มาร่วมสนทนากันในหมู่สมาชิก แลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ท่านประสบมาได้ที่นี่ครับ
ศุกร์ 17 เม.ย. 2009 9:27 pm
เหตุการณ์ต่างๆที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับตัวผมเอง ซึ่งปิดเงียบไม่ได้เล่าให้ใครฟังมานาน
พอดีช่วงนี้ว่างๆนั่งอ่านแต่เรื่องประสบการณ์ของคนอื่นแล้ว รู้สึกอยากเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง
เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆบ้าง หรืออย่างน้อยก็เพื่อความบันเทิง
แต่สำหรับผมแล้วเรื่องเหล่านี้ไม่ขำครับ เพราะหวิดตายหลายครั้ง จากไม่เชื่อเรื่องพุทธคุณจากพระเครื่อง จนต้องยอมเชื่ออย่างหมดใจ
ส่วนท่านผู้อ่านจะเชื่อไปในทางใดก็สุดแต่ใจครับ ผมขอตั้งเป็นคำถามให้คิดกันเล่นๆก็แล้วกันครับ
ว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็น “ความบังเอิญหรือความขลังของพุทธคุณ”
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2536 ขณะนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี
เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงวันพ่อ โรงเรียนหยุดหลายวัน ผมและเพื่อนๆรวม 6 คน
จึงได้ตกลงกันว่าจะไปเที่ยวภูกระดึงกันสักครั้ง พวกเราได้ทำการเช็คเวลาเดินรถที่หมอชิตแล้ว
ทราบว่ารถเต็มทุกเที่ยว ถ้าต้องการจะเดินทางจริงๆ ต้องไปรอรถเสริมตอนช่วงประมาณสี่ทุ่ม
ผมและเพื่อนๆก็คุยกันว่าไหนๆก็ตั้งใจไว้แล้วก็ต้องไปให้ได้
ก่อนออกเดินทางผมรู้สึกเป็นกังวลยังไงชอบกล จึงตัดสินใจนำพระองค์หนึ่ง
ซึ่งคุณแม่เคยให้ไว้นานแล้วขึ้นห้อยคอ ซึ่งปกติแล้วในช่วงวัยนั้นผมไม่เคยสนใจหรือศรัทธา
เรื่องพระเครื่องเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เอาเถอะเพื่อความสบายใจ
คุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าพระองค์นี้คุณแม่ผมเคยห้อยคอไว้ตั้งแต่สมัยผมยังไม่เกิดหรือก็ยังเล็กๆอยู่
(อันนี้แม่บอกไม่แน่ใจแต่ที่แน่ๆน่าจะไม่ต่ำกว่าสามสิบปีที่แล้ว)
แม่บอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นพระอะไร แต่ท่านเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
เพราะท่านเคยโดนรถกะบะวิ่งเข้าชนแต่กลับไม่โดนตัว เพียงแต่เฉียด
และถูกล้อรถเหยียบทับเท้าอย่างจัง ซึ่งแม่บอกว่าแปลกมากที่เท้าของท่าน
ที่โดนล้อเหยียบกลับไม่มีบาดแผลหรืออาการใดๆเลย พอผมโตขึ้น
คุณแม่จึงมอบพระองค์นี้ให้แก่ผม แต่ผมก็ไม่เคยสนใจ พึ่งจะเคยนำมาห้อยก็วันนั้นนั่นเอง
พวกเราออกเดินทางจากชลบุรีในวันที่ 4 ธันวาคม 2536 ไปถึงหมอชิดเวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง
วันนั้นผู้คนที่จะเดินทางไปจังหวัดเลย แน่นมาก รถเสริมหมดไปแล้วไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน
ก็ยังไม่ถึงคิวของพวกผมสักที จนกระทั่งประมาณห้าทุ่ม
พนักงานบริษัทเดินรถก็มาเรียกพวกผมและบอกว่านี่เป็นรถเที่ยวสุดท้ายแล้ว และเหลือที่นั่งเพียงที่เดียว
ถ้าพวกผมจะไปก็ต้องลงไปนั่งในส่วนชั้นล่างของรถทัวร์ซึ่งไม่มีเก้าอี้ ต้องนั่งกับพื้น
จังหวะนั้นพวกผมตอบโดยไม่คิดทันทีว่าไป
พอพวกเราทั้งหกมาถึงที่รถซึ่งเป็นรถทัวร์สองชั้น
พนักงานประจำรถก็เดินมาที่ผมและเรียกให้ผมขึ้นไปนั่งบนชั้นสองซึ่งเหลือที่นั่งอยู่หนึ่งที่
ส่วนเพื่อนๆคนอื่นๆก็ให้นั่งรวมตัวกันอยู่ที่ชั้นล่าง ผมเดินตามพนักงานขึ้นรถไปยังที่นั่งที่เหลืออยู่ที่เดียว
ซึ่งเป็นที่นั่งแถวแรกฝั่งซ้ายห่างจากกระจกหน้ารถประมาณสองศอก
ทีแรกผมก็ตัดสินใจว่าจะนั่งตรงนั้น เพราะสบายกว่าลงไปนั่งพื้นรวมกับเพื่อนๆชั้นล่าง
แต่แล้วผมก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดีๆก็อยากลงไปนั่งรวมกับเพื่อนๆข้างล่าง
จึงบอกกับพนักงานว่าผมขอลงไปนั่งข้างล่างดีกว่า
ส่วนที่นั่งนั้นก็ขายตั๋วให้คนที่มาคนเดียวนั่งเถอะ
ซึ่งก็พอดีมีคนมาคนเดียวจริงๆ เขาจึงได้นั่งที่นั่งด้านหน้านั้นแทนผม
หลังจากที่รถเคลื่อนตัว พวกผมทั้งหกก็นั่งจุมปุ๊กกันอยู่ข้างล่างกันทั่วหน้า
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ซึ่งตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาประมาณ เที่ยงคืนกว่า
พวกเพื่อนผมทุกคนหลับกันหมดแล้ว คงเหลือเพียงแต่ผมที่ยังนั่งมองดูข้างทางผ่านกระจกบานน้อยข้างตัวรถ
รถทัวร์วิ่งฝ่าความมืดมิดภายใต้เงาจันทร์อันหดหู่กว่าทุกครั้ง
ผมจำได้ว่ารถได้วิ่งผ่านสถานีตำรวจ อ.หินกอง จ.สระบุรี ไปได้ไม่ไกล
ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่คนเดียว ทันใดนั้นโสตประสาทของผมก็ได้ยินเสียงรถเบรกอย่างแรง
ตัวรถอยู่ดีๆก็เอียงพลิกไปทางขวาพร้อมกับเสียงไถลครืดเป็นทางยาวไม่ต่ำกว่ายี่สิบเมตร
แล้วตัวผมก็หมุนกลิ้งเป็นลูกขนุนราคาถูกไปอย่างไร้ทิศทาง
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่สามารถทราบได้
ผมรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงคนร้องเอ็ดอึงไปทั่ว ผมลืมตาขึ้นดูแต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย
รอบตัวผมเต็มไปด้วยฝุ่นควันที่รอยคว้างอย่างกับแดนสนทยา
หลังจากรวบรวมสติได้ผมก็ได้ร้องเรียกหาเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกห้าคนที่มาด้วยกัน
เพื่อนทุกคนก็ขานรับกันด้วยความตกใจ
พวกเราทั้งหมดงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ช่วยกันคลำหาทางออก
ตอนนั้นบอกตามตรงว่าเรางงทิศไปหมดไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหนของตัวรถ
ผมจึงตัดสินใจเดินตามเสียงขึ้นไปบนชั้นสองของตัวรถที่มีเสียงคนเอะอะไปหมด
พอขึ้นไปถึงก็เห็นผู้โดยสารทุกคนกำลังเบียดดันกันไปด้านหน้าตัวรถ
เพราะตอนนี้ประตูรถเปิดไม่ได้เสียแล้ว ผมและพวกทุกคนก็พยายามเบียดดันไปทางด้านหน้า
จนในที่สุดก็ถึงส่วนหัวตัวรถ ที่กระจกด้านหน้าแตกยันเยิน
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดเสียวเท่ากับสิ่งที่ผมเห็นอยู่เบื้องล่างตัวรถ
นั่นก็คือร่างของชายผู้หนึ่งซึ่งถูกรถทับเหลือแต่หัวโผล่ออกมา
ผมมองด้วยความตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
เพราะชายผู้นั้นก็คือคนที่ขึ้นรถมาหลังจากผมและผมสละที่นั่งแถวหน้าชั้นสองให้แก่เขานั่นเอง
ผมได้ยินเสียงเขาร้องครวญครางขอความช่วยเหลือด้วยใบหน้าที่นองเลือดอย่างน่าสงสาร
ความรู้สึกตอนนั้นของผมเหมือนถูกสะกด เข่าอ่อนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
จนเพื่อนผมที่ตามหลังมาต้องร้องเรียกอยู่หลายครั้งให้รีบกระโดดลงจากหัวรถ
ผมจึงได้สติรีบกระโดดลงทันที
หลังจากที่ผู้โดยสารทุกคนลงจากรถหมดแล้ว
ก็รีบช่วยกันยกดันรถทัวร์สองชั้นที่นอนตะแคงแน่นิ่งอยู่ในร่องเกาะกลางถนน
เพื่อจะทำการช่วยกันดึงชายผู้เคราะห์ร้าย(แทนผม)ผู้นั้นออกมาจากตัวรถที่ทับอยู่
แต่อย่าลืมว่ามันเป็นรถทัวร์สองชั้นขนาดใหญ่
ซึ่งมีผู้โดยสารไม่กี่สิบคนที่ช่วยกันดันรถให้ตะแคงขึ้น นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
พวกเราทุกคนพยายามกันอยู่นานจนมีหน่วยกู้ภัยมาช่วยกันดัน
และในที่สุดก็ดึงร่างผู้เคราะห์ร้ายออกมาได้
แต่มันก็สายเกินไป
เพราะร่างนั้นได้หมดลมหายใจไปแล้วพร้อมกับดวงตาที่เหลือกถลนจ้องมาทางผม
(ผมคิดของผมเองคนเดียว)
ผมรู้สึกหวาดกลัวไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในใจบอกไม่ถูกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นบุญหรือกรรมกันแน่
ถ้าผมตัดสินใจนั่ง ณ ที่นั่งนั้น โดยไม่ลงไปนั่งข้างล่าง
ร่างที่หมดลมหายใจอยู่เบื้องหน้าอาจเป็นผมก็ได้
ผมคิดอะไรไม่ได้มากไปกว่า ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคุณแม่
ที่ช่วยดลใจให้ผมเปลี่ยนใจลงไปนั่งข้างล่าง
และก็ขออโหสิกรรมจากผู้ชายคนนั้นที่มารับเคราะห์แทนผม
ทราบภายหลังว่า หลังจากที่รถทัวร์พลิกคว่ำตะแคงแล้ว
กระจกหน้าฝั่งซ้ายได้ถูกเสาป้ายเกาะกลางถนนกระแทกจนแตก
และชายผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นก็พุ่งทยานออกไปที่หน้ารถขณะที่รถไถลไป และถูกรถทับตายในที่สุด
ปล. ฝากพวกพี่ๆช่วยวิเคราะห์ให้ผมทีครับ ว่าพระเครื่องที่ผมห้อยคอในวันนั้นองค์นี้เป็นพระอะไรครับ
ผมจนปัญญาจริงๆครับ เพราะพลาสติกลานหมดแล้ว เนื้อก็ดูไม่ชัดแล้ว ขนาดองค์พระเล็กประมาณเท่าเม็ดแตงครับ
- P1050772.jpg (129.96 KiB) เปิดดู 1363 ครั้ง
ประสบการณ์เฉียดตายของผมยังมีอีกสองภาคครับ หากภาคแรกเรทติ้งดี ภาคสองและสามจะทยอยกันมาครับ
แล้วทุกคนจะรู้ว่าเรื่องราวที่ผมเล่าให้ฟังเหล่านี้มันมหัศจรรย์ยิ่งกว่า
กล้องวงจรปิดเสียพร้อมกันห้าตัวซะอีก
ศุกร์ 17 เม.ย. 2009 9:44 pm
ร๊อ รอ ร๊อ รอ
เสาร์ 18 เม.ย. 2009 2:48 am
มานั่งรอภาคต่อไปด้วยครับ
เสาร์ 18 เม.ย. 2009 3:32 am
อ่านเรื่องจบแล้วมีข้อสะดุดใจก็คือว่า
1. "....เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2536 ขณะนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ..." ประโยคนี้ผมอ่านแล้วสะท้อนใจมาก ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมแก่เหลือเกิน
2. ประสบการณ์ขนาดนี้ไม่แพ้กระสุน 84 นัด กับ เอ็ม 79 อีก 1 ลูกของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลครับ
(ดีนะเนี่ย ที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในบริษัทในเครือของแกแล้ว ไม่งั้นป่านนี้ด้วยหุ่นอันงามสง่าของผม อาจถูกเปลี่ยนตำแหน่งจากพนักงานธรรมดา ไปเป็นคนติดตาม หรือไม่ก็ รปภ. แหงมเลย)
3. ให้ผมเดาพระที่เห็นในรูปนะครับ ถ้าองค์ขนาดเม็ดแตงและเป็นเนื้อชิน ผมขอเดาว่า เป็นพระกรุ คือ พระพิจิตร ครับ
เสาร์ 18 เม.ย. 2009 3:42 am
แหม....สำนวนลึกล้ำชวนติดตาม "
ประสบการณ์ที่สว่างจ้าฝ่าความมืดมิดภายใต้เงาจันทร์อันหดหู่...."
ผมว่าที่คุณ jojo รอดมาได้นอกจากพุทธคุณของพระเครื่องแล้ว คงเป็นอานิสงฆ์จากการกระทำความดีที่ได้เพียรพยายาม
ทำมาตลอด
ก็ขอเป็นกำลังใจครับ ขอให้เรทติ้งดี หมื่นคลิ๊ก หมื่นโหวต สำหรับบทความดีดีจากชายหนุ่มสุดหล่อ
ด้วยพุทธคุณนาม jojo
อ้อ...สำหรับพระตามรูป น่าจะเป็นพระกรุ แถวๆพิจิตร หรือไม่ก็กำแพงเพชรอ่ะครับ
เสาร์ 18 เม.ย. 2009 10:39 am
แว่บแรกว่าพระพิจิตร แต่ทรงยาวไปนิดนึงครับ ต้องเช็คกำแพงด้วย
เสาร์ 18 เม.ย. 2009 3:35 pm
อาฮ้า
เรื่องราวแบบนี้ ประสบการณ์แบบนี้ ต้องคุณพี่ JoJo เท่านั้นฮะ
อ่ะ
แล้วเรื่องอื่นๆ ล่ะฮะ
แบบว่าๆ
ประสบการณ์ทางวิญญาณอ่ะฮะ เด็กลึกลับแลจะชอบฮะ
เพราะค่อนข้างห่างไกลตัวเองอ่ะฮะ เลยต้องฟังคนอื่นเล่าไปก่อน
ชิมิ ชิมิ ชิมิ
เสาร์ 18 เม.ย. 2009 10:30 pm
เด็กลึกลับ เขียน:อาฮ้า
เรื่องราวแบบนี้ ประสบการณ์แบบนี้ ต้องคุณพี่ JoJo เท่านั้นฮะ
อ่ะ
แล้วเรื่องอื่นๆ ล่ะฮะ
แบบว่าๆ
ประสบการณ์ทางวิญญาณอ่ะฮะ เด็กลึกลับแลจะชอบฮะ
เพราะค่อนข้างห่างไกลตัวเองอ่ะฮะ เลยต้องฟังคนอื่นเล่าไปก่อน
ชิมิ ชิมิ ชิมิ
แน่ใจนะฮะ
เล่าต่อครับๆๆๆๆๆ
อาทิตย์ 19 เม.ย. 2009 11:39 am
อู๊ยยย...สำนวนตื่นเต้น เร้าใจ ใจจดใจจ่อรอภาค 2 ภาค 3 น๊า....
จันทร์ 20 เม.ย. 2009 4:46 am
จิ้งจก เขียน:อ่านเรื่องจบแล้วมีข้อสะดุดใจก็คือว่า
1. "....เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2536 ขณะนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ..." ประโยคนี้ผมอ่านแล้วสะท้อนใจมาก ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมแก่เหลือเกิน
2. ประสบการณ์ขนาดนี้ไม่แพ้กระสุน 84 นัด กับ เอ็ม 79 อีก 1 ลูกของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลครับ
(ดีนะเนี่ย ที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในบริษัทในเครือของแกแล้ว ไม่งั้นป่านนี้ด้วยหุ่นอันงามสง่าของผม อาจถูกเปลี่ยนตำแหน่งจากพนักงานธรรมดา ไปเป็นคนติดตาม หรือไม่ก็ รปภ. แหงมเลย)
3. ให้ผมเดาพระที่เห็นในรูปนะครับ ถ้าองค์ขนาดเม็ดแตงและเป็นเนื้อชิน ผมขอเดาว่า เป็นพระกรุ คือ พระพิจิตร ครับ
เรื่องนี้อ่านแล้วมีข้อสะดุดใจดีครับ คือว่า...
1. ในปี พ.ศ. 2536 นั้น ผมกลายเป็นภิกษุอยู่ที่วัดป่าสาลวันไปแล้ว ผมสะท้อนใจมาก เพราะเสียดายครับ ที่ไม่มีโอกาสได้สวดให้คุณjojo (ก๊ากกก..กก...)
2. ประสบการณ์เรื่องแรกยังขนาดนี้ หวังว่าเรื่องที่สองและสามควรต้องแรงจนเคาะฝาโลงยิ่งกว่านี้นะขอรับ อิอิ
3. ให้ผมเดาพระที่เห็นในรูปนะครับ ถ้าเป็นองค์เล็ก ๆ เลี่ยมทองอย่างนี้....ลักษณะเป็นพระกรุอย่างนี้.........อ้อ เป็นพระของผมนี่ครับ
จันทร์ 20 เม.ย. 2009 12:16 pm
เย้...อ.ต่อเข้ามาดูแล้ว ขณะที่ผมตอบกระทู้อยู่นี้ จำนวนคนเข้าดูกระทู้นี้มีทั้งหมด 99 คน และคนตอบ 9 คน(อ.ต่อนี่ช่างเลือกเวลาจริงจริ๊ง) นั่นถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ผมจะโพสภาคสองซะที ยังไงช่วยอ่านและเม้นท์กันหน่อยนะครับ
จันทร์ 20 เม.ย. 2009 12:30 pm
ชะแว๊บบบบ
- th_yoyo34[1].gif (19.97 KiB) เปิดดู 1171 ครั้ง
อุตสาห์ขี่เมฆมาโพสต์ให้กับคุณ jojo เลยนา!
สวัสดีครับอาคุงเหล่าซือ
หนีเขามา เอ๊ยไม่ใช่ หนีห่าวมา
ผมอ่านดูแล้ว จบแล้ว ก้อได้แต่นั่งรอ
จะอ่านภาคต่อไปอีกอะ อุอุ นินุ นินุ งิงิ จิจิ กุกุ
เซี่ยเซี่ยหนี่เนอ
จันทร์ 20 เม.ย. 2009 1:13 pm
ขอบคุณพี่อาร์ตมากครับ ที่เข้ามาเป็นกำลังใจ
ผมก็รออ่านเรื่องมันส์ๆจากพี่อาร์ตอยู่นะครับ
จันทร์ 20 เม.ย. 2009 5:53 pm
ขอภาคสาม........เป็นไตรภาคเลยน้า............
อังคาร 21 เม.ย. 2009 1:04 am
JoJo เขียน:ขอบคุณพี่อาร์ตมากครับ ที่เข้ามาเป็นกำลังใจ
ผมก็รออ่านเรื่องมันส์ๆจากพี่อาร์ตอยู่นะครับ
อืม.มีครับมีเรื่องมันส์ๆน่ะ
ว่าแต่จะเอาเรื่องถั่วหรือแห้วดีล่ะ
อังคาร 21 เม.ย. 2009 5:49 pm
ถั่วก็ฟังมันส์
แห้วก็อดฟังสิคับ
- .gif (16.55 KiB) เปิดดู 1084 ครั้ง
พฤหัสฯ. 23 เม.ย. 2009 2:19 am
งงกับมุขคนแก่จังวุ้ย
อ้ะ ล้อเล่นนะกั๊บ
พฤหัสฯ. 23 เม.ย. 2009 3:06 am
แหม อ้ายหนุ่ม
พฤหัสฯ. 23 เม.ย. 2009 12:34 pm
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.