นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 30 ธ.ค. 2024 11:57 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 07 ม.ค. 2010 7:34 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 01 ส.ค. 2009 11:36 pm
โพสต์: 83
ประวัติโดยย่อครูบาสิทธิ

หลวงปู่ครูบาสิทธิ อภิวัณโณ นามเดิมชื่อสิทธิ เมืองใจ เกิด ๑๐ มิย. พศ .๒๔๖๕ ณ. บ้านแม่ฮ่าง ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เป็นบุตรคนโตของพ่อบุญมา และแม่ป้อ เมืองใจ ในพี่น้องทั้งหมด ๕ คน หลังจากหลวงปู่ฯเกิดได้ไม่นานพ่อแม่ก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านปางกลาง

อายุ ๑๖ ปีได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดปางกลาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ในวันที่ ๕ เม.ย. ๒๔๘๑ โดยมีครูบาแก้ว กาวิชโย วัดมงคลสถาน อุปัชฌาย์

ต่อมาได้อุปสมบทเมื่ออายุ ๒๑ ปี ณ วัดชัยสถาน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ในวันเสาร์ที่ ๑๓ มิ.ย. ๒๔๘๕ โดยมีครูบาก๋องคำ วัดมาตุการาม เป็นพระอุปปัชฌาย์ ครูบาอุ่นเรือน ธีรปัญโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระคำภีร์ ธมฺมวโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้วก็ได้ศึกษาพระปริยัติธรรม กับครูบาสิงห์แก้ว ที่วัดแม่อายหลวง จนจบนักธรรมเอก ขณะเดียวกันก็ได้ศึกษาอักขระและเวทย์มนต์ล้านนากับพระอธิการวงศ์ เจ้าอาวาสวัดจองกล๋าง อีกทั้งยังใช้เวลาว่างศึกษาค้นคว้าพระเวทย์จากปั๊ปสาต่างๆอีกจำนวนมาก

หลังจากนั้นในปี ๒๔๙๓ หลวงปู่ครูบาสิทธิได้ถูกส่งไปรักษาการเจ้าอาวาสวัดห้วยม่วงจนถึง พ.ศ.๒๔๙๗ จึงถูกส่งไปดูแลวัดถ้ำตับเต่าเนื่องจากครูบาธรรมชัย(ศิษย์ครูบาศรีวิชัย) เจ้าอาวาสวัดในสมัยนั้นถูกอาราธนาไปพัฒนาวัดทุ่งหลวง อ.แม่แตง

วัดถ้ำตับเต่านี้อยู่ในป่าเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์แต่เป็นวัดสำคัญเพราะเคยเป็นที่พักทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถขณะนำกำลังเข้าตีพม่าในปี พศ.๒๑๓๕ พระองค์ได้ทรงสร้างพระปางไสยาสน์ก่ออิฐถือปูนเคลือบยางรักศิลปอยุธยาและพระอัครสาวกล้อมรอบเอาไว้ภายในถ้ำแห่งนี้และยังมีพระพุทธรูปกับเจดีย์ที่สร้างโดยการก่ออิฐถือปูนเช่นกันแต่สามารถเอานิ้วมือกดลงไปแล้วนิ่มหยุ่นๆเหมือนถุงพลาสติกใส่น้ำน่าอัศจรรย์ยิ่ง นอกจากนี้ภายในถ้ำยังมีศิลาจารึก๓ แผ่นเป็นตัวหนังสือพื้นเมืองเก่าแก่มีใจความว่าเป็นถ้ำที่พระอรหันต์รูปหนึ่งเคยอยู่บำเพ็ญสมณธรรมและดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานที่ถ้ำนี้ ในคราวนั้นได้มีเทวดามากมายได้พากันมาถวายพระเพลิง จนไฟทิพย์ที่เผาธาตุขันธ์พระอรหันต์ได้ลามไหม้ป่าไปไกลประมาณ ๓ กิโลเมตร กว้างประมาณ ๒ กิโลเมตร และยังไหม้ลึกลงไปในดินด้วยอำนาจร้อนแรงกล้า ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งไฟที่ลุกไหม้ไว้ได้ เดือดร้อนถึงพญานาคในเมืองบาดาล ต้องเกณฑ์นาคน้อยใหญ่ทั้งหลายให้ขึ้นมาช่วยกันพ่นน้ำดับไฟ ในที่สุดด้วยอิทธิฤทธิ์ของพวกพญานาคทำให้ไฟป่าที่ลุกลามไปได้ดับมอดสนิทลงเกิดขี้เถ้าทับถมกันมากมายจนกลายเป็นที่มาของชื่อถ้ำเป็นภาษาเหนือว่า “ตั๊บเต้า”แล้วกลายมาเป็น “ตับเต่า” ดังปัจจุบัน

เมื่อหลวงปู่ครูบาสิทธิมาถึงวัดถ้ำตับเต่าใหม่ๆก็ถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลถ้ำทดสอบอย่างหนัก แต่ท่านก็ผ่านมาได้เพราะตั้งมั่นอยู่ในสมณธรรม ในช่วงแรกของการมาอยู่ที่นี่นั้น พ่อหนานมูล บ้านร้องธาร ฆราวาสผู้แก่กล้าอาคมและโด่งดังมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากวัดถ้ำตับเต่ามากนัก เกิดศรัทธาในวัตรปฏิบัตรของหลวงปู่ฯจึงอาสาอุปปัฐากและถ่ายทอดมอบวิชาอาคมให้หลวงปู่จนหมดสิ้น ทำให้หลวงปู่ฯสามารถสงเคราะห์ญาติโยมได้มากขึ้น ประกอบกับขณะที่หลวงปู่ครูบาสิทธิอยู่จำพรรษาณ.วัดถ้ำตับเต่าแห่งนี้ หลวงปู่มิได้อยู่ในวัดที่ตั้งอยู่หน้าถ้ำ แต่หลวงปู่ฯกลับขึ้นไปจำวัดปฏิบัติธรรมอยู่ภายในถ้ำ และภายในถ้ำตับเต่านี้หลวงปู่ฯท่านได้พบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือปาฏิหารย์มากมายโดยเฉพาะปู่ฤๅษีองค์หนึ่งที่เป็นคู่บารมีของพระอรหันต์ที่มาดับขันธ์สู่นิพพานณ.ถ้ำแห่งนี้ และปู่ฤๅษีองค์นี้เองที่ช่วยให้การปฏิบัติกรรมฐานของหลวงปู่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนเข้าถึงอภิญญาสมาบัติ รวมเวลาที่หลวงปู่ฯได้ศึกษาพระเวทย์และปฎิบัติภาวนาอยู่ในถ้ำตับเต่าแห่งนี้นานถึง ๙ ปี

กระทั่งปี พศ.๒๕๐๘ พ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) เสา แห่งหมู่บ้านปางต้นเดื่อ ยอดดอยลาง ดินแดนที่อำนาจรัฐของประเทศไทยในขณะนั้นเข้าไปไม่ถึง ในพื้นที่เต็มไปด้วยกองกำลังกลุ่มต่างๆ ของหลายชนเผ่า ได้มาขอพระสงฆ์กับท่านเจ้าคณะอำเภอฝาง(สมัยนั้นยังไม่มีอำเภอแม่อาย) ให้ไปจำพรรษาณ.ที่พักสงฆ์ปางต้นเดื่อเพื่อช่วยสงเคราะห์ชาวเมืองที่ขึ้นไปบุกเบิกป่าทำไร่ชา เนื่องว่าในขณะนั้นบนดอยลางมีแต่ฤๅษีไม่มีพระประกอบศาสนกิจ ท่านเจ้าคณะอำเภอทราบเรื่องดังนี้แล้วก็พิจารณาเห็นว่าในขณะนั้นคงมีเพียงหลวงปู่ครูบาสิทธิรูปเดียวเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของชาวบ้านได้และสามารถจะพัฒนาที่พักสงฆ์ให้กลายเป็นวัดสำเร็จ จึงได้ให้พ่อหลวงเสานำคณะศรัทธาไปรับหลวงปู่จากถ้ำตับเต่าขึ้นสู่ยอดดอยลางพัฒนาที่พักสงฆ์จนกลายมาเป็นวัดในปัจจุบัน โดยมีศาสนสถานที่หลวงปู่สร้างมาเป็นลำดับดังนี้
พ.ศ. ๒๕๑๕ สร้างศาลาการเปรียญ (วิหาร)
พ.ศ. ๒๕๓๐ สร้างศาลาปฎิบัติธรรมพ่อศีล แม่ศีล
พ.ศ. ๒๕๓๒ สร้างบันไดขึ้นสู่วัด และสร้างหอระฆัง
พ.ศ. ๒๕๓๔ สร้างหอระฆังทำด้วยไม้
พ.ศ. ๒๕๓๘ สร้างกุฎิสงฆ์
พ.ศ. ๒๕๔๑ สร้างศาลาบำเพ็ญบุญ ๘๔ ปีครูบาสิทธิ อภิวัณโณ
พ.ศ. ๒๕๔๕ สร้างซุ้มประตูหน้าวัด
พ.ศ. ๒๕๔๖ สร้างกุฎิปฎิบัติธรรมครูบาฯ
พ.ศ. ๒๕๔๘ สร้างพระบรมธาตุเจดีย์สิริดอยเวียงลาง
สร้างบันไดขึ้นสู่พระบรมธาตุเจดีย์สิริดอยเวียงลาง


แนบไฟล์:
IMG_2551.jpg

ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 07 ม.ค. 2010 7:41 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 01 ส.ค. 2009 11:36 pm
โพสต์: 83
ที่มาของบรมครูปู่ฤๅษีพัดโบกกับหลวงปู่ครูบาสิทธิ




จำได้ว่าผมพบหลวงปู่ครูบาสิทธิครั้งแรกที่วัดไผ่ล้อมตอนที่ท่านมาเสกเหรียญนพรัตน์นพคุณ ขณะนั้นผมมีหน้าที่นิมนต์และดูแลพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศกว่า ๑๐๘ รูปมานั่งปรกปลุกเสก พอท่านมาถึงโบสถ์หลังเก่าซึ่งเป็นที่รับรองพระเกจิ ได้นั่งคุยกันสักพักผมเกิดศรัทธาในตัวหลวงปู่มากจึงฝากตัวเป็นศิษย์และนำผ้ายกครูของผม(ผ้าแดง)และประคำครูให้ท่านเสก ขณะนั้นจำได้เลยว่าเกิดลมกรรโชกพัดวูบอย่างแรง แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่รับรู้ได้ว่าหลวงปู่ครูบาสิทธินี่ท่านขลังจริงๆ

ต่อมาอีกราวๆขวบปีผู้ใหญ่ท่านนึงได้มาขอให้ผมช่วยอาราธนาพระเกจิมาทำพิธีอธิษฐานจิตให้พระสยามเทวธิราชและพระเสื้อเมืองคุ้มครองดวงชะตาของบ้านเมือง พิธีนี้กระทำที่ศาลหลักเมืองสนามหลวง ผมได้นิมนต์หลวงปู่ครูบาสิทธิลงมาอีกครั้ง คราวนี้เมื่อพบกันผมรีบตรงเข้าไปกราบท่าน ท่านดีใจได้ให้พรและเป่าหัวผมอีกซึ่งระหว่างนั้นก็มีลมพัดวูบ ทั้งๆที่อยู่ในห้องรับรองซึ่งเป็นห้องแอร์ ตอนนั้นผมก็ยังไม่ทันคิดอะไรอยู่ดี

และคราวนี้ทุกครั้งที่ผมได้รับมอบหมายให้จัดพิธีใดๆไม่ว่าจะเป็นการบวงสรวง ไหว้ครู หรือแม้กระทั่งเสกจตุคาม เวลาประกอบพิธีมักมีลมกรรโชกแรงๆตลอด ผมก็ได้แต่แปลกใจทุกครั้ง แม้แต่พิธีบวงสรวงและกดพิมพ์นำฤกษ์วัตถุมงคลรุ่นรักชาติที่หลวงปู่เจือท่านเป็นประธาน วันนั้นเกิดลมกรรโชกวูบวาบ น้องที่เป็นนักเขียนหนังสือพระได้เอาพระกริ่งของเค้ามาเข้าพิธีด้วย ออกปากเลยว่า พิธีดีจริงๆพี่ มีลมกรรโชกแรงๆเป็นระลอกแต่เทียนไม่ดับ แสดงถึงการรับรู้ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นผมก็ได้แต่ฟังแล้วคล้อยตาม พอมาพบภาพศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเจดีย์ก็ได้แต่ทึ่งในความอัศจรรย์จนแทบลืมคิดเรื่องลมกรรโชก และก็ยังนึกหาประเด็นเชื่อมโยงอะไรไม่ได้

หลังจากนั้นมาอยู่ๆผมก็เริ่มคิดอยากบูชาปู่ฤๅษีเนื่องด้วยว่าสำนึกว่าท่านเป็นบรมครูองค์ต้นของเวทย์วิทยาที่ผมได้ไปร่ำเรียนมาในเวลาเกือบ ๒๐ ปีที่ผ่านมา จึงได้เริ่มศึกษาประวัติความเป็นไปเป็นมารวมถึงพระเวทย์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงจนไปพบคาถาเชิญของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสีจึงได้นำมาบริกรรมภาวนาจนเริ่มเห็นผล จากนั้นก็ไปหาเช่าหัวครูมาจากช่างที่ทำจำหน่าย แล้วเริ่มนำพาไปให้ครูบาอาจารย์ทั่วประเทศกว่า ๑๐๘ รูป อัญเชิญครูบาอาจารย์ในสายท่านลงสิทธิประสาทพรและได้นำให้พระเกจิทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ใช้ครอบในพิธีกรรมต่างๆ ปรากฏว่าแรงมากทีเดียว ความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ของหัวบรมครูปู่ฤๅษีนี้สามารถทำให้หลวงพ่อ หลวงปู่ บางองค์ดังขึ้นมาได้ง่ายๆ ทั้งที่หลวงปู่บางองค์ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับฤๅษีมาก่อน หรือแม้แต่คาถาเชิญคาถาครอบท่านก็ไม่รู้ ถ้าหลายคนสังเกตุจะเห็นว่าก่อนที่จะมีการครอบทุกครั้งผมจะต้องเป็นคนเชิญปู่ฤๅษีเองเสมอ

หลังจากที่ผมเริ่มบูชาปู่ฤๅษีเป็นนิจแล้ว เกือบทุกครั้งที่ผมจุดธูปเทียนอัญเชิญ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เทพ พรหม บรมครูปู่ฤๅษีและอุปัชาย์ครูบาอาจารย์ทุกๆองค์ลงประสิทธิในพิธีการต่างๆ มักจะรับรู้ได้ถึงแรงลมหอบเป็นลูกๆ แรงบ้าง เบาบ้างมาตลอดแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร

จนกระทั่งผมจัดงานไหว้ครูขึ้นที่วัดอโยธยา เนื่องจากผมเว้นไหว้ครูมาปีหนึ่งรู้สึกไม่สบายใจโดยในปีนั้นให้ถือเป็นงานไหว้ครูของหลวงปู่ฯองค์หนึ่งไปด้วยเสียเลย โดยได้นิมนต์ครูบาแม้วมาอ่านโองการบวงสรวง แต่แรกงานนั้นคิดไว้ว่าจะเป็นงานไหว้ครูเล็กๆ ไหว้ครูอย่างเดียว..มากสุดก็ให้มีการครอบหัวครู แต่มีพี่บางคนไม่ยอม...บอกว่าไหนๆมีพิธีสำคัญทั้งทีต้องทำวัตถุมงคลที่ระฤก ช่วงนั้นผมก็ทัดทานไปว่าออกถี่มากแล้ว ออกของเดือนละรุ่น แต่พี่เขายืนยันว่าน่าจะทำไปเลยนะ ด้วยความที่เกรงใจพี่เขาเพราะเขามีศรัทธาเต็มเปี่ยม พอวางโทรศัพท์ก็เลยมานั่งคิดว่าจะทำอะไร ตอนนั้นก็เห็นภาพปู่พัดโบกขึ้นมาในมโนทวารทันที และก็ตามด้วยปู่ฤๅษีทันใจ เอาหล่ะวาทีนี้ใครเป็นใครจะสร้างองค์ใดดี สรุปก็เลยสร้างทั้ง ๒ องค์ ปู่พัดโบกองค์เล็กออกให้บูชา ปู่ทันใจองค์ใหญ่ ไว้ประดิษฐานในหอบูรพาจารย์ เลยโทรหาช่าง ช่างก็แสนใจดีรับงานนี้โดยใช้เวลา๒สัปดาห์ทั้งปั้นทั้งกรอกเททองขัดแต่งเป็นไปได้ยังงัยแทบไม่น่าเชื่อ และไหนจะที่เททองในพิธีอีก การปั้นพิมพ์นั้นก็อัศจรรย์เหลือเกินช่างปั้นๆได้ตามจินตนาการทีผุดเกิดขึ้นในมโนทวารของผมเป๊ะเลยทั้งๆที่ผมอธิบายงานทางโทรศัพท์เท่านั้นเพราะทุกอย่างเร่งไปหมด ปู่ฤาษีทั้ง๒องค์นั้นจึงเป็นองค์แทนแห่งความสำเร็จรวดเร็วทันใจจริงๆ

และระหว่างพิธีการไหว้ครูและเททอง คราใดที่ผมยืนกำหนดจิตกำหนดใจตั้งมั่นระฤกถึงครูบาอาจารย์ก็จะปรากฎลมหอบกรรโชกแต่เทียนไม่ดับอีกทุกครั้งครา แสดงให้เห็นว่าในพิธีกรรมใดๆถ้าผมเป็นคนจัดมักมีเรื่องทำนองนี้ ต่อมาผมจึงลองอธิษฐานให้ท่านช่วยในหลายๆเรื่อง ท่านก็ช่วยทุกครั้งคราและช่วงนั้นผมเริ่มค้นคว้าจนได้คำตอบว่าท่านคือใครมีที่มาที่ไปอย่างไรและมั่นใจแล้วว่าเหตุการณ์ลมกรรโชกนั้นเกี่ยวข้องกับบรมครูปู่ฤๅษีพัดโบกแน่และเริ่มเข้ามาสัมผัสกับผมตั้งแต่ตอนที่ผมได้พบกับหลวงปู่ครูบาสิทธิครั้งแรกเป็นต้นมา

จึงได้นำเรื่องนี้มาวิเคราะห์จนนึกได้ว่ามีภาพเคลื่อนไหวชุดหนึ่งที่เคยลงในเน็ต ตอนที่หลวงปู่ปลุกเสกวัตถุมงคลของวัดหนึ่งแถวอ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ในราวปี พศ.๒๕๕๐แล้วปู่ฤๅษีลงหลวงปู่สั่นเขย่าไปหมดทั้งตัว จำได้ว่าวันนั้นก็มีลมและเทียนไม่ดับอีกเหมือนกัน ยิ่งทำให้มั่นใจมากว่าหลวงปู่ครูบาสิทธินั้นท่านเกี่ยวข้องกับฤๅษีโดยตรงจึงได้เดินทางขึ้นไปสอบถามท่านและก็ได้คำตอบมาเป็นเรื่องเหนือปาฏิหารย์ที่เกิดในถ้ำตับเต่าไม่อาจเขียนลงบทความได้ เดี๋ยวคนไม่เข้าใจจะหาว่าไม่จริง แต่ขณะเดียวกันท่านพระอ.มหาเกษมศิษย์เอกผู้บริหารวัดและคณะสงฆ์แทนหลวงปู่ได้ให้ข้อมูลยืนยันว่า เสื้อวัด(เจ้าที่วัด) ปางต้นเดื่อนั้นเป็นฤๅษีถึง ๒ รูป (ในส่วนตัวผมๆเชื่อว่าผมพบแล้วทั้ง ๒ รูป) และทางคณะศรัทธาวัดปางต้นเดื่อเชื่อว่าบรมครูปู่ฤๅษีท่านต้องการเปิดวัดให้โบสถ์สำเร็จ


ไม่น่าเชื่อเลยโครงการจัดสร้างบรมครูปู่ฤๅษีพัดโบกองค์เล็กของหลวงปู่ครูบาสิทธิ วัดปางต้นเดื่อ กลายเป็นจริงขึ้นมา และได้ทำการอัญเชิญบรมครูปู่ฤๅษีประจุปลุกเสกทั้งสิ้น ๑๐ครั้ง ๙ ครูบา โดยเป็นครูบาทางเชียงใหม่ ๖ รูป ดังนี้ หลวงปู่ครูบาสิทธิ วัดปางต้นเดื่อ หลวงปู่ครูบาดวงดี วัดบ้านฟ่อน หลวงปู่ครูบาจันทร์แก้ว วัดศรีสว่าง หลวงปู่ครูบาอิ่นคำ วัดมหาวัน หลวงปู่ครูบาคำอ้าย วัดเวฬุวัน หลวงปู่ครูบาอินตา วัดท่าศาลา และครูบาทางลำพูน ๓ รูปคือ หลวงปู่ครูบาข่าย วัดหมูเปิ้ง หลวงปู่ครูบาบุญทา วัดเจดีย์สามยอด หลวงปู่ครูบาศรีวัย วัดหนองเงือก และปิดท้ายด้วยหลวงปู่ครูบาสิทธิอีกรอบซึ่งเกิดความอัศจรรย์ทั้งการอัญเชิญบรมครูปู่ฤๅษีลงประสิทธิทั้งรอบแรกและรอบสุดท้าย


ในรอบแรกนั้นพอหลวงปู่ครูบาสิทธิท่านเห็นองค์ปู่ขนาดบูชาที่ผมพาไปเป็นประธานอยู่ท่ามกลางองค์เล็กๆจำนวน ๑,๐๐๐ องค์ท่านยิ้มดีใจ หลวงปู่ท่านชอบมากเอามือลูบคลำตลอดและในการอัญเชิญประจุปลุกเสกครั้งแรกนี้หลวงปู่ครูบาสิทธิท่านอัญเชิญปู่พัดโบกลงเสกดีมาก มีลมพัดเป็นระลอกๆแต่ไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นลมจากปู่ฤๅษีฯเพราะกุฏิหลวงปู่อยู่ยอดเขาลมต้องแรงอยู่แล้วพอเสร็จพิธีพระที่ไปด้วยท่านนั่งใกล้หลวงปู่ที่สุดท่านบอกโยมพี่เมื่อกี้น้ำมนต์หมุน ผมก็เสียดายที่ไม่ได้เห็น เลยถามท่านกลับไปว่าเมื่อกี้ทำไมไม่บอก ผมจะได้ถ่ายรูปไว้ ท่านตอบว่ากลัวเสียงดังหลวงปู่เสียสมาธิ เลยเป็นอันว่าวันนั้นไม่ได้หลักฐานเลย ได้เพียงคำบอกเล่าและขอแบ่งน้ำมนต์บาตรนั้นกลับมา

ส่วนรอบปิดท้ายนั้นขณะที่หลวงปู่ครูบาสิทธิกำลังอัญเชิญบรมครูปู่ฤๅษีพัดโบกลงเสกอยู่นั้นเกิดลมหอบอย่างแรง จนสามเณรตกใจวิ่งเลิกลั่ก ขณะที่พวกคณะทำงานรวมทั้งผมนั่งอยู่ในกุฏิกลับรูสึกว่ากุฏิสั่นไหวแต่ก็มิได้พูดอะไรกันจนเสร็จพิธีนั่นหล่ะ ทีแรกผมนึกว่าความดันผมไม่ปกติเลยรู้สึกวูบ แต่หลายคนที่อยู่ด้วยบอกว่าไหวแน่เณรยังวิ่งเลยส่วนหลวงปู่ครูบาสิทธิท่านกล่าวอธิษฐานดังๆก่อนและหลังเข้าสมาธิมีใจความว่า ขอให้ปู่ฤๅษีช่วยคุ้มครองผู้บูชาให้อยู่ดีมีสุขปราศจากอุปสรรคอันตรายใดๆ ให้มีโชคมีลาภ เมตตาค้าขายดี สมปราถนา รวย รวย รวย


แนบไฟล์:
IMG_2548.jpg

.jpg

ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO