เสนาะ เทียนทอง...จะเอาทักษิณ หรือประเทศไทย"
นายเสนาะ ได้เขียนในหัวข้อ "จะเอาทักษิณ หรือประเทศไทย" มีเนื้อหาสาระที่สำคัญว่า รู้จักพ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่ปี 2529 แบบผิวเผิน
ตั้งแต่เป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณพยายามสร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าพรรคคือทำธุรกิจ
กับการเมือง วิ่งเต้นเข้าทางผู้ใหญ่สูงสุดของพรรค > ต่อมาตนย้ายไปเป็นเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ > พ.ต.ท.ทักษิณได้สนับสนุนปัจจัยการเมืองผ่านไปทาง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ > หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ในขณะนั้น > พ.ต.ท.ทักษิณจึงได้เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี
> เมื่อก่อนเกิดวิกฤตค่าเงินบาท นายอำนวย วีรวรรณ รมว.คลังในขณะนั้นลาออก > มีการคิดกันว่าจะให้ตำแหน่งนี้กับพ..ต.ท.ทักษิณด้วยซ้ำ > ตนได้ไปทาบทามคนที่น่าเชื่อถือในสังคม โดย นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ > รับปากว่าจะเข้ามาช่วยเป็นรมว.คลัง ปรากฏว่าพ.ต.ท.ทักษิณไปนำนายทนง พิทยะ > ผู้บริหารธนาคารทหารไทยมารับตำแหน่งนี้แทน โดยที่ตนไม่รู้เรื่อง > พ.ต.ท.ทักษิณ ไปซุบซิบกับพล.อ.ชวลิต และนายโภคิน พลกุล อดีต > รมต.สำนักนายกฯ แล้วจึงมีคำสั่งแต่งตั้งนายทนง > > "ก่อนเงินบาทลอยตัว ผมไม่รู้เรื่องด้วย เพราะอยู่นอกวงของพวกเขา > คนที่เกี่ยวข้องกับการลดค่าเงินบาทในขณะนั้นมี 4 คือ พล.อ.ชวลิต > พ.ต.ท.ทักษิณ นายทนง และนายโภคิน > ส่วนจะรู้เห็นกันขนาดไหนผมไม่รู้เขาบอกว่าเขาไม่รู้อันนี้ไม่มีใบเสร็จ > แต่ถ้าถามผมว่าผลที่เกิดหลังค่าเงินบาทลอยตัวออกมาอย่างไร > มันส่อชัดว่าทักษิณและบริษัทรอดวิกฤตคนเดียวคือผลลัพธ์มันสะท้อนชัดอยู่แล้ว > การที่มีคนไปซื้อประกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทเอาไว้มาก ๆ > หรือไปซื้อดอลลาร์เอาไว้มากๆ ก่อนประกาศลอยค่าเงินบาท > ก็เหมือนจุดไฟเผาบ้านตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน เศรษฐกิจของชาติพังเสียหาย > แต่ตัวเองรอดพ้นวิกฤตเพราะได้ประกัน" นายเสนาะกล่าว
นายเสนาะ กล่าวว่า หากต้องการจะรู้ทันทักษิณ > ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนอย่างไร > เพราะลักษณะเฉพาะและตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณ > เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการใช้อำนาจและบริหารราชการแผ่นดินของ
ทักษิณทั้งหมดนั้นประกอบขึ้นมาเป็นระบอบทักษิณ > ซึ่งมีทั้งระบบการใช้อำนาจและการแสวงหาผลประโยชน์อยู่ร่วมกัน พ.ต.ท.
ทักษิณเป็นคนมีวุฒิการศึกษา แต่ขาดวุฒิภาวะการเป็นผู้นำ > ไม่มีสภาวะผู้นำโดยเฉพาะในระดับประเทศ > เป็นคนไม่มีประสบการณ์ในการบริหาราชการ แม้เคยรับราชการตำรวจ > ก็อยู่ไม่นาน และใช้เวลาว่างไปกับการประกอบธุรกิจ > พ.ต.ท..ทักษิณเป็นนักเสี่ยงโชค ขาดความรอบคอบ เคยประสบปัญหาทางธุรกิจ > แลกเช็คและถูกฟ้องเช็คเด้ง นิยมบริหารธุรกิจแบบคิดไวทำไว > โดยใช้การตลาดเป็นเครื่องมือ > > "การจดทะเบียนคนจนนั้น ผมเคยแนะนำว่ามันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ > ไม่ได้ เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ > คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจนก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่ > พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ > มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้งจากนั้นไม่มีผลจริง แต่ทักษิณตอบว่า > โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ
> ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ > เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้จริงใจกับนโยบาย > ประกาศไปก่อนค่อยหาวิธีการทำการตลาดทีหลัง > ไปเสี่ยงเอาข้างหน้าขอให้ได้คะแนนเสียงไว้ก่อน ไม่สนวิธีปฏิบัติราชการ > แม้แต่โครงการ เอสเอ็มแอล ผมก็เตือนว่าเข้าข่ายซื้อเสียง > เพราะอยู่ในภาวะเลือกตั้ง ทักษิณตอบว่าโธ่...อำนาจอยู่ที่เรา > กกต.ก็ของเรา คนก็บอกเรา ล่าสุดก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 > มีการกระทำผิดกฎหมาย คือขนคนมาฟังการปราศรัยโดยจ้างมา มันผิดกฎหมายแน่นอน > แต่ กกต.กลับเฉย"นายเสนาะกล่าว > > นายเสนาะ กล่าวว่า > พ.ต.ท.ทักษิณเคยบอกรัฐมนตรีในรัฐบาลว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอให้ทำตามก็พอ > หากรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนที่คิดมาก รอบคอบ > คอยตักเตือนจะอยู่ไม่ได้เลย คนที่อยู่ได้จะต้องตอบ "เยส" อย่างเดียว เช่น > นายพินิจ เคยพูดว่า "ท่านนายกฯ ผมไม่เคยเห็นใครคิดได้ดีเท่านี้เลย" หรือ > นายเนวิน ก็มักพูดว่า "ดีนายๆ" > ด้วยเหตุนี้รัฐมนตรีบางคนในช่วงเทศกาลเลือกตั้ง > มักมีบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์เกินอยู่เต็มรถ จึงได้รับการฟูมฟักอย่างดี > เหนียวแน่น ถูกเรียกใช้งานบ่อยๆ ในช่วงหลัง > > นายเสนาะ กล่าวว่า > ยิ่งกว่านั้นยังมีการใช้ระบบธุรกิจครอบครัวมาจัดการผลประโยชน์ในรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ > ตั้งแต่ขนคนที่เคยทำงานกับตัวเองในบริษัทแบบยกชุด วางคนของตัวเอง > ไปในทุกกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ > แต่ทุกคนในกระทรวงจะรู้ดีว่า คนๆนี้คือคนของเขา > จะทำอะไรก็ต้องผ่านคนคนนี้ เรียกว่ามีสองสามคนไปดูแลผลประโยชน์ทุกกระทรวง > เป็นเสมือนหลงจู๊ แล้วยังส่งคนไปยึดตำแหน่งใน กมธ.ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนฯ > ใน ครม.ก็ไม่ต่างกัน ทุกโครงการที่จะมีการอนุมัติ > ถ้ารัฐมนตรีคนไหนเสนอเรื่องของใช้งบกลางที่จัดสรรไว้มหาศาล > ก็ต้องไปเคลียร์กับคนของเขาให้เรียบร้อยก่อน > รัฐมนตรีหลายคนจะมีคนของเขาเข้ามาบอกว่าเดี๋ยวทำงบฯ จะเอากี่พันล้าน > แต่ต้องเอาเข้าพรรค 10 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าจะไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้ > ไปเขียนโครงการมา
นายเสนาะ กล่าวว่า ถ้ารัฐมนตรีคนไหนทำไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ > เวลาทำโครงการก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง > แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุด คือ ยกเว้นระเบียบพิเศษ > ยิ่งใช้วิธีขีดเส้นตายว่าต้องเสร็จวันนั้นวันนี้ > เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อจะได้ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ > นโยบาย 10 เปอร์เซ็นต์ รัฐมนตรีต้องทำโครงการ > โดยตบแต่งงบประมาณขึ้นมาก่อนว่ามูลค่าของโครงการจะครอบคลุม 10 > เปอร์เซ็นต์ที่ต้องหักเข้าพรรค จากนั้นไปตกลงกับคนของเขาผ่านคุณหญิง > เมื่อเรียบร้อยเมื่อใดก็ส่งมาให้ตัวตายตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ > พอเข้า ครม. นายกฯ จะเสนอโครงการและอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ > รัฐมนตรีไม่ต้องคิดไม่ต้องสงสัย ทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ใครเข้าใจว่า 10 > เปอร์เซ็นต์มีอยู่เท่าไร คงต้องไปถามคุณหญิง
นายเสนาะ กล่าวว่า สิ่งที่สุดทนจริงๆ คือ กรณีผู้ว่าฯ สตง. > ที่ถูกแทรกแซงการทำงาน แทรกแซงองค์กรอิสระ และละเมิดพระราชอำนาจ > มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สำคัญ ที่ทำให้ตนลุกขึ้นอภิปรายเมื่อ 8 > มิ.ย.2548 การประกาศตัดขาดแตกหักกลางสภาฯ พูดได้ว่า > ถ้ามันเอาชีวิตได้มันเอาไปแล้ว มันแค้น แต่ก็ไม่กล้า ตอนหลังคนของ > พ.ต.ท.ทักษิณก็ติดต่อมาหลายครั้ง ตนพูดตรงๆ ไปว่า > เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เมื่อไม่ยอมลดละเอง > จนเราต้องแตกหักไปสู่สาธารณชนแล้ว > สิ่งสำคัญนายกฯก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดให้ได้ และตนยังพูดอีกว่า > ถ้าบอกจะกินข้าวกันตอนนี้ มันยังไงล่ะ > ให้พี่เป็นผู้เป็นคนดีกว่าอย่าให้พี่เป็นหมาเลย
นายเสนาะ กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดปัญหาทั้งหมดตนก็พยายามไปเตือน > แต่เรื่องที่เตือนก็เป็นการขัดผลประโยชน์เขาทุกเรื่อง > เช่นคิดว่ารัฐมนตรีคอรัปชั่น ตนก็ไปเตือนเพราะคิดว่าไม่รู้ > ที่ไหนได้มันสั่งเอง ขนาดกลายเป็นว่ารัฐมนตรีคนไหนไม่ทำตามสั่ง > ภายหลังก็อยู่ไม่ได้ > ความขัดแย้งในปัจจุบันมาสาเหตุมาจากตัวปัญหาคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ > คนคนนี้โกงเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ เมื่อมีอำนาจก็โกงอีก > อันตรายต่อบ้านเมืองสุดๆ พ.ต.ท.ทักษิณน่ากลัวเพราะเป็นคนมีวุฒิการศึกษา > จ้องวางแผนเอาเปรียบคนอื่น ถือว่าต่ำต้อยเหลือเกินในการเป็นผู้นำประเทศ
"ผมจำคำพูดของทักษิณที่เคยบอกว่า พี่เหนาะผมพร้อมแล้ว > สมบัติส่วนหนึ่งผมให้ลูก อีกส่วนเก็บไว้สำหรับตายาย กินจนตายก็ไม่หมด > สมบัติอีกส่วนจะทำเพื่อบ้านเมือง จะใช้หนี้แผ่นดิน" คำพูดนั้นๆ
ผมเคยหลงคิดว่าคนคนหนึ่ง รวยแล้วกลับใจ คิดใช้หนี้แผ่นดิน > ตอนนี้ผมรู้ความจริงแล้วว่า รวยจากโกงชาติ > กล้าทำแม้เผาบ้านเมืองเพื่อเอาประกัน คนรวยคนนี้รวยแล้วไม่รู้จักพอ > ไม่ใช่หนี้แผ่นดินยังไม่พอ มันยังโกงกิน ทรยศต่อแผ่นดิน" นายเสนาะกล่าว > และว่า ตนเคยพูดและเตือนกับคุณหญิงอ้อว่า "น้อง ถ้ามันได้มาอีกแสนล้าน > เอาไปทำไม" เขาพากันตอบว่า "ก็รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมืองมันต้องควักเงิน > ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ" เคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า "ในอนาคต > ถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ" เขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า > "ก็รู้ ถ้าพี่ทักษิณจะลง > ต้องให้พรรคไทยรักไทยมีอำนาจอย่างน้อยสองสมัยถึงจะปลอดภัย"
.......อย่าเอาซาตาน มาทำงานของพระเจ้า.......
ตาสว่างกันชะที ไอ้พวก...ทั้งหลาย นี่หรือคนดี
|