นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 22 ธ.ค. 2024 9:59 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 09 เม.ย. 2009 7:47 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 29 ก.ย. 2008 12:53 pm
โพสต์: 754
เรียนสอบถามอ.ต่อ เกี่ยวกับของหรืออาหารที่ถวายพระสายกรรมฐาน เช่น ช็อกโกแลตต้องเป็นประเภทไหน น้ำผึ้ง ยารักษาโรค หรือน้ำปานะของอื่นๆ ขอความอนุเคราะห์ด้วยนะครับ

_________________
.........ถ้าเจ้าได้ทุกอย่างอย่างที่คิด
ชั่วชีวิตจะเอาของกองที่ไหน
จะได้บ้างเสียบ้างจะเป็นไร
ช่างหัวใครช่างหัวมันเท่านั้นเอง ..........


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 20 เม.ย. 2009 7:06 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
เรียนคุณบุญคุ้ม

ของขบฉันประเภท "อาหารที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันได้หลังเที่ยง" มีศัพท์เฉพาะเรียกว่า "ยาปรมัตถ์" ครับ หรือในบางครั้งก็เรียกกันย่อ ๆ ให้เข้าใจกันง่าย ๆ ว่า "ปรมัตถ์" เป็นอันรู้กัน

ปรมัตถ์ ที่พระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้ประกอบด้วยวัสดุหลายสิ่งหลายประเภท มีทั้งที่ทำขึ้นโดยน้ำมือคน และเป็นวัสดุธรรมชาติล้วน หากจะหยิบมาพูดทั้งหมดก็คงยาวเกินไป ขออนุญาตยกมาแต่เท่าที่คุณบุญคุ้มกรุณาถามมาและเท่าที่จะพอเกี่ยวข้องกันนะครับ

1. ช็อกโกแลต เป็นปรมัตถ์ที่ถวายได้ทุกเวลา ฉันได้ทุกเวลา แต่ต้องเป็นช็อกโกแลตที่ไม่ผสมนม ไม่ผสมน้ำตาล หากเป็นชนิดผง ก็ได้แก่ ผงช็อกโกแลตตรานางพยาบาล ผงช็อกโกแลตตราแวนฮูเตน เป็นต้น แต่ถ้าเป็นอย่างที่ทำสำเร็จรูปแบบเป็นแท่ง เป็นแผ่น หีบห่อมาเรียบร้อยสวยงาม จะรู้จักกันในชื่อ "ดาร์กช็อกโกแลต" หรือที่เราเรียกย่อ ๆ ว่า "ดาร์กช็อก" ซึ่งจะมีขายอยู่ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ในซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ ๆ เช่น ท๊อปส์ โลตัส บิ๊กซี ฟู๊ดแลนด์ เป็นต้น แม้ราคาจะค่อนข้างสูง แต่มีดีตรงที่เราสามารถถวายครูบาอาจารย์ได้ตลอดเวลา และพระภิกษุเมื่อรับประเคนแล้วสามารถเก็บได้ตลอดไปเพราะเป็นยาวชีวิก

แต่ถ้าช็อกโกแลตนั้นผสมน้ำตาลเพื่อให้มีรสหวานเมื่อไร ก็จัดเป็นสัตตาหกาลิก รับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้แค่ 7 วัน พ้นจากนั้นแล้วเก็บไว้ไม่ได้อีกเพราะของนั้นเป็นสันนิธิ ต้องสละออกให้สามเณรหรือคฤหัสถ์ไปเสีย

แต่ถ้าช็อกโกแลตนั้นผสมนม ไม่ว่าจะเป็นนมผง นมข้นหวาน ฯลฯ ก็ตาม ช็อกโกแลตนั้นถือว่าเป็นโภชนะ เป็นยาวกาลิก รับประเคนแล้วต้องฉันให้หมดในเช้าชั่วเที่ยง ภิกษุรับประเคนก่อนเช้าไม่ได้ หลังเที่ยงไม่ได้ หากเก็บไว้เลยเที่ยง ของนั้นเป็นนิสสัคคีย์ ฉันเข้าไปก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์

2. น้ำผึ้ง ถือเป็นสัตตาหกาลิกครับ รับประเคนแล้วพระภิกษุเก็บไว้ได้แค่ 7 วันเท่านั้น พ้น 7 วันแล้วถือเป็นสันนิธิต้องสละออก แต่ถ้าจะให้มีอายุยาวนาน เวลาไปถวาย เราก็กราบเรียนท่านว่าเราเอาน้ำผึ้งมาถวายแต่เราไม่ต้องประเคนท่าน คือบอกให้ท่านรับรู้และอนุโมทนา ส่วนน้ำผึ้งนั้นก็อาจเป็นสามเณร หรือศิษย์วัด หรือตัวเราเองก็เป็นคนยกไปเก็บในที่ที่ท่านสั่ง เพียงเท่านี้ น้ำผึ้งขวดนั้นก็จะเก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้นานแสนนานโดยไม่ต้องหมดอายุ(ในทางพระวินัย)ไปเสียก่อน

แต่ก็ยังมีผลในทางเจตนาอีกเช่นกันครับ กล่าวคือถ้าพระภิกษุมี "เจตนา" ที่จะรับน้ำผึ้งขวดนั้นไว้เพื่อผสมกับสมุนไพรเป็นยา อาจเพื่อผลทางเภสัช อาจเพื่อให้ผงสมุนไพรจับตัวเป็นก้อนง่ายต่อการปั้น อาจเพื่อทอนรสขม ฯลฯ จะอย่างใดก็แล้วแต่ และมิได้นำน้ำผึ้งขวดนั้นไปฉันในทางโภชนะหรือในทางปรมัตถ์ น้ำผึ้งขวดนั้นแม้ภิกษุรับประเคนแล้วสามารถเก็บไว้ได้ตลอดไปเช่นกัน เพราะถือว่าเป็น "เภสัช" มิใช่ "ปรมัตถ์" ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่เจตนาครับ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า

เจตนาหัง ภิกขะเว กัมมังวทามิ... ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตกล่าวว่า เจตนาเป็นกรรม

เจตนาหัง ภิกขะเว สีลังวทามิ... ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตกล่าวว่า เจตนาเป็นศีล

3.
สำหรับยารักษาโรคทุกชนิดทั้งแบบรับประทาน และทาภายนอก ถือเป็นยาวชีวิกครับ พระภิกษุรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้ตลอดชีวิต(ถ้ายาไม่หมดอายุเสียก่อน)

4. น้ำปานะ หรือน้ำผลไม้ทั้งปวงนั้น ถือเป็นยามกาลิก มีอายุอยู่ได้วันหนึ่งกับคืนหนึ่งเท่านั้น และพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตสำหรับผลไม้ที่มีขนาดไม่ใหญ่กว่ากำปั้นมือหรือไม่ใหญ่ไปกว่าผลมะตูม หากใหญ่กว่านั้นแล้วนำน้ำของมันมาฉันก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ผลไม้ที่ผิดพระวินัยเมื่อนำมาฉันหลังเที่ยงได้แก่ มะพร้าว แตงโม สัปปะรด แคนตาลูป เป็นต้น

น้ำปานะที่ถูกต้อง จำเป็นต้องกรองไม่ให้มีกาก ไม่ให้เหลือเนื้อผลไม้แม้เพียงนิดเดียว เช่น น้ำส้มคั้น หากมีถุงส้มหรือเกล็ดส้มลงไปปะปนอยู่ ภิกษุฉันเข้าไปก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ซึ่งพระพุทธองค์ทรงปรับทุกคำกลืน ดังนั้นต้องระมัดระวังให้จงหนัก และน้ำผลไม้เมื่อคั้นมาแล้ว กรองมาแล้ว ก็ต้องไม่เอาไปอุ่น ไปตั้งไฟ ไม่ว่าจะด้วยไมโครเวฟ หรือเตาแก๊ส เตาไฟฟ้าใดใดทั้งสิ้น มิเช่นนั้นน้ำปานะนั้น ๆ ก็ถือว่าเป็นโภชนะคือกลายเป็นอาหารทันที ฉันได้แค่เช้าชั่วเที่ยง พ้นจากนั้นไปแล้วนำมาฉันต้องอาบัติปาจิตตีย์

เมื่อพระภิกษุรับประเคนน้ำปานะแล้ว สามารถเก็บไว้ฉันได้แค่วันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น อรุณรุ่งขึ้นมาแล้วน้ำปานะนั้นเป็นสันนิธิ หากยังหยิบมาฉัน ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์

คำว่าวันหนึ่งคืนหนึ่ง มิได้หมายถึง 24 ชั่วโมง เป็นต้นว่าถวายพระตอนตีสามวันนี้ ท่านก็เก็บใส่ตู้เย็นไว้ฉันได้อีกนานถึง 24 ชั่วโมง คือไปถึงตีสามของอีกวัน ไม่ใช่อย่างนั้น

หากถวายน้ำปานะตอนตีสาม พระรับประเคนแล้วก็ฉันได้ถึงแค่ 6 โมงเช้า อรุณแล้วต้องสละออกทันที สรุปก็คือถือเอา สว่างกับมืด จำนวนหนึ่งชุดนั่นแหละ สิ้นสุดกันที่สว่างอีกวัน

ที่จริงยังมีรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ อีกมากครับ ผมขออนุญาตพูดถึงแต่ประเด็นสำคัญ ๆ เพราะเกรงจะเสียเวลาอ่านของคุณบุญคุ้มและทุก ๆ ท่าน แต่แม้จะเป็นรายละเอียดปลีกย่อย หากก็มีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น เช่น น้ำผึ้ง ที่แม้จะเก็บได้ 7 วัน แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเกิดนำน้ำผึ้งขวดนั้นไปผสมอาหาร น้ำผึ้งขวดนั้นก็กลายเป็นยาวกาลิกทันที คือฉันได้แค่เช้าชั่วเที่ยง เก็บไว้ไม่ได้อีกต่อไป น้ำตาลทรายก็เช่นกัน

หวังว่าคำตอบคงพอคลายความสงสัยไปได้บ้างนะครับ

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 20 เม.ย. 2009 8:59 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 8:36 pm
โพสต์: 969
ขอบพระคุณพี่ต่อสำหรับความรู้ดีๆครับ

_________________
ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นคือดีเลิศ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 20 เม.ย. 2009 8:59 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 15 ก.ย. 2008 2:57 pm
โพสต์: 212
ขอบคุณคุณบุญคุ้ม...ขอบคุณคุณรณธรรม...
ต้องขอบคุณทั้งคนถามและคนตอบค่ะ...จริงๆ คือบางอย่างทราบมาบ้างว่าอะไรควรถวายหรือไม่ควรถวายพระ
แต่ไม่ทราบว่า "ทำไม" หรือ "เพราะอะไร" ขอบคุณสำหรับคำตอบที่ชัดเจนและครบถ้วนค่ะ... :D


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 20 เม.ย. 2009 9:25 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ :D

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 20 เม.ย. 2009 10:10 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 09 ก.ย. 2008 11:02 pm
โพสต์: 360
ข้อมูลแน่นปึ้ก

นี่แหละผู้ที่ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง

ผมว่าพระบางรูปยังไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย บางรูปยังฉันนมกล่องแทนข้าวเย็นอยู่แล้วก็อนุญาตให้ผู้มาถือศีลแปดกินได้ด้วย บอกว่าไม่ผิด เห็นแล้วก็เศร้า

ขอบคุณ อ.ต่อครับ

_________________
Yesterday is history
Tomorrow is a mystery
And Today is a gift...
Thats why they call it the Present


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 20 เม.ย. 2009 10:49 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เด็กลึกลับเคยบอกเพื่อนเกี่ยวกับกาลิก 4 นี้ให้เพื่อนๆที่ประสงค์จะถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์

แต่ละคน ทำหน้าทำตาเหมือนกับว่า อะไรกันทำไมฉันไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน

พร้อมกับคำถามที่ว่า "แล้วถ้าเป็นอย่างเธอว่าจริงๆ แล้วทำไมพระท่านไม่บอกญาติโยมล่ะ"

เด็กลึกลับก็บอกไปว่า

"ก็พระท่านไม่รู้"

เหล่าเพื่อนๆก็ถามว่า "แล้วเป็นพระทำไมไม่รู้"

เด็กลึกลับก็เลยถามไปว่า

"แล้วคุณบอกได้ไหมว่ากฏหมายรัฐธรรมนูญข้อแรก ท่านว่าอย่างไร"

เพื่อนๆเหล่านั้นก็อึ้ง แล้วก็พูดตอบกลับมาว่า

"ก็เราจะไปรู้เหรอ"

เด็กลึกลับได้ที เลยถามไปว่า "ทำไมไม่รู้ ก็พวกแกร เป็นคนไทยนี่"

อภิชาตมิตร ก็มองหน้าระลึกถึงบุพการีเด็กลึกลับโดยฉับพลัน

คริ คริ คริ

เอ๋

นู๋พล่ามอารายหว่า

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 21 เม.ย. 2009 8:30 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 29 ก.ย. 2008 12:53 pm
โพสต์: 754
เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง กระผมจะน้อมนำไปปฎิบัติเด้ออ้าย..............ขอบพระคุณมากๆครับ

พบกันคราวหน้า เด๋วมีแจก...........
:vvhpy: :vvhpy:

_________________
.........ถ้าเจ้าได้ทุกอย่างอย่างที่คิด
ชั่วชีวิตจะเอาของกองที่ไหน
จะได้บ้างเสียบ้างจะเป็นไร
ช่างหัวใครช่างหัวมันเท่านั้นเอง ..........


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 21 เม.ย. 2009 5:45 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
5 5 5 แจกหมัด แจกศอกป๋มไม่เอาเน้อ :lol: :lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 22 เม.ย. 2009 1:05 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 10:40 am
โพสต์: 369
ขอบพระคุณมากๆครับ ...

พี่ต่อ ตอบได้ดีและละเอียดมากเลยครับ ได้รับความรู้ประดับสมองกลวงๆของผมได้เยอะเลย

th_07-03-2008_01.gif



ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 22 เม.ย. 2009 2:23 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
:lol: :lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 22 เม.ย. 2009 2:42 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
ขอบพระคุณมากๆครับ ...

พี่ต่อ ตอบได้ดีและละเอียดมากเลยครับ ได้รับความรู้ประดับสมองกลวงๆของผมได้เยอะเลย



ลอกเขามา(กลวงจิงๆ) :roll:

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 22 เม.ย. 2009 7:51 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
.gif


_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 67 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO