วิชาพรหมศาสตร์ กับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

รณธรรม ธาราพันธุ์ · **โพสต์แล้ว:** พุธ 25 ก.พ. 2009 12:35 am

ภายหลังการอสัญญกรรมของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี ประชาชนหลายคนต่างก็มีความต้องการใคร่จะทราบว่า บัดนี้วิญญาณของท่านไปสถิตอยู่ ณ ที่แห่งใด จึงได้ติดต่อกับอาจารย์ที่มีชื่อเพื่อให้นั่งทางในดู ซึ่งอาจารย์ท่านนั้นก็คือ อาจารย์จ้าน ตัณฑโกศัย นายช่างเอกแห่งกรมประชาสัมพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญในวิชาพรหมศาสตร์ซึ่งกำลังเป็นที่เชื่อถือของบุคคลทั่วไปอยู่ในขณะนี้

ข้าราชการชั้นเอกของกรมประชาสัมพันธ์ได้เปิดเผยว่าเมื่อได้ทราบการป่วยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่บ้านพักรับรองบางแสนแล้ว ได้บังเกิดความห่วงใยในตัวอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้มาก จึงได้พยายามนั่งทางในตรวจดูอาการเสมอ ๆ เพื่อหาวิธีช่วยรักษาทางวิชาพรหมศาสตร์ แต่ไม่อาจจะข้าถึงตัวจอมพลสฤษดิ์ได้ จึงเพียงแต่ตรวจดูด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น

การนั่งทางในตรวจครั้งแรก ได้กระทำเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 เห็นจอมพลสฤษดิ์มีอาการน่าวิตก ต่อมาในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ได้ตรวจอีกเป็นที่ครั้งที่สอง เห็นร่างของอดีตนายกรัฐมนตรีบวมฉุไปหมด และมองเห็นซี่โครงกับปอดด้วย ซึ่งจากภาพที่เห็นนี้ก็ทราบได้ทันทีว่า จอมพลสฤษดิ์ไม่มีโอกาสที่จะหายแล้ว

ครั้นถึงวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 จึงได้ทำการตรวจอีกครั้งหนึ่งเมื่อเวลา 08.00 น. ได้เห็นจอมพลสฤษดิ์นอนอ้าปากนิ่ง ศีรษะตกจากหมอน จึงทราบในตอนนั้นว่าอดีตนายกรัฐมนตรีถ้าไม่ถึงแก่อสัญญกรรมไปแล้วก็ต้องเข้าขั้นโคม่า แต่ได้คอยฟังข่าวจากทางราชการอยู่จนกระทั่งบ่าย จึงมีประกาศว่า จอมพลสฤษดิ์ ได้ถึงแก่ อสัญญกรรมแล้ว ซึ่งตรงกับที่นั่งทางในเห็นทุกประการ ผิดกันแต่เวลาเท่านั้น คือเช้ากับบ่าย และต่อมาได้ทราบความจริงว่า อดีตนายกรัฐมนตรีถึงแก่อสัญญกรรมตอนเช้าจริง ๆ แต่คณะแพทย์ได้พยายามช่วยชีวิตทุกวิถีทาง จนเมื่อเห็นว่าไม่ฟื้นแน่แล้ว จึงออกประกาศให้ประชาชนทราบ

อาจารย์จ้าน ตัณฑโกศัย เล่าว่า เมื่อจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญญกรรมไปแล้ว 7 วัน ศพยังอยู่ในโกศที่วัดเบญจมบพิตร ได้มีเพื่อนฝูงและผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ได้ขอร้องให้นั่งทางในตรวจดูอีกครั้งหนึ่งว่า วิญญาณของอดีตนายกรัฐมนตรีไปอยู่ที่ใด จึงได้นั่งตรวจดู ก็ได้พบจอมพลสฤษดิ์ยังคงอยู่ที่ศาลาบัณรศภาค วัดเบญจมบพิตร สถานที่ตั้งโกศศพนั่นเอง

ภาพที่เห็นคือจอมพลสฤษดิ์กำลังยืนร่ำไห้แสดงความห่วงใยในบุตร ภริยา เป็นอันมาก แต่การนั่งตรวจครั้งนั้นอาจารย์จ้านใช้เวลาเพียงไม่นานนัก เพราะจอมพลสฤษดิ์มีอาการไออยู่ตลอดเวลา และทำให้ท่านต้องไอไปด้วยจนร่างกายทนไม่ไหว ต้องรีบหยุดสมาธิเลิกตรวจทันที

ต่อมาในเร็ว ๆ นี้ คือภายในเดือนพฤษภาคมศกนี้เอง ได้มีผู้ที่เคารพนับถือและเพื่อนฝูงชุดเก่า ได้ขอให้นั่งตรวจดูอีกครั้งหนึ่ง จึงได้พบว่าจอมพลสฤษดิ์ไปสิงสถิตอยู่ ณ บ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งมีหลังคามุงสังกะสี ลักษณะเหมือนกระท่อมร้างตั้งอยู่โดดเดี่ยวริมเชิงเขาแห่งหนึ่ง รอบบริเวณเป็นป่าทึบและมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น โดยไม่ทราบว่าสถานที่นั้นอยู่ ณ ที่ใด จากการสังเกตกิริยาท่าทาง ทราบว่าท่านอดีตนายกรัฐมนตรียังมีอาการโศกเศร้าอยู่เช่นเดิม

จากการสอบถึงรายละเอียดของการนั่งตรวจทางในด้านวิชาพรหมศาสตร์ อาจารย์จ้านได้ชี้แจงว่า ก่อนอื่นจะต้องตั้งความปรารถนาเสียก่อนว่าต้องการจะดูอะไร เสร็จแล้วนำเอารูปของจอมพลสฤษดิ์มาเพ่งดู แล้วใช้สมาธิตีรูปนั้นให้แตกพร้อมทั้งหลับตาใช้องค์ภาวนาในวิชาการพรหมศาสตร์ที่ถูกต้อง (ไม่ใช่องค์ภาวนาปลอมอย่างที่อาจารย์บางคนใช้) จากนั้นก็จะเห็นภาพปรากฏขึ้นในความรู้สึกเป็นภาพนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหว มีลักษณะเหมือนภาพกระจกฉายที่เห็นทางโทรทัศน์ แต่ไม่ชัดเจนใสแจ๋วเหมือนภาพโทรทัศน์เสียทีเดียว และในการนั่งทางในตรวจทุกครั้งนั้น อาจารย์จะต้องมีกระดาษดินสอคอยสเก็ตช์ภาพที่เห็นเก็บไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง

การสเก็ทช์ดังกล่าวนี้เมื่อมองเห็นภาพผุดขึ้นมาแล้วก็จะหยุดทำสมาธิ ลืมตาขึ้นสเก็ทช์ภาพที่เห็นลงบนแผ่นกระดาษ เมื่อสงสัยตอนไหนก็ทำสมาธินั่งตรวจใหม่ ปฏิบัติอย่างนี้อยู่หลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งภาพสเก็ทช์ตรงกับภาพที่เห็นทุกประการแล้ว จึงเลิกพิธีนั่งทางในได้ และการนั่งทางในด้วยวิธีดังกล่าว สามารถจะตรวจดูได้ทั่วทั้งพิภพและแม้แต่บนดวงจันทร์หรือดวงดาวอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากโลก ก็สามารถมองเห็นความเป็นไปและสรรพสิ่งทั้งหลายได้ดุจเดียวกัน เว้นแต่ยังไม่มีอะไรจะมายืนยันได้ว่าภาพที่เห็นจากดวงจันทร์และดาวนั้น ๆ มีข้อเท็จจริงในทางวิทยาศาสตร์ที่ตรงกัน

หมายเหตุ – ทุกวันนี้มีอาจารย์พรหมศาสตร์ที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องทางวิชาการ นำองค์ภาวนาที่ไม่ถูกไปให้ผู้ไม่รู้ใช้โดยตนเองมีเจตนาแอบอ้างว่าเป็นอาจารย์ผู้ประจุศิษย์ได้ ทำให้ผู้หลงเชื่อเกิดวิบัติไปมากรายแล้ว หรือไม่ก็บิดเบือนวิชาการพรหมศาสตร์ให้ประชาชนหลงผิดโดยเลียนแบบวิชาการพรหมศาสตร์แล้วนำไปแก้ไขดัดแปลงต่าง ๆ ทำให้มีผู้หลงผิดไต่ถามความจริงมามากราย (จึงควรระวังไว้)

ทองแถม ศาสตระรุจิ