โดย รณธรรม ธาราพันธุ์พระเถระที่นามว่า
ขาว มีมากหลากองค์ หากเอาที่เหรียญแพงระยับต้อง
หลวงปู่ขาว วัดหลักสี่ ดอนเมือง กรุงเทพ นี่แหละ เนื้อเงินสวย ๆ อย่างส่องกล้องแล้วท่านยิ้มให้นี่ว่ากันถึงหลักแสน นั่นแบบเอาโลหะแปรธาตุเป็นกระดาษ แต่ถ้ากระดูกแปรธาตุเป็นเพชรพลอยต้องนี่
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี
อันที่จริงสถานที่ตั้งวัดได้เปลี่ยนนามไปแล้วตามการปกครอง จากที่อยู่ข้างต้นเป็น อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ด้วยถูกยกสถานะ อำเภอ ให้เป็นจังหวัด ทว่าผมถนัดปากจริง ๆ ให้ดิ้นตายกับที่อยู่เดิม จึงขอยกไว้คนเถิดจะว่าจมปลักก็ยอม
หลวงปู่ขาว อนาลโย เดิมชื่อ
ขาว โคระถา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2431 ณ บ้านบ่อชะเนง ต.หนองแก้ว อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี บิดาชื่อ พั่ว มารดาชื่อ รอด โคระถา มีพี่น้องร่วมอุทร 7 คน โดยท่านเป็นบุตรคนที่ 4
ท่านแต่งงานเมื่ออายุได้ 20 ปี โดยอยู่กินกับ นางมี กระทั่งมีบุตรด้วยกัน 7 คน ต่อมาภรรยาท่านทำในสิ่งมิบังควรคือคบชู้สู่ชาย เป็นเหตุให้ท่านโกรธแค้นมากถึงกับเอามีดดาบติดตามไปหมายจะฆ่าคนทั้งสอง หากเมื่อท่านไปได้ครึ่งทางเกิดความคิดอันหนึ่งผุดขึ้นมาว่า
ที่คิดว่าเราเป็นฝ่ายดีเป็นฝ่ายถูกนั้น แต่เราก็ลุแก่อำนาจโทสะความอาฆาตมาดร้าย เราคิดจะฆ่าคนทีเดียวสองคน จะจัดว่าใครเลวร้ายกว่าใคร?
บัดนั้นเอง ท่านก็เกิดความสลดสังเวชขึ้นในจิต นึกเห็นแต่ความเมตตาสงสารและการให้อภัย ยกมือขึ้นประณมว่า สาธุ ๆ ที่พระธรรมมาโปรดปรานสงบเพลิงกิเลสลงจากใจได้ไม่ทำให้ท่านต้องตกนรก ครั้นพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชีวิตทางโลกชัดแจ้งแก่จิตแล้ว ท่านจึงปลงใจบวชคิดปฏิบัติธรรมให้เต็มกำลังความสามารถตน
ท่านออกบวชครั้งแรกเมื่ออายุได้ 31 ปี ในฝ่ายมหานิกายที่ วัดโพธิ์ศรี บ้านบ่อชะเนง ต.หนองแก้ว อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2462 มี พระครูพุฒิศักดิ์ เจ้าคณะอำเภอเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์บุญจันทร์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และอยู่จำพรรษาที่วัดโพธิ์ศรีเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยนี้ถึง 6 ปี
เมื่ออยู่ที่วัดนั้นได้เล็งเห็นโทษของเพื่อนภิกษุที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมวินัย ทำให้สลดใจนักคิดขึ้นว่าเป็นดังนี้ก็ไม่สมเจตนาที่ออกบวชมาเพื่อมรรคเพื่อผล จึงไปกราบลาพระอุปัชฌาย์เพื่อออกปฏิบัติธรรม
หลวงปู่ขาวเที่ยวธุดงค์ไปเรื่อยจนได้ยินผู้คนเล่าขานถึงกิตติคุณใน
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านก็เกิดความกระหายใคร่จะได้พระแท้อย่างนี้เป็นครู จึงได้เดินทางออกตามหาอยู่เป็นนาน ผ่านป่าเขาลำเนาไพรจนถึงพระธาตุพนม ถึงอุดรธานี วกมาหนองคาย ด้วยเวลานั้นได้ทราบว่าท่านพระอาจารย์ใหญ่วิเวกมาจำพรรษาที่อำเภอท่าบ่อ
ครั้นหลวงปู่ได้มาอยู่ปฏิบัติกับ
ท่านพระอาจารย์มั่น ก็รับรู้ได้ว่านี่คือครูบาอาจารย์ที่ใฝ่หา และนี่คือธรรมแท้ที่ได้ยิน แต่เวลาไม่นานนักท่านพระอาจารย์ใหญ่ก็ออกธุดงค์หนีหายไปอีกด้วยท่านไม่ปรารถนาคลุกคลีกับหมู่คณะเพราะท่านยัง ไม่จบกิจพระศาสนา
ต่อมาได้ทราบว่า
ท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ที่เชียงใหม่ หลวงปู่ก็ตามไป เสาะหาไป ด้วยความยากลำบากกระทั่งได้พบและถือเป็นวาสนาอย่างที่สุด เมื่อท่านพระอาจารย์ใหญ่อนุญาตให้อยู่จำพรรษาด้วย
ครั้นอยู่ใกล้ครูผู้วิเศษสุด หลวงปู่ก็เร่งความเพียรเป็นการใหญ่แทบไม่หลับไม่นอน บางวันท่านเดินจงกรมสลับนั่งสมาธิจนสว่าง คืนหนึ่งจิตเกิดรวมลงอย่างเต็มที่ถึงฐานเดิมแห่งจิต พักใหญ่จึงถอนขึ้นมาแล้วเกิดโอภาสสว่างกระจ่างแจ้งในใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ท่านอัศจรรย์เพลิดเพลินกับธรรมจนรุ่งสางทีเดียว
พอออกจากสมาธิหลวงปู่ก็รีบไปอุปัฏฐาก
ท่านพระอาจารย์มั่นขนบริขารท่านลงมายังที่ฉัน แต่แล้วหลวงปู่ก็เห็นสายตาท่านพระอาจารย์ใหญ่จับจ้องมองท่านตลอดจนผิดสังเกต จากเดิมที่เคยกลัวเกรงท่านพระอาจารย์มั่นเอาหนักหนาอยู่แล้ว ครั้งนี้ยิ่งรู้สึกกระดากอายและหวั่นหนักเข้าไปอีก สำคัญว่าชะรอยเราคงทำอะไรผิดไปหรืออย่างไรแน่
ขณะที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ท่านพระอาจารย์มั่นก็เปรยขึ้นมาว่า
“เออ...ท่านขาวนี้ภาวนาอย่างไร คืนนี้จิตจึงสว่างไสวมากผิดกับที่เคยเป็นมาทุก ๆ คืนนับแต่มาอยู่กับผม ต้องอย่างนี้สิจึงสมกับผู้มาแสวงธรรม ทีนี้ท่านทราบหรือยังว่าธรรมอยู่ที่ไหน คืนนี้สว่างอยู่ที่ไหนล่ะท่านขาว” หลวงปู่ประณมมือตอบว่า
“สว่างอยู่ที่ใจครับผม”“แต่ก่อนธรรมไปอยู่ที่ไหนเล่าท่านจึงไม่เห็น นั่นแลธรรม ท่านจงทราบเสียแต่บัดนี้เป็นต้นไป ธรรมอยู่ที่ใจนั่นแล ต่อไปท่านจงรักษาระดับจิตระดับความเพียรไว้ให้ดีอย่าให้เสื่อม นั่นแลคือฐานของจิตฐานของธรรม ฐานของความเชื่อมั่นในธรรม และฐานแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ที่นั่นแล…” จากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นได้กล่าวว่า “เมื่อคืนนี้ผมส่งกระแสจิตไปดูท่านเห็นจิตสว่างไสวทั่วบริเวณ กำหนดไปทีไรเห็นเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดจนสว่าง เพราะเมื่อคืนนี้ผมมิได้พักนอนเลย เข้าสมาธิภาวนาไปบ้าง ต้อนรับแขกเทพบ้าง กำหนดจิตดูท่านบ้างเรื่อยมาจนสว่างโดยไม่รู้สึก พอออกจากที่จึงต้องมาถามท่านเพราะอยากรู้เรื่องของหมู่คณะมานาน สบายไหม ? ... อัศจรรย์ไหม ?”
คราวนี้หลวงปู่ไม่กล้าเรียนตอบท่าน ได้แต่นิ่งเงียบไปด้วยความยำเกรงเป็นที่สุด นึกในใจว่าจะตอบไปเพื่ออะไรในเมื่อท่าน
ส่อง มาเห็นตับเห็นปอดเราหมดแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนก็เชื่ออยู่แล้วว่าท่านพระอาจารย์มั่นสามารถรู้วาระจิตความคิดคน สัตว์ และวิญญาณได้ พอมาเจอเข้ากับตัวเช่นนี้ก็เพิ่มความระมัดระวังจิตเจ้าของยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งเกรงกลัวท่านเป็นเท่าทวี
เมื่ออยู่ด้วยท่านพระอาจารย์ใหญ่กระทั่งท่านลงใจซึ่งกันและกัน หลวงปู่ขาวก็ได้รับอนุญาตให้ญัตติเป็นพระธรรมยุติได้ โดยท่านทำญัตติจตุตถกรรมพร้อมกับ
หลวงปู่หลุย จันทสาโรโดยหลวงปู่หลุยเป็นนาคขวาบวชก่อนท่าน 15 นาที และหลวงปู่ขาวเป็นนาคซ้าย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2468 ตรงกับ แรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีฉลู มี
พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์
พอเป็นธรรมยุติก็สะดวกในการประกอบสังฆกรรมต่าง ๆ การอยู่จำพรรษาร่วมกันก็ราบรื่นไม่เป็นอุปสรรค หลวงปู่จึงทำความเพียรได้อย่างหมดห่วงกังวล และในที่สุดท่านก็ จบกิจพระศาสนา ลงที่กระต๊อบเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ณ
บ้านโหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ จะพูดอีกทีว่าหลวงปู่ขาวเป็น...
พระอรหันต์ องค์หนึ่งก็ไม่ผิด ไปดูอัฐิท่านได้
กระดูกคนทั่วไปมีหรือจะแปรเปลี่ยนให้มีลักษณ์ดังเพชร-พลอยได้ อย่าว่าแต่กระดูกเลย แม้เส้นเกศา... แม้เล็บมือ... แม้ชานหมาก หรือแม้แต่ อึ ของท่านก็เป็น...
พระธาตุ !นี่คือเรื่องจริงซึ่งเกิดขึ้นในโลกที่ปกคลุมด้วยกิเลสตัณหาใบนี้ หลักฐานมีให้ดูอยู่พร้อมสรรพที่วัดถ้ำกลองเพลในปัจจุบัน เรื่องจริงอย่างนี้ใครเชื่อก็จริง หรือใครไม่เชื่อก็จริงอยู่อย่างนั้น เพราะสัจจะความจริงนั้นไม่ขึ้นกับเชื่อหรือไม่เชื่อของใคร
แต่อย่าปรามาสแล้วกัน
พระผู้หมดกิเลสดังนี้ จะหยิบจับอะไรก็เป็นมงคลไปหมดสิ้น นึกถึงคำ
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ คำหนึ่งท่านบอกพวกเราว่า
“ข้าแตะอะไรก็เป็นพระไปหมด” อย่างนี้นี่เอง
เพราะจิตบริสุทธิ์ไร้มลทิน ฉวยอะไรสิ่งนั้นก็บริสุทธิ์ตาม ตรงข้ามคนมีกิเลสก็เหมือนคนเลอะโคลนหยิบจับอะไรย่อมเปรอะเปื้อนไปหมด
จึงนึกกระหยิ่มใจจนพองฟูว่า เมื่อพระบริสุทธิ์อย่างนี้ กำหนดจิตอธิษฐานฤทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์ อำนาจแห่งความพิสุทธิ์นั้นย่อมซึมแทรกลงไปในทุกปรมาณูของวัตถุนั้น ๆ ที่ถูกอธิษฐาน และเชื่ออีกว่าจะไม่มีเสื่อมคลายลงได้เลยเสมือนจิตวิสุทธิ์ของท่านที่ไม่อาจกลับมาสกปรกอีกเพราะทุกสิ่งสำหรับท่านเป็น สุญญตา
หลวงปู่ขาวเป็นศิษย์ใน
ท่านพระอาจารย์มั่นอีกองค์หนึ่งที่ทรงเมตตาธิคุณเป็นล้นพ้น ความเมตตาเช่นนี้เองที่ทำให้เกิดวัตถุมงคลในท่านเป็นจำนวนมากต่อมาก ซึ่งท่านก็ยินดีอธิษฐานจิตให้ด้วยเมตตานั่นแล
พระเครื่องของ
หลวงปู่ขาวมีประสบการณ์มากมายปรากฏแก่คนนับถือ ผมอยู่ในวงการนี้มานานย่อมได้ยินไม่น้อยทีเดียว เรื่องยิงไม่เข้า แทงไม่เข้า รถคว่ำรถชนไม่เป็นอะไรหรือเป็นก็น้อยมากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ แต่เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกัน เราลองฟังดูสิว่ามีใครเคยเจอแบบนี้บ้างหรือเปล่า
คุณอำพล เจน เป็นนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่ง (วาดการ์ตูนก็ดังใช่เล่น) เมื่อภายหลังท่านเลียบเคียงลงเดินบนถนนสาย พระ พร้อมใช้ความถนัดเชิง เขียน ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ให้นักนิยมพระได้อ่าน ด้วยฝีมือและสำนวนที่เด็ดขาด มีเสน่ห์ชวนติดตาม ทำให้เกิดแฟนานุแฟนเป็นจำนวนมากเดินร่วมถนนไปด้วย
เมื่อผมเลี้ยวซ้ายจากซอยเดิมที่เคยเดินมานานก้าวลงสู่ถนนสายขลัง ก็พบกับกลุ่มคนที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังคุณอำพลอยู่ก่อนแล้ว สงสัยว่ารุมอะไรกันก็เข้าไปดูบ้าง พอได้เห็นตัวตนของคุณอำพลผมก็ติดใจ ขออนุญาตเดินรวมกลุ่มไปด้วยมาจนบัดนี้
และในกลุ่มนี้เองผมก็ได้เพื่อนตลอดจนพี่น้องจากคนเก่าก่อนที่เดินอยู่แล้วและที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบ เสียงแนะนำให้รู้จักกันยังคงดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย และผมก็ได้รู้จักใครคนหนึ่งจากการแนะนำของคุณอำพล
นายแพทย์จิมมี่ คงเจริญ เป็นแพทย์เกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะและโรคไต ปัจจุบันประจำอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา จ.ชลบุรี ไม่น่าเชื่อว่าหมออะไรจะชอบพระเครื่องได้ขนาดนี้ เรื่องราวซึ่งคุยกันในแต่ละครั้งที่เจอเป็นเรื่องพระเสีย 96% อีก 4% แบ่งเป็นเรื่องสารทุกข์สุกดิบและตับ ๆ ไต ๆ บ้าง
ครูอำพลเคยบอกว่าคนพกพระมากมี อ.อนันต์ อ.เบิ้ม และคุณตี๋ ผมเห็นจะเพิ่มคุณหมอจิมมี่อีกคนคงไม่ว่ากัน ในคอคุณหมอคล้องสร้อยเส้นเดียวก็จริง แต่มีพระ 9 องค์ บางเส้น 11 องค์ก็มี ไม่นับตะกรุดที่คาดเอว พระที่ใช้แหนบเหน็บในกระเป๋าเสื้อ และใส่รวมในซองยาอย่างใหญ่เป็นสิบ ๆ รายการซุกอยู่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตเช่นกัน
ทำนองรักพี่เสียดายน้อง
คราวหนึ่งคุณหมอได้เหรียญหลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล มาใหม่ ๆ อารามดีใจก็นำมาพกรวมไว้ในซองยา และออกปฏิบัติหน้าที่ไปตามเรื่อง ผมจำไม่ถนัดว่าท่านพกไว้ได้นานกี่วัน เพราะวันเกิดเหตุนั้นเหรียญยังอยู่กับตัว
ความเป็นหมอย่อมต้องมีการอยู่เวร วันที่ไร้คนไข้ยามดึกคืนหนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะลอย อ.ศรีราชา คุณหมอเดินไปเดินมาเมื่อเห็นว่าไม่มีคนไข้ด้วยเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว จึงเดินขึ้นชั้นสองเข้าไปพักในห้องแอร์ที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้หมอพักผ่อน
ในห้องนั้นก็เหมือนคอนโดนี่แหละ โซฟาอยู่ใกล้หน้าต่างกระจกบานใหญ่ซึ่งไม่มีช่องระบายอากาศ คุณหมอเปิดทีวีนอนเอกเขนกบนโซฟาดูบอลโลกอย่างสบายใจ รอเสียงกริ่งหากจะมีเหตุฉุกเฉินอะไร
ขณะนั้นก็รู้สึกเหมือนจะง่วง จิตเรียวลงคล้ายเข้าสู่ภวังค์ หากคุณหมอยืนยันว่ายังไม่ได้หลับแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังเห็นนักเตะลูกหนังวิ่งกันขวักไขว่ไปมาในจอ
ทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏมือลึกลับทะลุกระจกที่หนาหนักเข้ามา คุณหมอตกใจสุดขีดเพราะมือนั้นมีขนาดใหญ่โตมโหฬารดังมือยักษ์ และเป็นมือที่มีผิวดำมะเมื่อมน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด มือปีศาจนั้นทำอาการกำหมัดเงื้อง่าจะชกโครมลงบนตัวหมอจิมมี่ซึ่งกำลังนอนตัวแข็ง มีแต่ตาที่เบิ่งดูภาพสยดสยองนั้นอยู่ไม่กะพริบ
วินาทีนั้น อาจเป็นด้วยจิตที่เพิ่งปีติจากการได้เหรียญหลวงปู่ขาวมาทำให้ประหวัดระลึกถึงหลวงปู่ขาวทันที ตะโกนอยู่ในใจว่า
“หลวงปู่ขาวช่วยด้วย” สิ่งอัศจรรย์ก็พลันเกิด เมื่อเหรียญหลวงปู่ขาวที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตกระโดดออกมาได้เหมือนมีชีวิต แล้ววิ่งเข้าไปอยู่ที่ฝ่ามือขวาซึ่งยกกำอยู่ข้างอก ครั้นมือปีศาจนั้นใกล้จะถึงตัวเหรียญก็แสดงปาฏิหาริย์วิ่งไปวิ่งมาระหว่างมือซ้ายและขวาเร็วจี๋ คล้ายจะปกป้องช่วงลำตัว
ทันทีเช่นกัน มือลึกลับนั่นก็ผงะแล้วถอยกลับออกไปทางเดิม ทิ้งให้คุณหมอนอนตะลึงอยู่ลำพัง ครั้นได้สติมองไปที่โทรทัศน์ นักบอลก็ยังเล่นกันต่อเนื่องจากที่เห็นก่อนมือดำจะโผล่
ชัดเจนว่าไม่ได้ฝัน !!
แล้วที่เหรียญเข้ามาอยู่ในมือวิ่งไป-มาเล่า พอแบมือออกดูก็ไม่ปรากฏอะไร เหรียญหลวงปู่ขาวยังอยู่ในกระเป๋าเสื้ออย่างเดิม
นี่มันอะไร ?
คุณหมอเผ่นออกจากห้องตัวปลิวลงมาข้างล่างซึ่งดูจะอบอุ่นกว่า เมื่อได้เลียบเคียงถามกับพยาบาล ปรากฏว่าหมอจิมมี่ไม่ใช่คนแรก
แทบทุกหมอโดนมานักต่อนัก
มีสารพัดรูปแบบ เป็นผู้หญิงมาเดินให้เห็นก็มี มาร้องเรียกให้ออกจากห้องก็มี
โอ้...พระเจ้า
เหตุนี้อีกหรือเปล่าที่ทำให้คุณหมอรักพระเครื่องจับจิตจับใจ ไปไหนพกเยอะไว้ก่อนเป็นได้เปรียบ ใครจะว่าอย่างไรไม่สนหรอก ก็เจอมาเองนี่นา
เสียดายว่าขณะเขียนต้นฉบับนี้คุณหมอเดินทางไปดูงานที่ญี่ปุ่นจะกลับอีกทีคงปลายตุลา มิฉะนั้นจะเอารูปท่านมาลงคู่กับเหรียญเสียหน่อย ใครเจอตัวจริงจะได้สัมภาษณ์สดพร้อมกับขอดูเหรียญสุดขลังนี้ด้วย เป็นรุ่นสมทบทุนสร้างถังน้ำของวัดถ้ำกลองเพล สร้างในปี พ.ศ. 2517 แน่ะ หลวงปู่ยังแข็งแรงดีเสียด้วย คง เสก เต็มที่
ใครพบเห็นจงคว้าไว้เลย ไม่ต้องไปห่วงเรื่องดังไม่ดัง นิยมไม่นิยมดอก มั่นใจว่าท่านเสกแล้วเป็นเก็บไปเถอะ แหม ! ของพระอรหันต์เชียวนะคุณ อย่างผมน่ะเรื่องรุ่นไม่มีเกี่ยงถ้าเคารพจริงผมเอาหมดทุกรุ่น แต่ถ้าเรื่องประสบการณ์น่ะผมเกี่ยง อย่างน้อยผมก็ไม่เอาหรอกนะ....
อย่างที่หมอเจอน่ะ !