หลวงปู่จ้อย พุทธสโร วัดหนองน้ำเขียว ตอน “เมตตาเป็นมหาอำนาจสูงสุด”
โดย ศิษย์กวง
ผมได้รับการแนะนำจากเพื่อนต่อ(มนุษย์ ล่องหน) ให้ไปกราบนมัสการท่านพระครูวิฑิตพัฒนาการ (จ้อย พุทธสโร) เจ้าอาวาสวัดหนองน้ำเขียว ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี นอกเหนือจากการการันตีเรื่องของการเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว ความเข้มแข็งในด้านวัตถุมงคลก็ไม่น้อยหน้าพระเกจิองค์อื่นๆ ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดตามแนวทะเลภาคตะวันออก ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ต้องมีชื่อท่านอยู่ในรายชื่อพระที่ร่วมพิธีพุทธาภิเษกเสมอๆ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสว่างจากธุระผมและเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันจึงไม่รีรอที่จะรีบไปกราบนมัสการท่านครับ
การเดินทางไปวัดหนองน้ำเขียวไม่ยากเท่าไหร่เพียงแต่ระยะทางค่อนข้างไกลพอสมควรครับ จากตัวจังหวัดชลบุรีมุ่งหน้าไปทางอำเภอบ้านบึง ก่อนเข้าตัวอำเภอบ้านบึงให้เลี้ยวขวาขึ้นสะพานลอย แล้วก็ตรงไปเรื่อยๆ จะถึงสี่แยก(แยกเอ็ม 16) เลี้ยวขวาไปทางอำเภอบ้านค่ายประมาณ 10 กม.ให้สังเกตขวามือจะมีทางเข้าวัดเป็นถนนดินมีป้ายสุสาน(ฮวงซุ้ย)เต็มไปหมด เลี้ยวเข้าทางนั้นเลยครับ วิ่งกระดึ้ง กระดิ้ง ไปสักระยะหนึ่งจะขึ้นถนนพื้นซีเมนต์คราวนี้ก็วิ่งตรงยาวเลยครับไม่ต้องเลี้ยว ผ่านวัดเขาน้อยคีรีวัน(วัดหลวงปู่โทน) ซักระยะหนึ่งก็จะถึงวัดหนองน้ำเขียวครับ
วัดหนองน้ำเขียว เป็นวัดที่ร่มรื่น มีต้นไม้ปลูกอยู่เต็มวัด และมีลานแสดงธรรมอยู่บริเวณด้านหน้ากุฎิของท่านหลวงปู่จ้อย พระอุโบสถใหญ่โตและสวยงาม บริเวณประตูและหน้าต่างของพระอุโบสถติดเครื่องหมายสัญลักษณ์ของทหาร (ไม่รู้ว่าหน่วยงานไหน) หมู่กุฏิสงฆ์จะปลูกสร้างอยู่ด้านหลังกุฎิของหลวงปู่ นอกจากนี้ยังมีศาลาปฏิบัติธรรมขนาดไม่ใหญ่นักปลูกสร้างอยู่รอบๆวัดอีกหลายหลัง แต่มีอยู่สองหลังที่หน้าจั่วของศาลาติดพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถครับ รอบๆวัดจะมีบ้านของชาวบ้านในท้องถิ่นปลูกสร้างกระจายๆ กันอยู่ และที่มีค่อนข้างมากคือ สุสานหรือฮวงซุ้ย นั้นแหละครับ (เยอะจริงๆ)
พวกเราไปถึงวัดได้สักพัก หลวงพี่ที่ค่อยดูแลหลวงปู่จ้อย ท่านก็มาเรียกพวกเราให้ขึ้นไปพบหลวงปู่จ้อย เมื่อขึ้นไปบนกุฎิหลวงปู่ท่านหันมาเห็นพวกเรา ท่านก็กวักมือเรียกให้เข้าไปหา แหม...แต่กว่าจะเข้าไปได้สิครับองครักษ์พิทักษ์หลวงปู่ต่างร้องเพลงแข่งกันระงมไปหมด พวกเราบางคนที่ว่าแน่ๆยังต้องหดตัวซะลีบ(ฮ่า ฮ่า) โดยเฉพาะพี่ “โชกุน” องครักษ์ประจำตัวหลวงปู่วิ่งวนซะจนพวกเรางง ..... หลวงปู่ท่านกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ครับแต่ก็ยังมีเมตตาละจากสิ่งที่ท่านทำมาสนทนากับพวกเรา
หลวงปู่จ้อย พุทธสโร ปัจจุบันอายุ 82 ปี ท่านเป็นพระรูปร่างเล็ก ผิวคล้ำนิดๆ แต่สดใส ค่อนข้างสำรวม มีเมตตา (สังเกตจากท่านจะห่มผ้าเรียบร้อยก่อนให้พวกเราก้มกราบ) มีแววตาที่กล้าแข็ง ดูมีพลัง พูดค่อนข้างน้อย สำเนียงออกเหน่อๆ เรียกว่าถ้าญาติโยมไปเยี่ยมแล้วไม่ยอมชวนท่านคุย ผมรับรองว่าคงต้องนั่งมองหน้ากันอย่างเดียวละครับ จากการสนทนาในเรื่องประวัติของท่าน ทราบว่าท่านเป็นคนอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทราหรือแปดริ้ว นั่นแหละครับ หลวงปู่บวชเรียนอยู่กับหลวงปู่เชิด วัดลาดบัวขาว อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
หลวงปู่เชิด วัดลาดบัวขาว อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าหลวงปู่เชิด ท่านเป็นพระมีวิชาแกร่งกล้า สามารถรักษาคนป่วยวิกลจริตได้ พลังจิตสูงสามารถหายตัวและแปลงกายเป็นเสือได้(จากคำบอกเล่าของชาวบ้านละแวกวัดลาดบัวขาว)สัญลักษณ์ประจำตัวท่านเป็นมีดครู(มีดอีโต้) ที่ท่านติดตัวไว้เสมอเพื่อเอาไว้ใช้ในเวลารักษาโรค หลวงปู่จ้อยได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากหลวงปู่เชิดพอสมควรแล้วจึงได้ออกธุดงค์เพื่อฝึกจิตระหว่างที่ธุดงค์ท่านก็ได้พบครูบาอาจารย์ที่เก่งๆ อีกหลายท่าน นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาเพิ่มเติมในตำราที่ได้รับตกทอดมาจากหลวงปู่เชิด แหละครับ หลวงปู่จ้อยท่านได้เดินธุดงค์จนมาถึงวัดหนองน้ำเขียวแห่งนี้ในราวปี 2490 ท่านจึงได้หยุดธุดงค์แล้วจำพรรษาในวัดแห่งนี้ตลอดมา
โต๊ะหมู่บูชาพระของหลวงปู่วัตถุมงคลที่ทางวัดทำออกมา จะมีชาวบ้านแห่มาเช่าและหมดไปจากวัดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพระของท่านมีประสบการณ์ค่อนข้างสูงในพื้นที่ จุดสังเกตคือพระเครื่องหรือเครื่องรางที่ออกจากวัดหนองน้ำเขียวแห่งนี้จะมีสัญลักษณ์รูปเสือเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เนื่องจากหลวงปู่จ้อย ท่านเกิดปีขาลและสืบทอดวิชาจากหลวงปู่เชิด ที่เก่งในวิชาอาคม สามารถแปลงเป็นเสือได้ ส่งผลให้พระของท่านเกือบทุกรุ่นจะมีเอกลักษณ์คือรูปเสือปรากฏอยู่ ซึ่งจะทำให้เราสามารถสังเกตได้ง่ายตรงจุดนี้นั่นเอง และในเรื่องที่เกี่ยวกับการปลุกเสกวัตถุมงคลโดยเฉพาะการเสกเครื่องรางประเภทเสือ หลวงปู่จ้อยได้อธิบายแนวคิดของท่านในเรื่องดังกล่าวกับพวกเราได้อย่างเฉียบคมครับ
สัญลักษณ์รูปเสือ ติดอยู่บริเวณหน้าประตูกุฎิของหลวงปู่“เสือ เป็นเครื่องรางทางมหาอำนาจ สัตว์ตัวไหนเจอก็ต้องหลบทางให้ คนในสมัยโบราณจะเรียกโจรว่า ไอ้เสือ ไอ้เสือ แต่เสือของอาตมาเป็นเสือใจดี เป็นเสือเมตตา เพราะอะไรโยมรู้ไหม (ไม่รู้ครับ / ผมตอบในใจ) เพราะ
เมตตาเป็นมหาอำนาจสูงสุด” (ยิ้ม)
“เวลาที่อาตมาปลุกเสก อาตมาเพียงแค่แผ่เมตตาตามที่ได้เรียนมาลงสู่วัตถุมงคล แล้วก็สวด...เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา........” ซึ่งหลวงปู่ท่านได้ท่องให้เราฟังนิดหน่อยครับ (**เมื่อพวกเรามาเปิดดูหนังสือสวดมนต์ คือบท “เมตตานิสังสะสุตตะปาโฐ” ครับ)
นอกเหนือจากการรับนิมนต์ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกแล้วในยามว่างจากกิจนิมนต์ หลวงปู่จ้อยท่านจะอบรมสั่งสอนพระและลูกศิษย์ในวัดตลอด เพื่อที่จะเป็นตัวแทนท่านในการบรรยายธรรมมะแก่ชาวบ้านครับ โดยหลวงปู่จ้อย ท่านได้เล่าความเป็นมาของการกระทำกิจกรรมดังนี้ครับ
“ทุกวันนี้ญาติโยมที่เข้ามาหาอาตมา ก็เพื่อจะมาหาวัตถุมงคล บางคนก็เข้ามาขอให้สอนธรรมมะ อาตมาว่าเอาไปกันมากๆ ท้องจะแตกตาย(หัวเราะ) เอาไปแต่ของ เอาไปแต่ธรรมมะ แต่ไม่เคยมีใครเอาไปปฏิบัติกันเลย”
ครับ ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเราละเลยและประมาทกันจริงๆ ไม่ต้องดูอื่นไกลเพราะตัวผมเองก็เป็นอย่างนั้นชอบวัตถุมงคล ชอบอ่านหรือฟังธรรมมะ แต่ก็ไม่ค่อยละเอียดในการรับรู้ ชอบบอกตัวเองว่าฟังยาก (แบบว่า งูๆ ปลาๆ นะครับ)
ลานแสดงธรรม บริเวณหน้ากุฎิของหลวงปู่ดังนั้นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนสอดคล้องกับคำบอกเล่าของหลวงปู่จ้อย คือลานแสดงธรรมหน้ากุฏิหลวงปู่และศาลาปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน ที่ปลูกสร้างกระจายอยู่รอบๆวัดแหละครับ สำหรับเรื่องที่หลวงปู่จ้อย ท่านเน้นเสมอคือ การขัดเกลากิเลส
“กิเลส เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราทุกคนแล้วแต่ใครจะมีมากมีน้อย การจะขัดเกลากิเลส จะต้องใช้จิตและสติ กิเลสอย่างหยาบ จะใช้ศีลเป็นตัวขัดเกลา อย่างปานกลาง ก็จะใช้สมาธิขัดเกลา อย่างละเอียดก็จะใช้ปัญญา ขัดเกลา .. เอาอย่างนี้ซิ พวกโยมลองนั่งนิ่งๆ ดูตัวเองก่อน”
เจ้าเพื่อนตัวดีของผมดันสอดคานเข้ามาในขณะที่หมูกำลังจะหาม “เอาแค่นั่งภาวนา พุทโธ พุทโธ ก็คงพอแล้วมังครับ” ...หลวงปู่จ้อยท่านหันมามองสบตาเป้ง.....เล่นเอาพวกเราสะดุ้ง(แทบละลาย)
“นี่แหละหนาคนเรา ที่เขาเรียกว่านานาจิตตัง ฟังอยู่ตรงนี้คิดไปถึงตรงโน้น(ท่านทำหน้าตาขึงขัง) ที่อาตมาให้พวกโยมนั่งดูตัวเอง ยังไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องดูไปไกล ก็เพราะ...ธรรมมะมันเกิดที่ตัวเรา.....ต้องดูที่ตัวเราเอง นี่ นี่ นั่งหลับตาอย่างนี้ (หลวงปู่ทำท่านั่งให้ดูครับ) อย่าลืมตา นั่งพิจารณาตัวเอง...ไม่ต้องไปพิจารณาคนอื่น..”
ระหว่างที่หลวงปู่จ้อยสนทนากับพวกเรา บังเอิญท่านเห็นเครื่อง MP.4 จึงได้ถามพวกเราว่ามันเรียกว่าอะไรแล้วทำอะไรได้บ้าง หลังจากได้เรียนให้ท่านได้ทราบถึงคุณสมบัติของเครื่องเล่น MP.4 ท่านได้พูดประโยคหนึ่ง น่าฟังมากครับ
“ปัญญาเกิดจากการคิด สิ่งประดิษฐ์เกิดจากความจำเป็น”ผมว่าคำกล่าวนี้ “คม” น่าดูทีเดียว ....
หลังจากสนทนากับหลวงปู่จ้อยพอสมควรแก่เวลา พวกเราก็ขอกราบลาท่านกลับ พอลงมาจากกุฏิระหว่างนั่งถ่ายรูปมีเด็กวัดสองคนขี่จักรยานเข้ามาหาพวกเรา และร้องขอให้พวกเราช่วยถ่ายรูปให้ด้วยเพราะคิดว่าพวกเราจะเอาไปออกรายการโทรทัศน์(ฮ่า...ฮ่า...) ต้องทำความเข้าใจกันพอสมควร ไม่งั้นจะไม่ยอมให้พวกเราออกจากวัด ดังนั้นพวกเราจึงถ่ายรูปให้โดยสัญญาว่าคราวหน้าจะเอารูปมาให้
ผมสังเกตเห็นว่ารถจักรยานทั้งสองคันนี้มีเชือกผูกติดกันอยู่(ตามรูป)จึงได้ถามเด็กวัดทั้งสองคนนี้ว่าผูกไว้ทำไม
“หลวงปู่ผูกให้ครับ หลวงปู่บอกว่าเราไปไหนต้องไปด้วยกัน มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน” .
....อ้าว.....แล้วไม่ล้มเหรอ?
“ไม่ล้มหรอกครับ หลวงปู่สอนว่าให้พวกเราขี่ประคองกันไป”
ผมมานั่งคิดดู เออ.......หรือนี่คือคำสอนที่หลวงปู่จ้อยท่านบอกพวกเราว่า
“มาเรียนรู้ธรรมมะแล้วต้องนำไปปฏิบัติด้วย”
อย่างเช่นกรณีของเด็กวัดทั้งสองคนนี้ ถึงไม่ใช่พี่น้องกันแต่อยู่วัดเดียวกัน หลวงปู่ท่านได้สอนพวกเขาถึงเรื่องของความสามัคคีและให้ปฏิบัติโดยการนำเชือกมาผูกติดเข้ากับรถจักรยานทั้งสองคัน จะได้ช่วยกันขี่ประคองกันไป ช่วยเหลือกันไป ไม่ทอดทิ้งกันจนกว่าจะถึงจุดหมาย (จุดหมายของเด็กวัดสองคนนี้ คือตลาดนัดข้างวัดครับ) ฮ่า..ฮ่า
ครับก็อย่างที่ท่านหลวงปู่จ้อย ท่านบอกไว้แหละครับทุกวันนี้คนเราวิ่งหาธรรมะ ร้องขอจากหลวงพ่อองค์นั้น หลวงปู่องค์นี้ ได้มามากๆเข้าก็จะเกิดอาการฟุ้งซ่าน(อย่างผมเป็นต้น) บางทีก็เกิดความสงสัย บางทีก็เกิดความลังเล ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลดีกับตัวเองเลย สู้เรียนรู้ทีละน้อยๆแล้วนำเอาไปปฏิบัติ จนเกิดผล ความสงสัยหรือลังเลจะได้หมดไปน่าจะดีกว่า อ้อ......เกือบลืมไปอีกอย่างสำคัญมากครับเคล็ดลับวิธีใช้พระหรือเครื่องรางของหลวงปู่จ้อยครับ......
“เมตตาเป็นมหาอำนาจสูงสุด” ครับ
ขอขอบคุณ คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย เอื้อเฟื้อกล้องและภาพถ่ายสวยๆครับ เพื่อนต่อ(มนุษย์ล่องหน) กับคำแนะนำและชักนำให้ผมดั้นด้นไปวัด คุณสมบูรณ์ ร้านนายอ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจที่มีให้เสมอและผมหวังว่าจะได้รับไปตลอดนะครับ
ภาพถ่ายภายในวัดหนองน้ำเขียวครับ