจนหมดใจ ถึงกับเรียกหลวงปู่ทิมอย่างเคารพสูงสุดว่า "คุณพ่อ"
ต่อมาหลวงปู่แก้วก็เริ่มมีชื่อเสียงด้วยการสรรเสริญจากปากขององค์อาจารย์คือหลวงปู่ทิมบ่อยครั้ง ผู้คนจึงเริ่มเข้าหาท่านโดยขอตะกรุดบ้าง ผ้ายันต์บ้าง และที่สร้างชื่อให้ท่านมากคือการสักยันต์ ซึ่งส่วนมากการสักของท่านจะเป็นการสักน้ำมันเสียทั้งนั้น
คุณอาท่านหนึ่งของผมเป็นทหารเรือ เป็นราชองครักษ์พิเศษของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นคนที่รักในทางขลังอยู่ไม่น้อย ท่านชื่อนาวาเอกจำเนียร ตู้จินดา เคยเดินทางไปกราบหลวงปู่ทิมบ่อยครั้ง เมื่อศรัทธาในหลวงปู่ทิมถึงที่สุดก็เอ่ยปากขอให้ท่านสักยันต์ให้ด้วย
ทว่า หลวงปู่ทิมกล่าวปฏิเสธ ท่านว่าเลิกสักใครมานานแล้ว แต่ถ้าอยากสักจริง ๆ ก็ไปขอท่านแก้วเขาสักให้ เรียบร้อยแล้วจึงมาหาท่านอีกทีท่านจะเป่าให้
คุณอาจึงเดินไปขอเมตตาหลวงปู่แก้วสักน้ำมัน ท่านก็รับคำด้วยดี เหล็กสักปักลงหลังของผู้นั่งเหยียดเท้าประณมมือครั้งแล้วครั้งเล่า คุณอาทนเจ็บด้วยหวังในวิทยาคุณอันประเสริฐ พักใหญ่การสักก็เสร็จสิ้น แต่หลวงปู่ยังให้คุณอานั่งอยู่ในท่าเดิมสักพัก
ทันใดนั้น นายทหารใหญ่ก็สัมผัสได้ถึงแรกกระแทกเข้ากับแผ่นหลังดัง บึ้ก อย่างแรงจนสะเทือน ด้วยความแปลกใจก็หันขวับไปดู แล้วท่านก็ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นหลวงปู่แก้วถือดาบโบราณยาวเป็นวาขาววับอยู่เบื้องหลังในอาการที่เหมือนว่าจะ "ซ้ำ" เป็นหนสอง
นาทีนั้นทั้งที่อยู่ในท่านั่งเหยียดเท้าคุณอากลับดีดตัวเองด้วยความตกใจอย่างที่สุดออกห่างองค์หลวงปู่ไปหลายเมตร จนคุณอาเองยังแปลกใจอยู่ทุกวันนี้ว่าตัวลอยไปไกลขนาดนั้นได้อย่างไร อาเนียรเล่าไปขำไป ผมก็พลอยขำไปด้วย แต่ในใจยังสงสัยว่าถ้าเป็นตูจะขำออกหรือเปล่า
เหตุนี้ท่านผู้การจำเนียรจึงให้ความเชื่อถือในอาคมของหลวงปู่แก้วเป็นอันมาก ไปกราบหลวงปู่ทิมคราวใดต้องแวะหาหลวงปู่แก้วด้วยทุกครั้งไป
หลวงปู่ทิมการันตีหลวงปู่แก้วหลายต่อหลายครั้งว่า “ท่านแก้วเขาสำเร็จธาตุ” คำประกาศนี้อาจไม่ใหญ่คับฟ้าดังประกาศของหนังสือชั้นนำอย่างกินเนสบุ๊ค แต่มันเป็นประกาศนียบัตรทางวาจาที่ปราชญ์ในศาสตร์นี้มีให้แก่กัน
ประมาณว่าปราชญ์ย่อมรู้ในปราชญ์
หากผมเองที่เป็นได้เพียง "ประหลาด" ไม่อาจหยั่งรู้เรื่องราว "ภายใน" ของท่านทั้งสองได้ เห็นทางเดียวว่าเชื่อไว้ก่อนเป็นการดี
ครั้งที่คนมือซนเอาเหรียญ "เจริญพร" ของหลวงปู่ทิมไปลองยิง ความทราบถึงหลวงปู่แก้วท่านก็พิโรธเป็นนักหนา บ่นว่า “ไอ้พวกนี้มันถือดีเอาของคุณพ่อไปลองได้ยังไง ถ้าจะลองไม่ต้องไปลองคุณพ่อหรอก” ว่าแล้วท่านก็เดินไปที่ตอไม้กระท้อนข้างกุฏิซึ่งตัดไปนานแล้ว
จากนั้นก็ลงนั่งยอง "ฉี่" รดตอกระท้อนนั้น แล้วบรรลือสีหนาทว่า
“ถ้ามันอยากยิงให้มายิงตอนี้ให้ออกก่อน” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนมือซนรู้ข่าวแล้วพากันลองหรือไม่ ทราบเพียงว่าชื่อเสียงของท่านเคียงบ่าเคียงไหล่มากับหลวงปู่ทิมผู้เป็นอาจารย์ก็พอ
ต่อมาผู้ทรงวิทยาคุณเช่นท่านปรารภว่าหากตายก็เสียดายอยู่สองอย่าง หนึ่งคือวิชาอาคมที่ศึกษามาจนแตกฉานจะพลอยสูญไปกับตน สองคือเกรงว่าศพจะเป็นภาระให้แก่คนรุ่นหลังยุ่งยากเรื่องค่าใช้จ่ายในงานประชุมเพลิง ดำริแล้วท่านก็ขออนุญาตกับหลวงปู่ทิมว่าจะทำเหรียญสักรุ่น ซึ่งหลวงปู่ทิมก็ไม่ขัดข้องประการใด
เมื่อคุยกับกรรมการวัดอันมี คุณลุงสาย แก้วสว่าง ผู้เป็นไวยาวัจกร และ คุณชินพร
สุขสถิตย์ ผู้เป็นศิษย์แล้ว เห็นควรให้จัดทำเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกของหลวงปู่แก้วขึ้น ซึ่งเลขยันต์หลวงปู่แก้วเป็นองค์กำหนด หลวงปู่ทิมก็ได้เห็นต้นแบบภาพเหรียญ ท่านยังพูดเหมือนเก่าคือ
“ท่านแก้วเขาสำเร็จธาตุ” จึงสมควรใช้ยันต์แม่ธาตุใหญ่คือ นะ มะ พะ ทะ
เหรียญรุ่นแรกของท่านมีความสวยงามมาก ดูมีชีวิตชีวาสมเป็นงานแกะชั้นครู ฝีมือระดับนี้ถ้าไม่เป็นช่างเกษม มงคลเจริญ ก็ต้อง ช่างประหยัด ลออพันธุ์สกุล ไม่เป็นอื่น อีกฝีมือที่แน่นอนว่าเยี่ยมยุทธ์คือช่างยิ้ม ยอดเมือง แต่ช่างยิ้มไม่ใคร่แกะแบบนูนสูง จึงเดาว่าเป็นสองช่างดังกล่าวมา
เหรียญหลวงปู่แก้วมีด้วยกันทั้งสิ้น 2,447 เหรียญ แบ่งออกเป็น
1. เหรียญนวโลหะพิเศษเฉพาะกรรมการไม่มีจำหน่าย สร้าง 32 เหรียญ
2. เหรียญเงินบริสุทธิ์ สร้าง 94 เหรียญเท่าอายุของท่าน ตอกเลขซึ่งถือเป็นโค้ดในตัวตั้ง แต่หมายเลข 1 ถึง 94
3. เหรียญทองแดงไม่รมดำ-น้ำตาล สร้าง 2,001 เหรียญ ตอกเลขตั้งแต่ 95 ถึง 2,095
4. เหรียญทองแดงพิเศษ ไม่ตอกเลขอย่างเรียงลำดับ หากตอกเฉพาะเลข 94 ไว้ที่กลาง สังฆาฏิ มีจำนวนทั้งสิ้น 320 เหรียญ
และเหรียญรุ่นแรกนี้คณะศิษย์ไม่ได้สร้างเนื้อทองคำ ฉะนั้นถ้าเจอที่ไหนบอกได้คำเดียวว่า
ปลอม ประสบการณ์จากเหรียญรุ่นนี้มีมากเหมือนกัน เสียแต่ไม่มีสื่อแจ้งให้ทราบของดีอย่างนี้จึงถูก เสือซุ่ม ทั้งหลายเก็บเงียบไปเรื่อย ที่จริงผมก็ไม่อยากลงกลัวลงแล้วแพงเพราะยังอยากได้อีก แต่เห็นวัตถุมงคล(หรือเปล่าไม่รู้)หลายวัดหลายแห่งสร้างออกมาแล้วให้สลดใจ
จึงขออนุญาตบอกกล่าวกันในกลุ่มว่าพระเก่งพระดีมีอยู่ ราคาไม่แพงด้วย เก่าจริงด้วย ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ด้วย และอีกสารพัดด้วยถ้าจะเชื่อกัน
ผมเองก็แขวนท่านบ่อยครั้ง ไหนว่าเก่งเหนียว แต่แขวนทีไรได้โชคได้ลาภเป็นเงินเป็นทองทุกทีไป ชะรอยท่านจะเสกแบบครอบจักรวาลให้สมนามว่ารุ่นหนึ่งกระมัง
ขออวยพรให้ผู้ศรัทธาได้รับความคุ้มครองจากหลวงปู่แก้วโดยทั่วกัน.