มาร่วมสนทนากันในหมู่สมาชิก แลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ท่านประสบมาได้ที่นี่ครับ
เสาร์ 10 ม.ค. 2009 10:03 pm
- 10323.jpg (97.4 KiB) เปิดดู 4369 ครั้ง
องค์ต่อมาหลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ (ภูผาแดง) อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
“พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งเศรษฐีในทางธรรม”
พระเดชพระคุณหลวงปู่ลี กุสลธโร พระอริยเจ้าแห่งภูผาแดง เป็นหนึ่งในศิษย์พระกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดองค์หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ที่มีอุปนิสัยเป็นปัจเจกกะ มีกิริยาที่น่ารัก จงรักภักดีต่อครูบาอาจารย์อย่างหาที่ติมิได้ ท่านพูดเพียงพอดี ไม่มากไม่น้อย รักสงบ สมถะ สม่ำเสมอ ยินดีในธุดงควัตร มีเมตตาเป็นสาธารณะ ไม่ระย่อในการปราบกิเลส
ท่านได้แสวงหาสถานที่เที่ยววิเวกด้วยการออกเที่ยวธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ มากมาย เช่น ภูวัว ถ้ำจันทร์ จังหวัดหนองคาย และป่าแถวสกลนคร และจังหวัดเลย เป็นต้น
ท่านสามารถภาวนาพิจารณาอสุภะและสุภะกรรมฐาน ตั้งเป็นภาพปฏิภาคนิมิตขึ้นแล้วเพ่งกระแสจิตทำลายเผาผลาญกิเลสได้ตั้งแต่สมัยยังเป็น ฆราวาส
เมื่อบวชได้เพียง ๑๑ วัน ท่านตั้งใจภาวนาไม่ลดลาความพากเพียร ได้นิมิตว่า “ตนเองเดินทางเข้าไปในป่ากว้าง ผ่านห้วยหนองคลองบึง มีขอนไม้ชาติยาวใหญ่ดำสุดสายตา จึงเดินปีนขึ้นไปไต่ตามขอนนั้นไปเรื่อยๆ พอสุดปลายขอนไม้ชาตินั้น พลันเจอป่าอันรกชัฏมีขวากหนามรกรุงรัง จะหันหลังกลับก็ไม่ได้ จึงต้องพยายามแหวกคมหนามมุดมอดบุกผ่าเข้าไปให้ผ่านป่าอันแสนจะข้ามยากนั้น เมื่อผ่านมาได้ด้วยความยากลำบาก เจอทุ่งโล่งอันเวิ้งว้างมีหอพระไตรปิฏกอันวิจิตรตระการตาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ จึงก้าวเดินขึ้นไป เห็นห้องหอประตูตู้ กำลังจะเดินเข้าไปเปิด แต่ยังไม่ทันได้เปิด แต่ได้เข้าไปถึง จิตก็ถอนออกจากนิมิตนั้น”
ท่านสรุปความให้ผู้เขียนบันทึกฟังด้วยความตื่นเต้นในธัมโมชปัญญาว่า
คำว่า “ไปจนสุดปลายขอนชาติ” นั้นหมายถึงชาตินี้เป็นปลายชาติ คือ ชาติสุดท้าย
คำว่า “ป่ารกและขวากหนาม” นั้นหมายถึงท่านต้องฟันฝ่าและต้องใช้ความเพียรพยายามเป็นอย่างมากถึงจะถึงวิมุตติ
คำว่า “พบทุ่งโล่ง” นั้น หมายถึง เมื่อข้ามทางอันแสนทรหดและกันดารมาได้ ถึงความเป็นผู้สบายกายใจ โล่งจากกิเลสตัณหา ไม่มีเสี้ยนหนามคือกิเลสตันหาใดเข้ามาทิ่งแทงได้
คำว่า “เห็นตู้พระไตรปิฏก” นั้น หมายความว่า เห็นธรรมที่สัมผัสด้วยใจ ทั้งพระอภิธรรม พระสูตร และพระวินัย
คำว่า “เข้าถึงแต่ไม่ได้เปิดดู” นั้น หมายความว่าถึงธรรมแล้ว แต่ไม่เก่งในเทศนาโวหารในการสอนคน
พรรษาแรกท่านจำพรรษาที่วัดป่าทรงคุณ จังหวัดปราจีนบุรี อยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม
แม้อายุพรรษามากท่านมักวางตนเป็นเสมือนผู้น้อย มักติดตามหลวงตามหาบัวไปตามสถานที่ต่างๆ เสมือนเณรน้อยๆ ท่านเป็นศิษย์ที่ซื่อสัตย์ เคารพยำเกรงและปฏิบัติตามคำสอนครูบาอาจารย์ อย่างหาที่ติมิได้ ท่านได้รับการยกย่องจากหลางจาว่าเป็น “เศรษฐีธรรม” และหลวงตามักเรียกนามท่านสั้นๆว่า ”ธรรมลี”
ท่านเล่าว่า อดีตชาติท่านเกิดเป็นสุนัขรับใช้องค์หลวงตามาหลายภพชาติ แม้ในภพชาติที่เป็นสุนัข นั้น หลวงตาก็ได้เมตตาอบรมสั่งสอน ดัดนิสัยจนเป็นสุนัขที่มีนิสัยดี ไม่เกเร นอกจากนั้น ท่านยังเคยเกิดเป็นช้าง
ท่านระลึกชาติในภพที่เกิดเป็นช้างว่า ท่านเป็นช้างชื่อว่า “คำต้น” เจ้าของช้างชื่อพ่อส่วน เขามีลูกสาว ๒ คน ชื่ออีหวัน และอีพัน ถูกเขาใช้ลากซุงเสมอ ส่วนนายควาญช้างชื่อว่า “บักคำต้น” เหมือนกับชื่อของท่าน
ท่านระลึกย้อนในภพชาติหลังๆ ของท่านมักเกี่ยวข้องกับหลวงตาเสมอ
อดีตสะท้อนปัจจุบันเป็นที่อัศจรรย์เสมอในบุญบารมี ใครจะคาดคิดได้ว่า พระรูปร่างเล็กๆ อยู่ในป่า ไม่มีโวหารเทศนาต้อนรับแขกผู้มาเยือนเช่นท่านจะสามารถหาทองคำช่วยชาติกับหลวงตาได้ถึง ๕๐๐ กว่ากิโลกรัม คิดเป็นเงินหาน้อยไม่
ท่านสิ้นกิเลสพรรษาที่ ๑๑ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เวลาตีสอง ตรงกับวันพุธที่ ๕ ตุลาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ ที่วัดบ้านกกกอก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟัง ว่า
...คืนนั้นฝนตกทั้งคืน ท่านเพลิดเพลินในการภาวนา ธรรม คือ สติ สมาธิ และปัญญา หลั่งไหลเหมือนสายน้ำ จิตเต็มอิ่มในธรรม เดินจงกรมคล้ายกับว่าเท้าไม่ได้เหยียบพื้นดิน นั่งภาวนาคล้าย กับว่าตัวลอยอยู่เหนือพื้น ทำสมาธิทั้งคืนไม่นอน ไม่พักผ่อน ในขณะที่พิจารณาเข้าด้ายเข้าเข็มธรรมขั้นสุดท้าย เสียงเทวดาไชโยโห่ร้องก้องทิวเขาพนา เสียงฆ้องทิพย์ดังกระหึ่มมาเป็นระยะๆ สลับกับเสียงเทวดาไชโยแว่วมาแต่ไกล เสียงสาธุการปานว่าโลกธาตุทั้งมวลหวั่นไหว น้ำตาร่วงอัศจรรย์เกินที่จำมาเล่าได้
คืนนั้นเสวยวิมุตติสุขสุดที่จะพรรณนา ต่อมาท่านได้นำเรื่องธรรมที่ได้รู้เห็นไปกราบเรียนหลวงตามหาบัว ผู้เป็นอาจารย์ทุกประการ
หลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๖๕ ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีจอ ที่บ้านเก่า ตำบลบ้านเก่า อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
เป็นบุตรของนายปุ่น และนางโพธิ์ สาลีเชียงพิณ ท่านมีพี่น้องร่วมอุทร ๙ คน ชาย ๔ คน หญิง ๕ คน
ท่านเล่าชีวิตในวัยเด็กว่า สมัยเป็นเด็กพ่อแม่ก็พาทำบุญเหมือนกับชาวบ้านทั่วๆไป อายุได้ ๑๒ปี เรียนจบชั้น ป.๓ พออายุ ๒๐ กว่าปีก็ได้แต่งงานกับนางสาวตี ภรรยาตั้งท้องแล้วคลอดลูกออกมาตาย ท่านได้เกิดความสลดใจเป็นยิ่งนัก ท่านเล่าว่า การแต่งงานก็มิได้แต่งกันด้วยความรัก แต่งงานกันตามประเพณีที่พ่อแม่บอกให้แต่งเท่านั้น ท่านเองไม่เคยมีคนที่รัก และยังไม่เคยรักหญิงใดเลย ท่านอยู่กินกับภรรยาได้ ๒ ปี ๖เดือน จึงขอออกบวช เพราะได้ฟังธรรมจากพระกรรมฐานที่เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ที่เดินธุดงค์มาพักยังป่าแถบหมู่บ้านของท่านเก่งนักในการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน พิจารณาเมื่อไหร่ ก็ได้เรื่องได้ราวเมื่อนั้น เห็นผลเป็นที่ประจักษ์เป็นอุปนิสัยดั้งเดิมของท่าน
ท่านอุปสมบทที่วัดศรีโพนเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เมือวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เวลา ๑๖.๑๒ น. โดยมีพระธรรมเจดีย์(จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายานามว่า “กุสลธโร” แปลว่า “พระผู้ทรงไว้ซึ่งความดี”
ท่านเล่าการภาวนานพรรษาแรกว่า “ภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ เกิดแสงสว่างวาบฉายเข้ามาเห็นภรรยาเดินเข้ามาหา มาได้ระยะห่างประมาณวากว่าๆ จึงล้มลง ร่างกายแรกกระจุยเป็นผุยผง แม้แต่กระดูกก็มองไม่เห็น กลายเป็นดินเป็นหญ้า เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สัญญาความจำได้หมายรู้ในรูปนาม ไม่ยึดไม่ติด การภาวนาจะเป็นแบบนี้ได้ต้องเกิดแสงสว่างก่อน จากนั้นการออกพิจารณาทางด้านปัญญาไหลคล่องตัวเหมือนสายน้ำตกจากที่สูงลงที่ต่ำไม่มีต
ิดขัด
ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ ได้ติดตามหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ไปจำพรรษาที่เสนาสนะป่าห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร
ต่อจากนั้นท่านได้ติดตามหลวงตาไปจำพรรษายังจังหวัดจันทบุรี และย้อนกลับมาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
ในสมัยที่หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พักอาพาธที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จังหวัดปทุมธานี หลวงปู่ลีมักจะมาเยี่ยมเยียนเสมอ และองค์หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็ชื่นชมรักใคร่หลวงปู่ลีเป็นอย่างมากเช่นกัน ท่านทั้งสองจึงเป็นสหธรรมิกที่สนิทสนมกันมาก
สุดท้ายท่านได้สร้างวัดถ้ำผาแดง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ท่านได้จำพรรษาที่วัดแห่งนี้มาโดยตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้
จากหนังสือ พระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ องค์นี้ขอลงเยอะหน่อยเพราะcoppyมาไม่ต้องพิมพ์เอง แต่ผมรับรองว่าท่านเป็นพระดีจริงๆ หลวงพ่อสมบูรณ์เองถึงกับออกปากยอมรับและชื่อสนิทใจว่า หลวงปู่ลีท่านเป็นพระอรหันต์
เสาร์ 10 ม.ค. 2009 10:17 pm
ขอบคุณอาจารย์บอลมากครับ ชอบมากครับเล่าให้อ่านบ่อยๆนะครับ
อาทิตย์ 11 ม.ค. 2009 10:07 am
ขอบพระคุณมากเลยครับ ว่าแต่มีภาคต่ออีกใช่มั้ยครับ
รออ่านอยู่นะครับพี่ bon
อาทิตย์ 11 ม.ค. 2009 9:50 pm
- __342.jpg (32.44 KiB) เปิดดู 4287 ครั้ง
องค์ที่5 พระอาจารย์วันชัย วิจิตฺโต วัดภูสังโฆ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
ท่านเคยเป็นทหารมาก่อน พอเข้าไปกราบหลวงตาบัวครั้งแรก หลวงตาท่านถึงกับเอ่ยปากว่า เรารอเธอมานานแล้ว
พระอาจารย์วันชัยเป็นลูกศิษย์ที่หลวงตาพระมหาบัวสอนมาตั้งแต่ต้นเหมือนหลวงปู่ลี
และหลวงตายอมรับว่าท่านทั้งสองเป็นเพชรน้ำหนึ่งด้วยกันทั้งสององค์
วัดท่านที่ภูสังโฆ เป็นรมณียสถานเหมาะแก่การภาวนามากหากใครใคร่ในการปฏิบัติหากไปวัดนี้รับรองไม่ผิดหวัง แต่หากต้องการมงคลวัตถุคงต้องขออภัยเพราะจนปัจจุบันท่านยังคงครองตำแหน่งพระที่ไม่ข้องเกี่ยวกับวัตถุมงคลได้แบบ100%ครับ
- indexCA0G1DO3.jpg (143.49 KiB) เปิดดู 4294 ครั้ง
องค์ที่6 หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร วัดถ้ำสหาย อ.หนองวัวซอ จ. อุดรธานี
ท่านเป็นธรรมทายาทโดยการแต่งตั้งของหลวงปู่ชอบครับ ที่พูดเช่นนี้เพราะหลวงปู่ชอบได้พูดไว้ก่อนสิ้นว่าจันทร์เรียน เราขอฝากหมู่ฝากพวกไว้ด้วยนะ
ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในวงกรรมฐานว่ หลวงพ่อจันทร์เรียนสามารถแทนหลวงปู่ชอบได้ทั้งอิทธิฤทธิ์และคุณธรรมหมอที่ร.พ.ศรีนครินทร์คุยกับผมเองว่าท่านใช้อำนาจจิตสลายนิ่วในถุงน้ำดีของท่านเองได้
แต่หากใครจะไปกราบท่านต้องทำใจรถเก๋งขึ้นวัดไม่ได้ครับ และถ้าหน้าฝนไม่ใช่4wdก็ไม่ต้องขึ้นนะครับ
แต่ถ้าไปถึงวัดได้ก็ชื่นใจครับหลวงพ่อถือวัตรอย่างหลวงปู่ฝั้นคือใครมากราบต้องออกมาต้อนรับ และวัดสัปปายะเหมาะแก่การภาวนามากครับ แต่หากใครจะภาวนาร่วมกับพระเณรในวัดต้องคิดให้ดีนะครับเพราะท่านนำนั่งสมาธิครั้งละไม่ต่ำกว่า4ช.ม. ช่วงแข็งแรงอาจมีถึง6
วัดนี้พระเณรเยอะครับ50กว่ารูปแต่ไม่มีองค์ไหนนั่งสมาธิได้ต่ำกว่า8ช.ม.ซักองค์
อาทิตย์ 11 ม.ค. 2009 10:33 pm
ขอบพระคุณ มากๆๆเลยคับ ท่านอาจารย์
อาทิตย์ 11 ม.ค. 2009 10:34 pm
เห็นหน้า ท่านอาจารย์จันทร์เรียน แล้วสบายใจอย่างบอกไม่ถูกครับ
อาทิตย์ 11 ม.ค. 2009 11:02 pm
อู๊ด อู๊ด เขียน:เห็นหน้า ท่านอาจารย์จันทร์เรียน แล้วสบายใจอย่างบอกไม่ถูกครับ
องค์จริง ดุ ชนิดผมไม่กล้าพูดเล่นเลยครับ
จันทร์ 12 ม.ค. 2009 11:36 am
เคยไปกราบท่านพระอาจารย์จันทร์เรียนอยู่ครั้งหนึ่งฮะ
ตอนไปนี่ราวกับว่า พระทั้งวัดหายไปไหนหมดไม่ทราบ เจอพระสงฆ์ก็คือท่านเพียงรูปเดียว แล้วได้นอนค้างที่วัดคืนหนึ่ง
เช้ามาต้องต๊กกะใจ เมื่อเข้าไปในศาลาฉัน เจอพระในราวสี่สิบรูปนั่งกันเงียบ เหมือนไม่มีคนอยู่ จะมีเสียงดังเป้งป้าง ก็จากญาติโยมทั้งหลายนี่แหละฮะ
น่าอัศจรรย์ และ น่ากลัวในคราวเดียว
ยิ่งได้อ่านที่คุณพี่อาจารย์ bon บอกว่า ไม่มีพระรูปใดในวัดนั่งได้ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงเลย
ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกระดับ
เหอะๆๆๆๆ
จันทร์ 12 ม.ค. 2009 8:31 pm
เด็กลึกลับ เขียน:เคยไปกราบท่านพระอาจารย์จันทร์เรียนอยู่ครั้งหนึ่งฮะ
ตอนไปนี่ราวกับว่า พระทั้งวัดหายไปไหนหมดไม่ทราบ เจอพระสงฆ์ก็คือท่านเพียงรูปเดียว แล้วได้นอนค้างที่วัดคืนหนึ่ง
เช้ามาต้องต๊กกะใจ เมื่อเข้าไปในศาลาฉัน เจอพระในราวสี่สิบรูปนั่งกันเงียบ เหมือนไม่มีคนอยู่ จะมีเสียงดังเป้งป้าง ก็จากญาติโยมทั้งหลายนี่แหละฮะ
น่าอัศจรรย์ และ น่ากลัวในคราวเดียว
ยิ่งได้อ่านที่คุณพี่อาจารย์ bon บอกว่า ไม่มีพระรูปใดในวัดนั่งได้ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงเลย
ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกระดับ
เหอะๆๆๆๆ
โอ้โห คุณเด็กลึกลับนี้เคยไปภาวนาวัดถ้ำสหายด้วยเหรอครับ ผมยังไม่เคยไป(อยู่ภาวนา)เลย
อนุโมทนาด้วยครับ
จันทร์ 12 ม.ค. 2009 10:49 pm
"เด็กลึกลับ" ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ
อังคาร 13 ม.ค. 2009 8:06 am
ลึกลับ ชนิดแบบยิ่งกว่านินจาเสียอีก
แบบนี้ผมต้องขอเรียนวิชาด้วยแล้ว :lol:
อังคาร 13 ม.ค. 2009 11:13 am
ไปกันหลายท่านฮะ ชาวคณะเว็บนี้บางท่านก็ได้ไปด้วยนะฮะ
แต่ไม่ได้ไปภาวนากับพระท่านนะฮะ เพราะอยู่แค่คืนเดียว ขาไปนี่ก็ได้ฟังกิตติศัพท์ของพระอาจารย์จันทร์เรียนพอสมควร ว่าท่านดุ และปรจิตวิทยารวดเร็วมาก เด็กลึกลับระวังตัวแจ แบบว่าพุทโธกระจายยยยย....
แต่พอได้พบองค์ท่านจริงๆ ท่านก็เมตตาอยู่นะฮะ แต่ก็อย่างว่าฮะ ครูบาอาจารย์ เราจะมาดูกันแค่วันเดียวไม่ได้ เอาเป็นว่าวันนั้นท่านเมตตาแล้วกันฮะ แต่ถ้าไปหาท่านวันอื่น ก็ไม่แน่ พาลนึกไปถึงหลวงพ่อชา สุภัทโท ที่เหล่าลูกศิษย์มักจะบอกว่า
เปลี่ยนจาก กบแก่ที่ร่าเริง กลายเป็นเสือกินพระไปในพริบตา
เหอะๆๆๆ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
พุธ 14 ม.ค. 2009 12:27 am
แค๊กๆ เหมือนโดนกล่าวถึง
วันนั้นท่านอาจารย์เมตตามากเลยครับ ถ้าเทียบจากที่เคยไ้ด้ฟังถึงความ "ดุ" ของท่าน อาศัยคณะธรรมที่ไปด้วยกันรู้ัจักกับท่านก่อน
แต่เนื่องจากเดินทางกันเหนื่อยมาก และได้ขอพักค้างแค่คืนเดียว เลยไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมจากท่านเป็นกิจจะลักษณะ และไม่กล้าไปร่วมภาวนากับพระเณร เพราะกลัวโดน หกชั่วโมง แค่หนึ่งก็จะตายกันแล้วครับ ที่เหลือก็ตามที่เด็กลึกลับได้บอกไปครับ
พุธ 14 ม.ค. 2009 10:15 pm
พฤหัสฯ. 15 ม.ค. 2009 10:14 pm
- 0227_yasorton042.jpg (27.41 KiB) เปิดดู 3979 ครั้ง
หลวงตาพวง สุขินทริโย
วัดศรีธรรมาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ยโสธร
ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น อยู่หนองผือนาในกับหลวงปู่มั่น3ปี หลังจากหลวงปู่มั่น สิ้น ก็ไปอยู่กับหลวงปู่ฝั้น
10กว่าปีก่อนท่านมีชื่อเสียงลงหนังสือพิมพ์เนื่องด้วย มีคนตายแล้วเผาไม่ไหม้พอตัดไหม5สีที่คล้องข้อมือออกก็เผาศพได้เลย และบั้งไฟที่ยโสธร ระเบิดคนที่จุดบั้งไฟตายเกือบหมด ยกเว้นคนที่ใส่ไหม5สีท่านที่รอดมาโดยไร้บาดแผลใดๆ
นี้เป็นเพียงปาฏิหาริย์เล็กน้อยของท่าน เคยมีคนเห็นท่านเดินข้ามแม่น้ำมูล หรือแม้แต่ปัจจุบันเมื่อประมาณ8เดือนก่อนหมอตรวจพบท่านเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอยู่ได้ไม่เกิน3เดือน แต่นี้8เดือนแล้วไม่เป็นไร ท่านกลับวัดศรีธรรมาราม ทุกวันนี้ยังแข็งแรงดีใครเห็นท่านต้องไม่เชื่อว่าเป็นมะเร็ง เพราะความผ่องใสของท่าน
ผมเองก็อยากจะรีบไปกราบท่านอีกสักครั้งจริงๆ ถ้าใครไปกราบท่านอย่าลืมเช่าวัตถุมงคลท่านมานะครับ วัดท่านมีพระใหเช่าเหมือนหลวงพ่อพุธ ตอนนี้เหรียญรุ่นแรกท่าเป็นหมื่นแล้วครับ มีพระน้อยองค์มากที่จะมีเหรียญรุ่นแรกแพงเป็นหมื่น(ถ้าสร้างเป็นพันเหรียญไม่ใช่สร้างน้อยๆแล้วหากันเองในกลุ่ม) เหรียญรุ่นแรกท่านไปปล่อยที่ไหนใครก็รีบคว้าทั้งนั้นแหละครับ เพราะแพงด้วยประสบการณ์มิใช่ลมปาก
พฤหัสฯ. 15 ม.ค. 2009 10:24 pm
- normal_%CB%C5%C7%A7%BB%D9%E8%CA%C3%C7%A7%20%CA%D4%C3%D4%BB%D8%AD%E2%AD.jpg (14.77 KiB) เปิดดู 3970 ครั้ง
หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ
วัดป่าศรีฐานใน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
เรื่องประวัติท่านผมทราบไม่มาก
ท่านเป็นน้องแท้ๆของหลวงตาพวง เป็นลูกศิษย์หลวงตาบัวด้วย
ทราบว่าท่านเป็นพระผู้ทรงคุณธรรมยิ่งรูปหนึ่ง เวลาเทศน์น่าฟังมากครับ เวลาสนทนาไม่มีเรื่องโลกๆเลย
ใครไปยโส ก็อย่าลืมกราบท่านหละ
อาทิตย์ 18 ม.ค. 2009 6:03 pm
อาทิตย์ 25 ม.ค. 2009 10:39 am
ถ้าพูดถึงนั่งสมาธินาน
ที่จริงหลวงปู่บุญฤทธิ์ ก็นำนั่งนานครั้งละ 3 ช.ม.
แต่บางวันท่านพาลูกศิษย์นั่งรวดเดียว 7 ช.ม.ก็มีครับ
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.