Switch to full style
มาร่วมสนทนากันในหมู่สมาชิก แลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ท่านประสบมาได้ที่นี่ครับ
ตอบกระทู้

ฝรั่งเจอดีลบหลู่วัดพระแก้ว

เสาร์ 09 พ.ค. 2009 5:28 pm

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ว่า ได้รับการเปิดเผยจาก ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ว่าได้รับแจ้งจากการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า มีนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน ชื่อนายเจอร์เกน ซี. ส่งจดหมายแจ้งความประสงค์ ขอส่งคืนเศษแก้วสีเขียวมรกต ที่เก็บไปจากเจดีย์พระมณฑป ในวัดพระแก้ว โดยภายในซองจดหมาย ยังบรรจุแก้วสีเขียวมรกตขนาด 1X1 นิ้ว มาด้วย โดยนักท่องเที่ยวคนดังกล่าว ให้เหตุผลในการนำเศษแก้วมาคืนไว้ว่า ตั้งแต่นำเศษแก้วกลับไปที่ประเทศเยอรมัน ชีวิตมีแต่สิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้น

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า จดหมายของ นายเจอร์เกน ซี. ที่เขียนมานั้น ระบุว่า ได้มาท่องเที่ยวที่กรุงเทพมหานครกับแฟนสาวเมื่อ 2-3 ปีก่อน รู้สึกประทับใจวัฒนธรรมของประเทศไทยอย่างมาก และได้ไปเที่ยววัดพระแก้ว โดยระหว่างเดินชมความงดงามของสถาปัตยกรรมภายในวัดอยู่นั้น ได้พบแก้วชิ้นเล็กๆ สีเขียวตกอยู่ที่พื้น เข้าใจว่าเป็นแก้วประดับจากเจดีย์องค์ใดองค์หนึ่งร่วงลงมา ในเวลานั้นคิดว่าเป็นสัญญาณจากพระพุทธเจ้าที่อนุญาต ให้นำชิ้นแก้วเก็บไปเป็นที่ระลึกในการเยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงามเช่นนี้ จึงได้ถามไกด์ที่นำเที่ยวในวันนั้นว่า สามารถที่จะเก็บเศษแก้วชิ้นนี้กลับไปได้หรือไม่ ซึ่งไกด์ตอบกลับว่า ให้ตนกำหนดจิตและขอจากองค์พระพุทธรูป ขณะนั้นรู้สึกเหมือนได้รับสัญญาณจากองค์พระว่าให้เก็บไปได้ แต่ขณะนี้กลับรู้สึกละอายมากที่เข้าใจผิด ทั้งนี้ เพราะตั้งแต่ได้แก้วชิ้นนี้มามักจะพบแต่เรื่องโชคร้ายตลอด ซึ่งไม่รู้ว่าสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องกับแก้วที่เก็บมาจากวัด พระแก้วหรือไม่ จึงตัดสินใจว่าจะส่งแก้วคืน เพราะคิดว่าไม่สมควรที่จะเป็นเจ้าของแก้วชิ้นนี้

ม.ร.ว.จักรรถกล่าวอีกว่า ชิ้นแก้วที่นายเจอร์เกน ซี. นำมาคืนนั้น เข้าใจว่า ททท.คงจะนำกลับไปส่งคืนที่วัดพระแก้วแล้ว โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน น่าจะถือเป็นโชคร้ายที่นำของศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นของที่ระลึกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรืออาจจะเชื่อกลุ่มมัคคุเทศก์ที่ไม่มีจรรยาบรรณ เพราะคนไทยมีความเชื่อว่าห้ามเก็บสิ่งของต่างๆ ภายในวัดกลับไปไว้ที่บ้านเพราะจะทำให้โชคร้าย ต้องมีอันเป็นไป เช่น เจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ ฯลฯ และตนยังเคยประสบเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เมื่อครั้งไปบูรณะพระธาตุพนม จ.นคร
[1].jpg
[1].jpg (42.94 KiB) เปิดดู 1374 ครั้ง

พนม คนงานที่เข้าไปซ่อมแซมแอบนำโบราณวัตถุกลับบ้าน ทำให้เกิดสิ่งไม่ดีต่อชีวิต จนต้องนำโบราณวัตถุกลับมาคืนและทำพิธีขอขมาที่วัด จากนั้นปัญหาต่างๆก็หมดไป สมบัติของวัด โบราณสถาน โบราณวัตถุ ไม่ว่าจะอยู่บน ดิน ในน้ำ ไม่ใช่สมบัติของใคร และไม่มีใครสามารถนำมาเป็นสมบัติส่วนตัวได้ ของทุกสิ่งมีคำสาป มีคาถากำกับ เพราะไม่ต้องการให้คนนำไปเป็นสมบัติส่วนตัว แต่ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวว่า หลังจากนี้จะเรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมศิลปากร ททท. มัคคุเทศก์ เพื่อหาแนวทางในการป้องกันสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งแนวทางในการป้องกันพวกที่ชอบงัดแงะ เศษกระเบื้อง หรืออิฐ จากโบราณสถาน จากวัดไปเป็นสมบัติส่วนตัว นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าจะหารือกับนักกฎหมายเพื่อหาทางเพิ่มโทษ เพราะปัจจุบันความผิดเกี่ยวกับการลักขโมย ทำลายโบราณสถาน โบราณวัตถุตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 มีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาทนั้นน้อยไป ต้องลงโทษพวกที่นำสมบัติของแผ่นดินไปเป็นสมบัติส่วนตัวให้หนักขึ้น

ทั้งนี้ ในจดหมายที่นายเจอร์เกน ซี. เขียนมาถึง ททท.นั้น ระบุว่า ตนกับแฟนสาวเดินทางเข้ามาเที่ยวกรุงเทพฯ เมื่อ 2-3 ปีก่อน แล้วเดินทางกับคณะทัศนศึกษาจากกรุงเทพฯ มุ่งไปฮ่องกง รู้สึกประทับใจในวัฒนธรรมไทยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการได้ไปเที่ยวชมที่วัดพระแก้ว ที่นี่ตนได้เก็บชิ้นแก้วเล็กๆบนทางขึ้นเจดีย์แห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นได้ถามไกด์นำเที่ยวว่าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงศาสนา และสถานที่อันงดงามนี้ได้หรือไม่ ไกด์บอกว่าให้อธิษฐานขอกับองค์ พระพุทธเจ้าเอาเอง จึงตั้งสมาธิอธิษฐานชั่วครู่หนึ่งแล้วคิดว่าได้รับประทานอนุญาตแล้ว ซึ่งตนเป็นคนเคารพนับถือศาสนาอย่างจริงจัง

และศรัทธาในพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับที่ศรัทธาต่อพระเยซู แต่มาถึงวันนี้รู้สึกว่าเหมือนมีเสียงใครมาคอยบอกว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร และรู้สึกละอายมากที่เข้าใจผิดไปเอง
"นี่อาจจะเป็นคำสาปแช่งหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ เกิดสิ่งเร้นลับตลอด 2-3 ปีก่อน ตนประสบแต่เรื่องเคราะห์ร้าย มีทั้งเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวและการงาน จนกระทั่งได้ยินคำร่ำลือถึงอาถรรพณ์ของวัด เลยคิดว่าจะเป็นไปได้หรือ ดังนั้นจึงได้ส่งเศษชิ้นแก้วเล็กๆนี้มาพร้อมกับจดหมายเพื่อนำกลับคืนสู่ที่เดิม และพร้อมที่จะส่งเงินมาบริจาคให้แก่ทางวัด ในการทำพิธีขอขมาเพื่อขจัดปัดเป่าสิ่งที่เลวร้ายออกไป" นายเจอร์เกนระบุไว้ในจดหมาย.
Copy of GBldg05sp[1].jpg
Copy of GBldg05sp[1].jpg (40.03 KiB) เปิดดู 1374 ครั้ง

ที่มา http://www.thairath.co.th/thairath1/...ov/30/p1_1.php

.......................................................

รมต.เตือนพวกซ่า อย่าลอง อาถรรพณ์มีจริง
จากกรณีนักท่องเที่ยวหนุ่มเมืองเบียร์เจออาถรรพณ์ ของชิ้นแก้วประดับมณฑปที่เก็บ ไปจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ทำให้ชีวิตเดือดร้อน จนต้องนำส่งคืนไทย เป็นข่าวใหญ่โตนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พ.ย. บรรดาผู้รู้เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของวัดพระแก้ว และวัดวาอารามสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างออกมายืนยันเรื่องอาถรรพณ์ และความศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่ใช่เรื่องควรลบหลู่หรือลองดี โดยนายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมว.วัฒนธรรมกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เคยมีเรื่องแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้น กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นำเศษแก้วจากวัดอรุณราชวราราม กลับบ้านแล้วต้องนำมาคืน เพราะประสบเรื่องเดือดร้อนมาแล้ว เพราะคนต่างชาติมักจะคิดว่าวัดไทย มีแต่ความสวยงาม แต่คิดไม่ถึงว่าวัดไทยคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆ แม้แต่นักรบเวลาจะออกรบก็ต้องมาประกอบพิธีกันที่วัด ยิ่งวัดพระแก้วยิ่งสำคัญ รวม ทั้งวัดอื่นๆ ที่สำคัญที่มีอาถรรพณ์ขึ้นชื่อด้วย เช่น พระธาตุพนม จ.นครพนม พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ฯลฯจึงสั่งการให้กรมศิลปากรประสาน กับการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทยจัดอบรมไกด์ทั่วประเทศ เพื่อสร้างจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัดไทยแล้ว

ด้านนายอารักษ์ สังหิตกุล อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวในวันเดียวกันว่า รมว.วัฒนธรรมได้สั่งการให้จัดอบรมไกด์ทั่วประเทศ เพื่อหามาตรการในการป้องกันโบราณสถานโบราณวัตถุ ตลอดจนวัดสำคัญๆ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ เหมือนกับที่นายเจอร์เกน ซี. นักท่องเที่ยวเยอรมันเจอ เพราะที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เจอเหตุการณ์แบบเดียวกันคือนำสิ่งของจากวัดกลับบ้าน แล้วต้องเดือดร้อน ประสบปัญหาชีวิตต่างๆ นานา จนต้องนำกลับมาคืน
ทั้งนี้ นายอารักษ์ยืนยันว่า ชาวต่างชาติและชาวไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ หลายคนชอบลองของ คิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีจริง ที่เจอบ่อยๆ คือ ชอบแอบฉี่ในวัด ซึ่งก็ต้องมีปัญหากับอวัยวะตรงส่วนนั้นๆ บวมบ้าง ฉี่ไม่ออกบ้าง เพราะไปลบหลู่ ไม่รู้จักที่ทาง วัดพระแก้วถือเป็นวัดสำคัญคู่ชาติบ้านเมือง เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ เพราะสร้างขึ้นพร้อมๆ กับวังคือเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นวัดคู่วัง มีการวางฤกษ์ตามตำราพิชัยสงคราม พระพุทธรูปหรือวัสดุต่างๆ ในวัดสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ให้ปกปักรักษาชาติถือเป็นของมีค่าและศักดิ์สิทธิ์ทุกชิ้น เป็นสมบัติของแผ่นดิน ของในหลวงและของพระพุทธศาสนา ดังนั้น เวลาจะบูรณะวัดต้องมีพิธีบวงสรวง ขอขมา และช่างต้องแต่งชุดขาวหมด

อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวอีกว่า ไม่เฉพาะวัดพระแก้ว ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือ วัดโพธิ์ วัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้ง วัดราชบพิธ และวัดใกล้เคียง มีทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หลังจากนำพระ เศษแก้ว กระเบื้องจากวัดกลับบ้านคิดว่าเป็นมงคลคงจะไม่เกิดอะไรเกิดขึ้น แต่ทุกรายต้องมีอันต้องประสบเคราะห์กรรมหมด

ขณะที่พระธรรมกิตติเมธี ผช.เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ที่จัดว่าเป็นผู้มีความรู้ด้านการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดีรูปหนึ่ง กล่าวว่า วัดพระแก้วเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์มาก พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นวัดคู่ชาติบ้านเมือง พระพุทธรูปหรือแม้แต่เศษหิน เศษดินที่อยู่ในบริเวณวัดถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีคำอธิษฐานจิตให้อยู่คู่กับวัด คนโบราณจึงมีคำบอกเล่าต่อกันมาว่า ก่อนออกจากวัดให้ล้างมือล้างเท้าเสียก่อน เพราะกลัวว่าเศษหินเศษดินจะติดกลับบ้าน ดังนั้น คนที่นำของวัดกลับบ้านจึงต้องมีอันเป็นไปทุกคน
"เคยเจอชายคนหนึ่ง เป็นคนเหนือนำลูกกระจังลายไทยจากวัดพระแก้วกลับบ้าน เพื่อตั้งใจนำไปเป็นของที่ระลึกเลี่ยมใส่ทอง กลับไปไม่ถึงวันมีคนไปตามกลับมาคืนแต่งตัวสีแดง ยืนกอดอกบอก "เอาของกูคืนมาๆ" จนต้องนำกลับมาคืน ทำพิธีขอขมากันยกใหญ่" พระธรรมกิตติเมธียกตัวอย่างพร้อมกล่าวเตือนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมทั้งประชาชนทั่วไปว่า เวลาไปตามวัดต่างๆ มีพระนำวัตถุมงคลหรือพระพุทธรูปมาให้บูชา ไม่สมควรที่จะรับ เพราะเราไม่รู้ที่มาและไม่รู้ว่าสร้างพระไว้เพื่ออะไร รับไปแล้วอาจจะให้โทษได้ เช่น พระท่า-กระดานพระท่านสร้างเก็บไว้ในเจดีย์เพื่อให้นักรบนำติดตัวเป็นขวัญกำลังใจ รบเสร็จแล้วก็นำกลับมาเก็บไว้ที่เจดีย์ แต่คนปัจจุบันนำมาสะสม ห้อยคอ ซึ่งไม่ถูกต้อง

จากนั้น ผช.เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ กล่าวถึง ความศักดิ์สิทธิ์ของวัดพระแก้ว ถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ใครจะขอพรให้สมหวังในสิ่งที่มุ่งหวังมักจะไม่พลาด แต่ต้องรู้จักวิธีบูชา คือ ต้องนำอาหารอีสานไม่ต่ำกว่า 8 อย่าง สังฆทาน ไตรจีวร เงินเหรียญเกินอายุ เช่น อายุ 30 ปี ต้องใช้ 31 เหรียญ ไข่ 108 ฟอง เท่ากับจำนวนเทวดา พร้อมกับเตรียมเงินเหรียญ 1 บาท จำนวน 10 บาทไปวางไว้ที่บันไดกลางที่เสด็จพระราชดำเนิน ถ้าต้องการยศ ให้วางด้าน "หัว" ถ้าต้องการทำมาค้าขึ้นให้วางด้าน "ก้อย" แล้วต้องทำสมาธิ จะสำเร็จสมหวังทุกประการ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้าน รวมทั้งนักการเมืองก็ทำกันแบบนี้ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอดทนทำสมาธิ จึงไม่สำเร็จ เมื่อเร็วๆนี้นักการเมืองใหญ่ที่อยากเป็นนายกรัฐมนตรีก็เคยมาทำพิธี แต่ไม่อดทนและไม่มีความจริงใจเลยไม่ประสบความสำเร็จ
เช่นเดียวกับนายปกรณ์ ตันสกุล ผอ.กองศาสนูปถัมภ์ กระทรวงวัฒนธรรม ก็กล่าวถึงตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของวัดพระแก้วนั้นมีมาก เช่น ตอนที่มีการบูรณะใหญ่เมื่อ พ.ศ.2525 กรุงเทพฯตั้งมาครบ 200 ปี คนงานจากกรมศิลปากรแอบขโมยพระออกไปขายให้ร้านทอง ต่อมาร้านทองนั้นเกิดไฟไหม้เป็นข่าวใหญ่โต ส่วนคนขโมยก็มีอันเป็นไป กระนั้นยังมีความพยายามขโมยของออกจากวัดเรื่อยๆ โดยเฉพาะพระที่อยู่ตามผนังโบสถ์ จำนวนมาก เพราะเชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่ต้องนำมาคืนหมด ฉะนั้น ต้องอย่าลืมว่าพื้นที่สร้างวัดพระแก้วเต็มไปด้วยกระดูกช้างที่โบราณถือว่าศักดิ์สิทธิ์ และวัดสร้างขึ้นจากความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อในหลวง ต่อพระพุทธศา
สนา
สำหรับบรรยากาศที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากที่ข่าวนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน เจออาถรรพณ์ วัดพระแก้วแพร่สะพัดออกไป ปรากฏว่ามีประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจเดินทางมาเที่ยวชม และกราบไหว้สักการะพระแก้วมรกตและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจกับข่าวที่เกิดขึ้นไม่น้อย แต่ยังคงใช้มือลูบๆคลำๆกระเบื้อง เศษแก้วที่ติดตามพระเจดีย์ มณฑป โบสถ์ต่างๆ รวมทั้งช้างประจำรัชกาล นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่านับจากมีข่าวนี้ออกมา เจ้าหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยได้เข้มงวดกวดขัน ในการเดินตรวจตรานักท่องเที่ยวและบรรดามัคคุเทศก์ยิ่งขึ้น เนื่องจากเกรงว่าจะมีการงัดแงะ เก็บเศษแก้ว หรือกระเบื้องกลับไป
อีก
ทั้งนี้ ข่าวฝรั่งเยอรมันเจออาถรรพณ์วัดพระแก้ว กลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก เนื่องจากในวันเดียวกัน สำนักข่าว "เอเอฟพี" ได้ประโคมข่าวนี้เต็มที่ โดยอ้าง รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" ว่า นักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน ชื่อนายเจอร์เกน ซี. ได้ส่งเศษแก้วสีเขียวมรกต ที่แอบเก็บไปจากเจดีย์พระมณฑปในวัดพระแก้วเมื่อ 2-3 ปีก่อน คืนให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หวังยุติความโชคร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่นำเศษแก้วไป ซึ่งในจดหมายของนายเจอร์-เกน ซี. ที่ส่งมาพร้อมเศษแก้วสีเขียวกล่าวว่า ไม่รู้ว่าต้องคำสาปหรือไม่ แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติเกิดขึ้น ประสบแต่โชคร้าย ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว ดังนั้น จึงตัดสินใจส่งเศษแก้วคืน และจะส่งเงินมาบริจาคให้วัดพระแก้ว เพื่อเป็นการขอขมาและขจัดปัดเป่าเคราะห์ร้าย นอกจากนี้ เอเอฟพี รายงานด้วยว่า วัดพระแก้ว ซึ่งมีอายุเก่าแก่ 221 ปี เป็นสถานที่ ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ของเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติ

ที่มาจากhttp://www.thairath.co.th/thairath1/2546/page1/dec/01/p1_1.php

Re: ฝรั่งเจอดีลบหลู่วัดพระแก้ว

เสาร์ 09 พ.ค. 2009 11:07 pm

ขอบพระคุณมากครับคุณอาร์ต แหม อ่านมันส์ดีจริง ๆ มีอีกป่ะครับ :D

Re: ฝรั่งเจอดีลบหลู่วัดพระแก้ว

อาทิตย์ 10 พ.ค. 2009 4:09 am

แจร๋วจริง
ตอบกระทู้