Switch to full style
มาร่วมสนทนากันในหมู่สมาชิก แลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ท่านประสบมาได้ที่นี่ครับ
ตอบกระทู้

อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

พฤหัสฯ. 09 ส.ค. 2012 9:00 pm

ผมได้ยินชื่อหลวงตาเหนี้มานาน เคยได้ยินว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
พอดีผมเพิ่งได้เหรียญท่านมาพร้อมกับหนังสือ เลยมีโอกาสเอาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง

ถ้าจะเล่นเรื่องคงต้องเล่าย้อนถึงชาติภูมิของหลวงตาก่อน

ชาติภูมิ

หลวงตาเห มีชื่อจริงว่า "บุญส่ง" ถือกำเนิดในตระกูล "ดวงดี "
เป็นบุตรของ นายสมบูรณ์ - นางอืด ดวงดี

เกิดในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2460 ปีมะเส็ง ที่บ้านนาเสือก หมู่ที่ ๕
ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

มีพี่น้องทั้งหมด ๙ คน (ถึงแก่กรรมและมรณภาพหมดแล้ว)คือ

๑. นายคุณ ดวงดี
๒. นายแคน ดวงดี
๓. นายหัว ดวงดี
๔. นายเหือ ดวงดี
๕. นางคัด ดวงดี
๖. นางควร ดวงดี
๗. พระอาจารย์เหียร ดวงดี(ไม่ทราบฉายา)
๘. นางเอื้อ สายสร้อย
๙. หลวงตาเห อุปกัมโม(มรณภาพเมื่อ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๒ )


ปฐมวัย

หลวงตาเห ได้ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านนาบัวจนจบระดับประถมต้น
เมื่อออกจากโรงเรียนแล้วได้ช่วยบิดา - มารดาและพี่ๆ ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา - ไร่ ด้วยความขยันขันแข็ง
ตลอดจนเอาใจใส่ช่วยเหลืองานอื่นๆของครอบครัวเป็นอย่างดี

เมื่ออายุประมาณ ๑๔ ปี พระอาจารย์เหียร ซึ่งเป็นพี่ชายขณะบวชอยู่วัดนาสาม ได้มาชวนให้ท่านไปเป็นลูกศิษย์วัดเพื่อ
คอยปรนนิบัติรับใช้ ตลอดจนรับการอบรมให้เรียนรู้ถึงกฏระเบียบ ศึกษาธรรมะ และฝึกการสวดมนต์อันเป็นกิจวัตรประจำวัน

ครั้งหนึ่ง ท่านได้ติดตามพระอาจารย์เหียรไปศึกษาธรรมะกับท่านพ่อลี(อดีตเจ้าอาวาสวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ)
ได้มีโอกาสเดินธุดงค์ติดตามท่านพ่อลีไปถึงประเทศเขมรซึ่งตอนหนึ่งในหนังสือชีวประวัติของท่านพ่อลี ได้กล่าว
ถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นว่า " คณะที่ไปในครั้งนั้นประกอบด้วยท่านพ่อลี พระติดตาม ๒ รูป ลูกศิษย์วัดที่ยังเป็นเด็กอีก ๒ คน
"และเมื่อลูกศิษย์ถามหลวงตาในเรื่องนี้ ท่านก็ตอบว่า ๑ในเด็ก ๒ คนนั้น ก็คือตัวท่านเอง ส่วนพระติดตามทั้ง ๒ รูป
ก็คือหลวงพ่อสนธ์และพระอาจารย์เหียร คณะของท่านได้เที่ยวจาริกและแสวงหาที่สงบเพื่อบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่ระยะหนึ่ง
จนใกล้เข้าพรรษาจึงได้พากันเดินทางกลับออกมา ซึ่งในระหว่างทาง หลวงพ่อสนธ์ได้แยกทางจากคณะฯกลับมาทางจังหวัด
ปราจีนบุรี และเลยไปจำพรรษาที่วัดเขาคอกจังหวัดนครนายก

ส่วนท่านพ่อลีและคณะที่เหลือได้จำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง โดยอาศัยอยู่ในศาลาเก่าๆริมห้วยใหญ่ซึ่งมีระดับน้ำลึกมาก
ในช่วงเข้าพรรษานั้นฝนตกหนักมากหลายครั้ง ได้มีน้ำป่าไหลมาท่วมบริเวณนั้นถึง ๗ ครั้ง บางครั้งน้ำท่วมมากถึงกับ
ต้องพากันขึ้นไปนอนอยู่ที่บนขื่อศาลานับว่าลำบากมากทีเดียว ประกอบชาวบ้านในละแวกนี้จิตใจขาดศีลธรรมและเมตตา
ธรรมเป็นส่วนมาก จึงมีโจรผู้ร้ายชุกชุมคอยออกปล้นจี้ตลอดจนลักต้อนวัวควายมาแอบฆ่าอยู่เนืองๆ รวมทั้งมีการวางยาเบื่อ
เพื่อทำร้ายกันอยู่เสมอ ท่านพ่อลีและคณะเมื่อทราบความเป็นไปเช่นนี้ก็เกิดความสงสาร จึงอยู่อบรมและสั่งสอนชาวบ้าน
อย่างเต็มที่ เพื่อให้ประพฤติแต่คุณงานความดี ให้รู้จักศีลและธรรมโดยลำดับ ต่อมาพระอาจารย์เหียรก็ได้พาหลวงตาไปบวช
เป็นผ้าขาว อยู่กับท่านพ่อลีที่จังหวัดจันทบุรี และได้อยู่รับใช้ใกล้ชิดท่านพ่อลีตั้งแต่นั้นมา ขณะบวชเป็นผ้าขาวอยู่นั้น ท่านได้
เดินธุดงค์ไปกับท่านพ่อลีเพียงลำพัง ๒ องค์ บุกป่าเขาอันรกชัฏธุดงค์ไปเรื่อยๆจนเตลิดข้ามประเทศไปถึงเมืองไซ๋ง่อน
ประเทศเวียดนาม ซึ่งนับว่าเป็นการเดินธุดงค์ที่ทั้งไกลและยาวนานมากทีเดียว

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

พฤหัสฯ. 09 ส.ค. 2012 10:19 pm

บรรพชา – อุปสมบท

เมื่อหลวงตาอายุได้ ๑๗ ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี และพออายุได้ ๒๐ ปี
ท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ โดยมีพระครูครุนารถสมาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอมรโมลี เป็นพระกรรมวาจาจาร ณ วัดจันทนาราม จังหวัดจันทบุรี

หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงตาได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าคลองกุ้ง และได้มีส่วนช่วยท่านพ่อลีสร้างวัดป่าคลองกุ้งอีกด้วย
ท่านได้ติดตามเพื่ออยู่ศึกษาพระธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ และการปฏิบัติจิตภาวนากับท่านพ่อลีเป็นระยะๆอย่างสม่ำเสมอ
บางครั้งท่านไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการกับท่านพ่อลีด้วย

หลวงตาได้เดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆกับเพื่อนสหธรรมิกบ้าง โดยลำพังเพียงรูปเดียวบ้าง สมัยนั้นบ้านเมือง
ยังไม่เจริญผู้คนก็ยังมีไม่มาก ไปทางไหนก็เป็นแต่ป่าดงรกชัฏ สัตว์ป่านานาชนิดก็ยังมีให้เห็น รถยนต์ไม่มีเหมือน
สมัยปัจจุบัน จึงต้องเดินด้วยเท้าเป็นส่วนใหญ่ ในภาคอีสานท่านเดินธุดงค์ไปแล้วเกือบทุกแห่ง ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า
เคยเดินธุดงค์เลาะไปตามลำน้ำมูลขึ้นไปจนถึงจังหวัดอุบลราชธานี และได้ไปจำพรราอยู่กับหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม
ที่วัดป่าแสนสำราญ และได้อยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมกับท่านเป็นเวลานานพอสมควร จนเข้าใจในแง่มุมของการปฏิบัติที่
ละเอียดและลึกซึ้งมากขึ้น ท่านเคยพูดถึงหลวงปู่สิงห์ว่า “ พระอาจารย์สิงห์ท่านเป็นพระที่สนทนาธรรมได้สนุกดี
และได้ความรู้จากท่านมาก “ และนอกจากนี้หลวงตายังชอบเดินธุดงค์ออกไปต่างประเทศด้วย เช่นประเทศลาวและเขมร
โดยเฉพาะเขมรท่านชอบไปที่พนมกิเลนบ่อยๆ ท่านว่าบริเวณนั้นมีลิ้นจี่ป่ามากมายชาวบ้านเรียกลิ้นจี่ป่าว่า “คอยแลน “
ตอนเช้าๆจะมีสัตว์ป่าออกมาหากินมากมายหลายชนิด เช่นหมีเก้งและกวาง เป็นต้น

กลับมาตุภูมิ

หลังจากที่หลวงตาได้เดินธุดงค์เพื่อบำเพ็ญสมณะธรรมในภาคต่าง ๆ อยู่หลายปี ท่านได้หวนคิดถึงโยมบิดา – มารดา
จึงได้เดินทางกลับสู่มาตุภูมิ เพื่อโปรดท่านทั้งสองและญาติพี่น้องทั้งหลายตามสมควรแก่สมณะวิสัย ซึ่งท่านก็ได้อยู่
สนองพระคุณของโยมบิดา - มารดาด้วยธรรมปฏิบัติจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านทั้งสองโดยในระยะแรกที่กลับมา
ท่านได้พำนักและจำพรรษาที่วัดเขาสวายอยู่ระยะหนึ่ง ในเวลาต่อมาท่านจึงได้ย้ายพำนักที่กระท่อมเล็ก ๆ ของ
นายเคล็ม ดวงดี (มีศักดิ์เป็นหลานของหลวงตา) ซึ่งอยู่ใกล้บ้านนาเสือก เมื่อนานวันเข้า ชาวบ้านทั้งในหมู่บ้านนา
เสือกและหมู่บ้านใกล้เคียง ต่าง ทราบข่าวและกิตติศัพท์ของท่าน จึงพากันมาเคารพและกราบไหว้ตลอดจนให้การ
อุปัฏฐากดูแลหลวงตามากขึ้นทุกวัน ชาวบ้านกุล่มนี้เองที่ได้ช่วยกันสร้างกุฏิ และเสนาสนะให้ท่านอยู่จำพรรษา
ในที่ดินโคกกลาง (บริเวณป่าโคกกรี๊) ในเขตหมู่บ้านนาเสือก ซึ่งต่อมาคือในวันที่ 31 กรกฏาคม พ.ศ.2493
พระครูรัตนากรวิสุทธิ์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ (ธรรมยุต) ในขณะนั้น
ได้ออกใบรับรองให้หลวงตาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ปกครองและจำพรรษาในที่พักสงฆ์แห่งนี้ เพื่อบำเพ็ญสมณะธรรม
และอบรมสั่งสอนชาวบ้านสืบไป ซึ่งสถานที่นั้น ในปัจจุบัน ก็คือ “วัดป่าพนมกรอล” นั่นเอง และ
ท่านก็อยู่ที่วัดนี้มาโดยตลอด จวบจนวาระสุดท้ายแห่งสังขารขันธ์ของท่าน

ภารกิจสุดท้ายของหลวงตาหลวงตาเข้าเมือง

ในราวเดือนสิงหาคม พ.ศ.2537 ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้บรรดาลูกศิษย์ของหลวงตาต้องแปลกประหลาดใจ
เมื่อทราบข่าวว่าหลวงตารับนิมนต์ของ คุณรุ่งโรจน์ (หรือ แก๊ม ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งของหลวงตา)
ไปเทียวชมเมืองในเวลากลางคืน ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยเข้าเมืองมานานกว่า 40 ปี แล้ว และคุณแก๊มเอง
ก็ยังงงว่าไม่รู้อะไรมาดลใจให้ตนไปนิมนต์ท่านเช่นนี้

การเที่ยวเมืองครั้งนี้ คุณแก๊มนิมนต์ท่านไปขึ้นบ้านของตนเองก่อน แล้วก็แวะไปร้านทอง กิมเต็ก
ซึ่งเป็นลูกศิษย์ไปวัดเป็นประจำและอยู่ใกล้บ้านของคุณแก๊ม แล้วเลยไปวัดหนองบัวเพื่อเยียมโยม
โพดซึ่งอาศัยอยู่วัดนี้ และสุดท้ายได้ไปนั่งเล่นที่บริเวณวิหารหลวงพ่อพระชีว์ วัดบูรพาราม ซึ่งเวลา
นั้นค่อนข้างดึกแล้วจึงไม่มีใครเห็น มิฉะนั้นแล้วพระเณรทั้งวัดคงจะแตกตื่นพากันมากราบท่านด้วย
ความแปลกใจ และท่านก็ใช้เวลานั่งอยู่ที่นี่นานจนเกือบสว่าง จึงได้เดินทางกลับวัด ซึ่งคุณแก๊มบอก
ว่าไม่ว่าจะไปไหน ไกลแค่ไหน ก็จะต้องรีบกลับวัดให้ทันสว่าง เพราะหลวงตาพูดว่า “เดี๋ยวศีลจะขาด”
คืนต่อมา คุณแก๊มและเพื่อนนิมนต์หลวงตาไปเที่ยวโคราชเวลาประมาณตีหนึ่งตีสอง ท่านได้แวะชม
อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีและนั่งเล่นอยู่นาน จึงเดินทางกลับวัด

หลวงตาซื้อรถ


ครั้งต่อมาไม่นาน หลวงตาได้สั่งให้โยมโพดไปบอกคุณสมชัย กังวานศุภพันธ์ (หรือ “กังวาน” เจ้าของร้าน
ขายยากังวานเภสัช และเป็นผู้ดูแลเรื่องการเงินของหลวงตา) ว่าให้เบิกเงินไปซื้อรถยนต์ คุณสมชัยเองก็ลังเล
ไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง จึงถามย้ำว่าท่านพูดเล่นๆ หรือเปล่า ตาโพดก็ยืนยันหนักแน่นว่าท่านเอาจริง ๆ นะ

อีก 2 – 3 วันต่อมา ตาหาญ และคุณเสริม ซึ่งเป็นผู้ดูแลอุปัฏฐากหลวงตาที่วัด ได้เดินทางมาหาคุณสมชัย
ทั้งกลางคืนบอกว่า หลวงตาเร่งให้ซื้อรถยนต์ และให้ซื้อให้โดยด่วน และบอกว่าให้รีบไปคุยกับท่านที่วัดเพราะ
ระยะนี้ดูท่านไม่ค่อยสบาย ได้นอนมากว่าสิบวันแล้ว คุณสมชัยจึงชวนคุณไพศักดิ์ (น้องชาย) ให้ไปวัดด้วยกัน
ครั้งไปถึงก็เห็นโยมหลายคนกำลังช่วยกันทำบายศรีอยู่เต็มศาลา ถามดูก็ได้ความว่าเห็นผิดปกติ เพราะท่าน
ออกจากวัดบ่อย เกรงว่าจะไปผิดภูมิผิดที่ จึงลองทำแก้โดยวิธีนี้ดูเผื่อท่านจะหาย เมื่อคุณสมชัยและน้องชาย
เข้าไปกราบและพูดคุยกับท่าน ก็เห็นท่านยังปรกติดี แต่โยมหลายคนก็ยืนยันว่าท่านผิดปกติ และยิ่งมาทราบว่า
ท่านจะซื้อรถยนต์ก็งงและยิ่งเชื่อว่าท่านผิดปกติแน่นอน เมื่อคุณสมชัยเริ่มเปรยเรื่องซื้อรถยนต์ หลวงตาก็ตัดบท
ด้วยการดุว่า “เป็นผู้ใหญ่แล้ว พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่ใช้เด็กนะ “

เมื่อคุณสมชัยทราบชัดแล้วว่าท่านจะเอารถแน่นอน ก็ออกมาบอกญาติโยมที่อยู่วัดในคืนนั้นให้ทราบ และว่าจะ
รอดูก่อนสัก 4 – 5 วัน บางที่หลวงตาอาจจะลืมและไม่พูดถึงอีกก็ได้

วันรุ่นขึ้น ตาหาญ และลุงเสริม ได้ไปพบคุณสมชัยแต่เช้าบอกว่า หลวงตาให้ชื้อรถวันนี้เลย คุณสมชัยจึงรีบปรึกษา
กับน้องชายว่าจะซื้อที่ไหนดี เพราะกลัวว่าซื้อมาได้ไม่กี่วัน เกิดท่านบอกให้เอาไปคืนเขา ก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร
บังเอิญน้องชายมีญาติขายรถอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ จึงตกลงกันว่าจะไปซื้อทีนั่น เพราะหากมีปัญาหาดังที่คิดก็พอ
จะคุยกันได้บ้าง วันต่อมาคุณสมชัยจึงรีบเข้าไปวัดแล้วกราบเรียนว่าท่านต้องการรถสีอะไร หลวงตาตอบว่า
“สีอะไรก็ได้ หรือสีทึบ ๆ ขอให้เอามาเร็ว ๆ ก็แล้วกัน คุณสมชัยก็กราบเรียนว่าคงต้องรอ 2 – 3 วัน
เพราะไปซื้อที่จังหวัดบุรีรัมย์ ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร ครั้งคุณสมชัยไปซื้อรถ สีที่ต้องการก็ไม่มี
บริษัทต้องไปเอารถที่จังหวัดชัยภูมิซึ่งก็คงต้องใช้เวลาอีก 2 – 3 วัน พอรุ่งเช้า ตาหาญและคุณเสริม
มาบอกคุณสมชัยว่าหลวงตาให้เอารถวันนี้เลย สีอะไรก็ได้ คุณสมชัยจึงต้องรีบโทรศัพท์ไปบอกบริษัท
ให้ไปเอารถที่ชัยภูมิโดยด่วนที่สุด กว่ารถจะมาถึงและรีบนำไปส่งถึงวัดก็ล่วงเข้าไปถึง 3 ทุ่มกว่า
เมื่อเข้าไปถึงวัดก็ทำให้แปลกใจ เพราะมีชาวบ้านมาชุมนุมกันอยู่ในวัดมากมาย ราวกับวัดมีงาน
ถามดูจึงรู้ว่าพวกเขาพากันมา “ดูรถหลวงตา”

เมื่อรถถึงวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณสมชัยได้ขึ้นไปกราบเรียนให้หลวงตาทราบ ซึ่งทานนั่งรออยู่บน
กุฏิอย่างอารมณ์ดี เมื่อคุณสมชัยกราบเรียนท่านว่าที่มาถึงค่ำมาก เพราะต้องขับมาไกลจากจังหวัดชัยภูมิ
หลวงตาก็พูดสวนขึ้นมาเลยว่า “ไกลอะไรแค่นี้ ถ้าไกลต้องอเมริกา” แล้วท่านก็สั่งให้เอาโอวัลตินมาชงเลี้ยงกัน
และแจกบุหรี่ให้คนละซอง หลังจากพูดคุยกันได้สักครู่หลวงตาก็ไล่ให้ทุกคนกลับบ้าน ครั้งเห็นว่าผู้คนทั้งหลาย
กลับไปหมดแล้ว ท่านก็เดินลงมาดูรถแล้วสั่งให้คุณเสริมเอาเทียนใหญ่ (เป็นเทียนพรรษา)ไปวางตั้งไว้ที่ข้างรถ
จากนั้นท่านก็ทำพิธีสวดอยู่เป็นเวลานาน

ตามปรกติแล้ว หลวงตาทำอะไรจะไม่ค่อยบอกเหตุผล แต่จะให้ลูกศิษย์คอยสังเกตรู้เอาเองเรื่องการซื้อรถยนต์ก็เช่นกัน
ทั้งคุณสมชัยและลูกศิษย์ใกล้ชิดคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่ทราบเหตุผลว่าท่านจะซื้อมาทำไม ถ้าหลวงตาต้องการใช้รถ
ก็มีรถลูกศิษย์ให้เลือกใช้ได้แทบจะทุกแบบและทุกยี่ห้อ มิหนำซ้ำลูกศิษย์ที่ถูกเรียกไปใช้ก็มีความปีติยินดี
และถือเป็นศิริเป็นมงคลที่ตนได้รับความเมตตาจากท่านอีกด้วย แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ใครกล้าปริปากถามหลวงตา
สักคำได้แต่คิด และคาดเดาถึงเหตุผลที่ท่านจะซื้อรถยนต์กันเองไปต่าง ๆ นานา

พอเช้าตรู่ของวันใหม่ หลวงตาก็เริ่มให้คุณเสริมขับรถพาไปเยี่ยมบรรดาลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดถึงบ้าน ทั้งในจังหวัดสุรินทร์
และต่างจังหวัดจนเกือบจะครบทุกคน และให้พาไปดูสถานที่ต่าง ๆ ที่ท่านเคยเที่ยวธุดงค์ในสมัยที่ยังเป็นพระภิกษุ
หนุ่มออกปฏิบัติใหม่ ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลเท่าที่ท่านจะไปถึง เช่น ไปชายแดนเขมรเขตอำเภอกาบเชิง เขาใหญ่
จ.นครราชสีมา เขาพระวิหาร จ.ศรีสระเกษ เขากระโดง และเขาพนนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ เป็นต้น ซึ่งสถานที่สองแห่งหลังนี้
ท่านชอบไปบ่อยที่สุด และหลวงตาได้ปฏิบัติเช่นนี้แทบทุกวันทั้งในยามกลางวันและกลางคืน คล้ายกับท่านจะรู้ว่า
ภาระกิจนี้มีเวลาเพียงจำกัดแล้วและการไปเยี่ยมโปรดลูกศิษย์ หรือเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ นั้น ก็คล้ายกับท่านจะบอกให้รู้ว่า
“ หลวงตามาเยี่ยมแล้วนะ ต่อไปจะมาไม่ได้อีกแล้ว

ครั้งเมื่อท่านเห็นว่าภารกิจที่ตั้งใจจะทำ และได้ทำแล้วอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือน(นับตั้งแต่ซื้อรถยนต์มา)
ได้สำเร็จ ลงตามความประสงค์แล้ว รถยนต์ส่วนตัวก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับท่านอีกต่อไป หลวงตาจึงได้บอกให้ขาย
รถยนต์คันนี้เสีย โดยท่านเจาะจงที่จะให้คุณสมชัยเป็นผู้รับซื้อ ซึ่งคุณสมชัยก็ยินดีและเต็มใจรับซื้อไว้

ตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือน ที่ผ่านมาหากบรรดาลูกศิษย์ได้ติดตามเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องด้วยหลวงตามาโดยตลอด
ย่อมจะตระหนักชัดว่า หลวงตาได้ค่อย ๆ อธิบายเหตุผลในการซื้อรถยนต์ให้ลูกศิษย์ทั้งหลายได้เข้าใจด้วยการปฏิบัติให้ดู
ซึ่งเป็นการฝึกให้ศิษย์รู้จักสังเกตุและใชัปัญญาพิจารณา มิใช่จะคอยแต่ให้ครูบาอาจารย์พูดชี้แจงแสดงเหตุผลโดยถ่ายเดียว

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

พฤหัสฯ. 09 ส.ค. 2012 10:22 pm

เริ่มอาพาธ

ประมาณเดือนมีนาคม พ.ศ.2538 หลวงตาเริ่มมีอาการอาพาธด้วยอาการท้องร่วง ลูกศิษย์ผู้คอยดูแลใกล้ชิด
ได้นำยารากไม้มาต้มให้ฉันแก้เหน็บชาและปวดเมื่อย หลังจากฉันยาต้มประมาณ 1 อาทิตย์ ท่านเริ่มมีอาการเหนื่อย
ขาและแขนไม่มีแรง จึงสงสัยกันว่าอาจจะเป็นผลข้างเคียงของยารากไม้นั้น บรรดาลูกศิษย์จึงได้นำยาที่เหลือมา
ทดลองกินดู ปรากฏว่าเกิดอาการเจ็บป่วยกันแทบทุกคน จึงได้งดถวายยารากไม้นั้นเสีย

หลวงตาพยายามเดินประคองตัวด้วยการถือไม้ค้ำ โดยไม่ยอมให้ใครช่วยเหลืออยู่หลายวัน ลูกศิษย์ผู้ดูแลใกล้ชิดจึง
ได้โทรศัพท์ไปบอกคุณสมชัย คุณสมชัยจึงได้ลองจัดยามาถวายให้ลองฉันดูเป็นเวลาหลายวัน แต่อาการก็ดูจะไม่ทุเลาขึ้นเลย
ท่านมักบ่นว่าเหนื่อย ลูกศิษย์ได้พยายามนิมนต์ท่านให้ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเซ็คร่างกาย แต่ท่านก็ปฏิเสธทุกครั้ง
จึงได้เชิญเจ้าหน้าที่อนามัยมาให้น้ำเกลือ 2 ถุง เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปพลาง ๆ ก่อน แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น
คุณสมชัยจึงได้นิมนต์ขอให้ท่านไปโรงพยาบาลท่านก็บอกว่าให้คิดดูก่อน

คืนวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2538 เวลา ประมาณ 3 ทุ่ม ลูกศิษย์หลายคนได้ช่วยกันนิมนต์ท่านให้ไปโรงพยาบาลรวมแพทย์
หน้าวัดหนองบัว และต่อมาได้ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลสุรินทร์ โดยมีคุณสมศรี พิริยาสัยสันติ ซึ่งเป็นพยาบาลและหัวหน้าตึก
เป็นผู้อาสาไปส่งท่านและช่วยเป็นธุระให้ทุกอย่าง ทั้งยังได้เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางให้มาดูแล

หลังออกจากโรงพยาบาลแล้ว อาการอาพาธของหลวงตาก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก ลูกศิษย์จึงได้นิมนต์ท่านไปตรวจเช็ค
ร่างกายที่โรงพยาบาลขอนแก่นอีกครั้ง หมดได้ให้ยามาฉันประมาณ 1 เดือน อาการก็ยังเหมือนเดิม คุณอู๋ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใน
อ.ปราสาท ก็ได้นำยาจีนมาถวายให้ลองฉันประมาณ 1 เดือน อาการเหนื่อยและหอบที่ท่านเป็นอยู่ก็ไม่ทุเลาขึ้นเลย
ต่อมาลูกศิษย์จากจังหวัดอุบลราชธานี มานิมนต์ให้ท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลอุบลราชธานี หมดได้ให้ยามาฉัน
1 สัปดาห์และกลับไปตรวจใหม่อีก 1 ครั้ง เมื่อกลับมาได้ 2 – 3 วัน ท่านก็ได้อาพาธหนักขึ้น



ทำอย่างไรดีภัยใหญ่มาแล้ว


ราวเดือนกรกฏาคม พ.ศ.2538 คุณสมชัย ซึ่งทราบว่าหลวงตาอาพาธหนัก จึงได้รีบไปกราบเยี่ยมท่านทั้งในเวลา
กลางคืน ขณะนั้นท่านกำลังพักจำวัดที่กุฏิกลาง (กุฏิเก่า) ซึ่งท่านจะใช้เป็นที่พักจำวัดในเวลากลางคืนเป็นประจำ
เมื่อไปถึงและกราบท่านเรียบร้อยแล้ว หลวงตาได้เอ่ยขึ้นว่า “กังวาน ทำอย่างไรดี ภัยใหญ่มาแล้ว”
เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนั้น คุณสมชัยก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะยังตั้งสติไม่ทัน และไม่รู้ว่าจะตอบท่านอย่างไรด้วย
ทั้งไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดของหลวงตาแบบนี้ จึงทำให้ตกใจมาก เพราะปกติหลวงตาจะเป็นผู้ที่รู้เหตุการณ์ล่วง
หน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่างแม่นยำเสมอ จึงทำให้เกิดความหวั่นไหวว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับท่านสักอย่างเป็นแน่

คุณสมชัยจึงได้ปรึกษากับบรรดาลูกศิษย์ของหลวงตาที่มีอยู่ในขณะนั้น แล้วลงความเห็นกันว่าพรุ่งนี้จะนิมนต์ท่าน
ไปโรงพยาบาลสุรินทร์ รวมแพทย์(หน้า ธ.ก.ส.) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักต้องมีวิธีการพูดจนท่านยอมอนุโลมไปด้วย
แพทย์ได้ตรวจแล้ววินิจฉัยว่า สงสัยกล้ามเนื้อหัวใจตาย และนำท่านเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู ได้ 2 วัน ท่านก็เริ่มมีอาการปกติ
ฉันอาหารได้ดี หมอจึงได้ย้ายให้ไปนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลสุรินทร์รวมแพทย์ 2(ถนนสุรินทร์ – ลำซี)
เมื่อย้ายมาพักที่นี้แล้ว หลวงตากลับมีอาการทรุดลง ไม่ฉันอาหารและจะนอนเพียงอย่างเดียว เมื่อแพทย์มาตรวจ
อาการก็พบว่า เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้เส้นเลือดในสมองบวม แพทย์จึงสั่งให้น้ำเกลือให้อาหารทางสายยาง
และให้ในใส่เครื่องช่วยหายใจด้วย ซึ่งทำให้ลูกศิษย์ทุกคนเริ่มเป็นกังวลและห่วงหลวงตามากขึ้น จึงได้ปรึกษาและ
ลงความเห็นร่วมกันว่าถ้าท่านค่อยทุเลาแล้ว จะต้องรีบนำท่านไปรักษาที่กรุงเทพฯทันที่เข้ารักษาตัวที่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก

เมื่อปรึกษากันว่าจะนำหลวงตาไปรักษาตัวที่กรุงเทพ แน่นอนแล้ว คุณสมชัยจึงติดต่อ คุณนครินทร์ แสงโสมวงศ์
ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านที่มีความรอบรู้เรื่องกรุงเทพฯ ดี ให้ช่วยเป็นธุระหาโรงพยาบาลและติดต่อแพทย์ในกรุงเทพฯ
เตรียมไว้ล่วงหน้า ซึ่งในที่สุดก็ได้โรงพยาบาลธนบุรีและฝากเป็นคนไข้ของอาจารย์หมอวิชัย เจริญผล วันต่อมาอาการ
ของหลวงตาก็ค่อยทุเลาขึ้น จึงได้นิมนต์ให้ท่านเดินทางเข้ารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ทันที่ มีศิษย์ติดตามไปด้วย 7 – 8 คน
ถึงโรงพยาบาลธนบุรีประมาณบ่าย 3 โมง โดยมีน้องชายของคุณนครินทร์มารอรับและประสานงานให้ทุกอย่าง
ซึ่งนอกจากอาจารย์หมอวิชัยจะเป็นเจ้าของคนไข้แล้ว ยังมีคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
มาร่วมดูแลรักษาหลวงตารวมแล้ว 5 – 6 ท่านที่เดียว และพบว่าท่านเป็นโรคถุงลมในปอดโป่งพองและโรคเบาหวาน
ซึ่งน้ำตาลขึ้นสูงมาก หลังจากได้รับการรักษาไม่นานอาการของท่านก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ ขณะที่ท่านรักษาตัวอยู่
ในกรุงเทพฯ ก็มีลูกศิษย์ซึ่งอาศัยอยู่ทางนั้นมาช่วยดูแล และอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง โดยเฉพาะ
คุณสมเจตน์ รอดภัยปวง มาช่วยดูแลหลวงตาและคณะทุกวันมิได้ขาดเลย ยังความอบอุ่นให้แก่ลูกศิษย์ภูธรที่ติดตาม
หลวงตาเข้ากรุงในครั้งนี้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ในบางวันถ้าลูกศิษย์เห็นหลวงตาแข็งแรง และสดชื่นขึ้น ก็ยังขอให้ท่าน
ช่วยพูดธรรมะให้ฟังด้วย ซึ่งท่านก็ได้พูดโปรดให้ตามความประสงค์เมื่อถึงวาระที่จะกลับวัดก็ยังได้รับความเอื้อเฟื้อจาก
คุณนิจริน เตชะขจรปัญญาให้ความอนุเคราะห์หารถตู้อย่างดีมาส่งถึงวัดด้วย รวมระยะเวลาที่หลวงตาพักรักษาตัวในกรุงเทพฯ
ครั้งแรกนี้ นานกว่า 20 วัน

ต่อมาอาจารย์ สมมรรค ซึ่งเป็นทหารเสนารักษ์และหมอสักน้ำมันสมุนไพร ได้มากราบนิมนต์ให้ท่านไปลองรักษาโรคอัมพฤกษ์
ด้วยวิธีสักน้ำมันที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ท่านก็ไม่ขัดศรัทธา ได้เดินทางไปรักษาทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น


ไปรักษาตัวที่จังหวัดพิษณุโลก


เมื่อกลับจากโรงพยาบาลแล้ว หลวงตาก็ยังเดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็นตลอด เมื่อลูกศิษย์คนไหนมาแนะนำว่ามีหมอที่ไหนเก่ง ๆ
ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดก็จะนิมนต์ท่านไปรักษา ซึ่งท่านก็อนุโลมตามเพื่อฉลองศรัทธาของลูกศิษย์ และยังเป็นการทดลองให้ลูกศิษย์
ได้ประจักษ์แก่ตาเพราะท่านพูดอยู่เสมอว่า “ป่วยด้วยโรคกรรม” ติดหนี้เขาก็ต้องใช้รักษาไม่หายหรอก “ท่านยังบอกอีกว่า“
ต่อไปจะเป็นเหมือนควายนอนปลักเหมือนควายไปไหนไม่ได้”

แต่สำหรับการไปรักษาตัวที่จังหวัดพิษณุโลกนั้นต่างจากการไปที่อื่นๆ เพราะหลวงตาท่านเป็นผู้ปรารภและอยากลองไปรักษาเอง
ซึ่งยังความแปลกใจและเป็นที่ให้ความหวังแก่บรรดาลูกศิษย์ว่า ท่านอาจจะหายหรือไม่ก็ต้องทุเลาขึ้นก็ได้
ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2539 โดยคุณสมชัย ได้ยินว่าหลวงตาปรารภอย่างจะไปรักษา
ตัวที่จังหวัดพิษณุโลก ตามคำแนะนำของคุณนิเวศน์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ จึงได้กราบเรียนถามท่านว่ามีความ
ประสงค์เช่นนั้นจริงหรือไม่ท่านพูดว่า “ลองไปรักษาดู เผื่อหายอาจจะเดินได้ดีกว่านอนอยู่อย่างนี้ “คุณสมชัยจึงรีบติดต่อ
กับลูกศิษย์ทางจังหวัดอุบลราชธานี ให้ลองหาข้อมูลของคุณหมอท่านนั้น ประจวบกับในขณะนั้น คุณนิจริน ซึ่งอยู่
ทางกรุงเทพฯ ได้มาทำบุญที่วัดและทราบเรื่องที่หลวงตาจะไปรักษาตัวที่จังหวัดพิษณุโลก จึงได้แนะนำให้ พ.อ.วิเชียร ไชยปกรณ์
ซึ่งเป็นพี่ชาย ให้เป็นผู้ประสานงานเรื่องที่พักซึ่งท่านก็ได้ให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ
ให้เป็นอย่างดี

ในเช้าวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2539 หลังจากหลวงตาได้รอจนฟ้าสว่างแล้ว จึงได้ออกเดินทางไปกับคุณสมชัยและ
คณะลูกศิษย์จากทางจังหวัดอุบลราชธานี ถึงวัดใหญ่จังหวัดพิษณุโลกประมาณ 4 โมงเย็น โดยมี ร.ต.สมบัติ โยธาแจ้ง
คนสนิทของ พ.อ.วิเชียร มารอรับอยู่ก่อนแล้ว และก็ได้เข้าพักอยู่บนชั้นที่ 3 ของ ศาลารับรองในวัดใหญ่นั้นเอง เช้าวันอาทิตย์
จึงได้นิมนต์หลวงตาไปรักษากับหมอชื่อ คุณหมอเฉลิม สังข์ทอง ซึ่งวันนั้นมีคนเดินทางมารับการรักษามากประมาณ 200 คน
หมอจะรักษาโดยใช้วิธีเจาะเอาเลือดเสียออก ดูแล้วก็น่าหวาดเสียวและให้เกิดความสงสารหลวงตายิ่งนัก เลือดที่ไหลออก
มามากตามจุดต่าง ๆ ที่หมอเจาะพวกลูกศิษย์ก็จะคอยเอากระดาษทิซซูซับและเก็บใส่ถุงไว้ ซึ่งก็เก็บไว้ได้เต็มถุงไว้
ซึ่งก็เก็บไว้ได้เต็มถุงใหญ่เลยที่เดี่ยว เมื่อเสร็จจากระบวนการรักษาแล้ว หมอก็ได้แนะนำและนัดให้มาอาทิตย์ต่อไป
เพราะการรักษาจะกระทำได้เพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น ลูกศิษย์ที่ติดตามจึงกราบเรียนบอกหลวงตาให้ทราบท่านก็บอกว่า
“เดินทางมาลำบากมา ระยะทางก็ไกล” ลูกศิษย์ก็ตกลงกันว่าให้ท่านพักอยู่ที่นั้น ต่ออาทิตย์หน้าค่อยมารับท่านกลับตกลง
มีศิษย์อยู่พักกับหลวงตา 7 – 8 คน ซึ่งในระหว่างรอการรักษาพวกลูกศิษย์ได้พาหลวงตาไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ ของ
จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้ท่านได้ผ่อนคลายอิริยาบถ และได้รับความเพลิดเพลินบ้าง ครั้งถึงวันอาทิตย์ตามนัด
พวกลูกศิษย์ก็ได้พาท่านไปรักษาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเดินทางกลับวัดในวันนั้นเลย พร้อมกับลูกศิษย์จากทางจังหวัดอุบลราชธานี
ที่กลับมารับท่านด้วย ถึงวัดประมาณ 5 ทุ่ม หลวงตาได้สั่งให้ลูกศิษย์ช่วยกันก่อไฟสุมฟืน และนั่งสนทนากันตลอดคืนอย่าง
มีความสุข เพราะบรรดาลูกศิษย์เห็นว่าหลวงตาดูสุขภาพแข็งแรงขึ้นกว่าเก่ามาก

ต่อมาอีก 1 เดือน ลูกศิษย์ทุกคนที่เคยร่วมเดินทางไปกับหลวงตาในคราวก่อน ก็ได้พร้อมใจกันพาท่านไปรักษาตัว
ที่จังหวัดพิษณุโลกอีกเป็นครั้งที่สอง และก็ได้รับความอนุเคราะห์จาก ร.ต.สมบัติ โยธาแจ้ง ในการติดต่อประสานงาน
ล่วงหน้าเช่นเคยโดยเที่ยวนี้ได้ไปพักที่วัดเจดีย์ทอง ซึ่งเป็นวัดในสังกัดธรรมยุต วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่และตั้งอยู่ใจกลางเมือง
มีบ้านเรือนรายล้อมอยู่โดยรอบ มีบริเวณเนื้อที่กว้างใหญ่มาก และมีเจดีย์องค์ใหญ่นัยว่าเป็นบรรจุพระบรมอัฐิใน
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลวงตาได้พำนักค้างคืนที่วัดนี้เป็นเวลา 3 วัน

วันหนึ่งขณะพาท่านนั่งรถเข็นเที่ยวชมรอบบริเวณวัดอยู่ ท่านได้เรียกคุณสมชัยมาหาและถามว่า“หลวงตาใช้ให้ทำอะไร ได้ไหม”
คุณสมชัย ก็เรียนตอบท่านไปด้วยความเคารพและปราศจากความลังเลแต่ก็เจือด้วยความงงๆ (ที่จู่ ๆ หลวงตาก็มาถามเช่นนี้
ซึ่งปรกติแล้วท่านไม่เคยถามแบบเชิงขอร้องใครแบบนี้เลย)ว่า “ได้ครับ หลวงจะใช้อะไรก็ได้ครับ “ ท่านบอกให้ขึ้นไปช่วย
ถอนต้นไม้เล็กๆ และหญ้าที่ขึ้นปกคลุมอยู่บนเจดีย์ใหญ่ คุณสมชัยและลูกศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ตรงนี้ ทุกคนจึงได้ช่วยกันขึ้น
ไปทำความสะอาดอยู่ครู่ใหญ่จนเป็นที่เรียบร้อย และเมื่อท่านไปพบที่ว่างแห่งหนึ่งซึ่งทางวัดได้เตรียบการไว้เพื่อจะสร้างศาลา
และได้ตีกรอบไว้พร้อมติดป้ายประกาศด้วยว่าจะสร้างศาลา หลวงตาจึงให้ลูกศิษย์ช่วยกันยกท่านทั้งรถเข็นเข้าไปยังบริเวณที่จะ
สร้างศาลา จากนั้นท่านก็หยิบดินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วทำพิธีสวดอยู่สักครู่หนึ่ง จึงวางก้อนดินลงในบริเวณนั้น ซึ่งการทำพิธีดังกล่าวนี้
(ผู้เรียบเรียง)เข้าใจว่า “ท่านได้ช่วยวัดเจดีย์ทองสร้างศาลาหลังนี้แล้ว ด้วยกำลังภายใน ไม่ใช่ด้วยกำลังทรัพย์เหมือนคนอื่น ๆ ”

วันรุ่งขึ้นได้เดินทางไปหาหมอ พอหมอเห็นหลวงตาจึงพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นมาก ๆ ว่า “เมื่อคืนนี้ ได้ฝันเห็นหลวงตาองค์นี้แหละ
ท่านยังบอกว่าให้รักษาท่านให้ดี ๆ “ขณะที่หมอเจาะเลือดหลวงตา บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายก็คอยช่วยกันเอากระดาษทิชชูซับเลือด
แล้วก็เก็บใส่ถุงไว้เช่นเคย ในคราวนี้ทางครอบครัวหมอก็อยากได้กระดาษทิชชูที่ซับเลือดนั้นด้วยเหมือนกัน จึงแบ่งให้ไปจำนวนหนึ่ง
และได้เดินทางกลับสุรินทร์ในวันรุ่งขึ้น รวมการไปรักษาตัวที่จังหวัดพิษณุโลกได้ 2 เที่ยวและให้หมอรักษารวมทั้งหมด 3 ครั้ง



เข้ารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ครั้งที่ 2


ตรวจเช็คร่างกายที่กรุงเทพฯ จึงได้ร่วมกันนิมนต์ท่านให้ไปตรวจเช็คอีกครั้งที่โรงพยาบาลเดิม คือโรงพยาบาลธนบุรีและ
กับคณะแพทย์ชุดเดิม ท่านก็อนุโลมยอมรับนิมนต์ไป เมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็ได้ให้คณะแพทย์ตรวจเช็คร่างกายทั้งหมด
ซึ่งใช้เวลาอยู่ประมาณ 3 วัน แพทย์ก็อนุญาตให้กลับวัดได้ จึงนิมนต์ให้ท่านกลับวัดแต่ลูกศิษย์ก็ต้องแปลกใจเมื่อท่านบอกว่า
“จะกลับได้อย่างไร ยังไม่เห็นหายเลย อาการคันก็ยังคันอยู่” เมื่อเห็นว่าท่านยังไม่อยากกลับ ก็เลยปรึกษากันว่า
ให้ท่านอยู่ไปก่อน ใครติดธุระก็กลับไปก่อน และไหนๆ ท่านก็ยังไม่ได้กลับก็น่าจะเชิญจักษุแพทย์(หมอตา)
ที่เชี่ยวชาญมารักษาต้อกระจกซึ่งหลวงตาเป็นมานานแล้ว เมื่อหมอตาซึ่งเป็นอาจารย์หมอได้มาตรวจแล้วก็ลงความเห็นว่า
ต้องลอกต้อกระจกออกทันที เพราะท่านเป็นมากแล้ว และยังย้ำว่า “ เป็นมากขนาดขึ้น ท่านมองไม่เห็นมาตั้งนานแล้ว
“ลูกศิษย์บางคนไม่เชื่อและเถียงหมอไปว่า “ถ้าไม่เห็น ท่านจะหยิบอาหารฉันเองได้หรือ “ ซึ่งหมอก็คงจะแปลกใจแต่ก็ยัง
คงตอบตามหลักวิชาการที่ตนได้ศึกษามาว่า “ เป็นมากอย่างนี้ จะเห็นได้อย่างไร “ แต่ก็มีศิษย์บางคนเชื่อว่าหมอคงวินิจฉัย
และพูดถูก เพราะท่านเป็นถึงอาจารย์หมดที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ และเชื่ออีกว่าที่หลวงตามองเห็น หยิบจับ
ตลอดจนทำอะไรๆได้อย่างคนตาปกติมาตลอด และไม่เคยบ่นให้ใครฟังนั้นเพราะท่านอาศัย “ตาใน” ส่วนเรื่องอาการคันที่
เป็นอยู่ ก็ได้เชิญแพทย์ผู้เชียวชาญทางโรคผิวหนังมาตรวจรักษาเป็นพิเศษด้วย

การที่ท่านมีความประสงค์จะอยู่รักษาตัวที่กรุงเทพฯ ต่อ ทั้ง ๆ ที่อาการอาพาธของท่านในคราวนี้ไม่หนักเหมือนคราวก่อน ๆ
ก็เป็นเรื่องที่สร้างความแปลกใจให้แก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะปกติแล้วท่านไม่ชอบอยู่นอกวัด
และถ้ายิ่งเป็นโรงพยาบาลแล้ว ท่านยิ่งไม่อยากมาและไม่ชอบอยู่เอาเลย แต่ลูกศิษย์ก็ค่อยเข้าใจเองในภายหลังว่า
“ท่านไม่ได้ตั้งอยู่เพื่อรักษาตัวท่านเองหรอก แต่มีความประสงค์จะอยู่โปรดบรรดาลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ เป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น”

หลวงตาได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอยู่กรุงเทพฯ ครั้งนี้ด้วยการไปเยี่ยมบรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ทางนั้นถึงบ้านเลยที่เดียว
และไปเกือบจะครบทุกคน ซึ่งสร้างความดีใจระคนด้วยความแปลกใจให้แก่ลูกศิษย์เหล่านั้นเป็นอย่างดี ด้วยนึกไม่ถึง
เลยว่าท่านจะเมตตามาโปรดพวกเขาถึงบ้าน อีกทั้งแพทย์ก็ได้อนุญาตให้ท่านออกจากโรงพยาบาลตามความประสงค์
ได้ทุกวัน ซึ่งก็เป็นคนไข้คนเดียวและคนแรก (แต่ไม่รู้จะเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่า)ของโรงพยาบาลธนบุรีที่ได้รับสิทธิพิเศษนี้

นอกจากหลวงตาจะไปเยี่ยมบ้านของลูกศิษย์ทั้งหลายแล้ว บางวันลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ ก็ได้นิมนต์ท่านไปเที่ยวยังสถานที่
ต่าง ๆ หลายแห่งอีกด้วย อาทิเช่น ไปเที่ยวชมทะเล พระราชวัง บางปะอิน สวนสัตว์เปิดฟารีฯ สวนหลวง ร.9 สวนสัตว์เขาดิน
เป็นต้น และเมื่อถึงเวลาที่จะกลับวัด ก็ยิ่งให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ติดตามแปลกใจและตั้งตัวไม่ติดเลย ท่านบอกคำเดียวว่า
“กลับเดี๋ยวนี้เลย”ลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ ต่างพากันบ่นเสียดายที่มาส่งหลวงตาไม่ทัน แม้แต่ลูกศิษย์ทางสุรินทร์บางคนที่
ติดตามท่านเข้ากรุงเทพฯยังต้องกลับตามมาที่หลัง เพราะต้องอยู่จัดการเรื่องทุกอย่างที่โรงพยาบาลให้เรียบร้อยเสียก่อน



แพทย์ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอด


ประมาณวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2542 คุณสมชัยได้ให้ลูกคนเล็ก 2 คน (เป็นฝาแฝดกัน ซึ่งมีความคุ้นเคยกับหลวงตา
เป็นอย่างดี เพราะตามคุณสมชัยเข้าวัดเป็นประจำตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และถือว่าเป็นศิษย์รุ่นเล็กของหลวงตาก็ว่าได้) ไปวัด
เพื่อดูแลหลวงตาตั้งแต่เช้า และเด็กก็ได้โทรศัพท์กลับไปบอกคุณสมชัยว่าหลวงตาบ่นเจ็บหน้าอก แต่ไม่มาก และเจ็บต่อ
เนื่องจนท่านรำคาญ คุณสมชัยจึงได้สั่งเด็กให้ไปบอกคุณสมเจตน์ให้นิมนต์หลวงตาไปตรวจที่โรงพยาบาล แต่ท่านบอกว่า
ยังไม่ไป และก่อนหน้านี้ท่านไอมีเลือดปนออกมากับเสมหะถึง 2 ครั้ง จึงได้นิมนต์ท่านอีกครั้งว่าพรุ่งนี้จะพาไปตรวจร่างกาย
ประจำเดือนที่โรงพยาบาลปราสาท จังหวัดสุรินทร์

เช้าวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2542 จึงได้ให้นายแพทย์สกล อินทรเศรษฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปราสาท ซึ่งเป็นแพทย์
ประจำตัวของหลวงตา เป็นผู้ตรวจร่างกายและทำการเอกซเรย์ปอดด้วย และได้แจ้งผลการตรวจว่า “ท่านเป็นมะเร็งปอดนะ
และเป็นมากด้วย” เมื่อกลับมาถึงวัดลูกศิษย์ทุกคนก็ต่างไม่กล้ากราบเรียนท่าน ถึงโรคมะเร็งที่พึ่งตรวจพบ แต่ปรึกษากันว่า
จะนิมนต์ท่านไปตรวจรักษาที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง ครั้งไปนิมนต์หลวงตา ท่านก็นิ่งอยู่สักครู่แล้วจึงพูกว่า “โรคขี้ทูดกุฏฐัง
มีคนเป็นมาแล้วหลายคนก็ไม่หาย ส่วนโรคหืดหอบและมะเร็งเคยเห็นคนเป็นมาหลายคนแล้ว ก็ไม่เคยรักษาหายมีแต่เสีย”
แล้วพูดเปรียบเปรยให้ฟังหลาย ๆ เรื่อง แล้วในที่สุดก็พูดว่า “ที่หลวงตาเป็นอัมพฤกษ์อยู่นี้ก็รักษาไม่หาย
จะไปกรุงเทพฯ อีก หมอเขาจะรับรองไหม หลวงตายังไม่ตกลงไป” คุณสมโพดก็พยายามคะยั้นคะยอต่าง ๆ
ให้ท่านลองไปดูหลวงตาจึงพูดด้วยอารมณ์ดีว่า “จะพนันกันมั๊ย สัก 2 – 3 แสน ก็ได้” ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลายคนก็พยายาม
ช่วยกันนิมนต์ขอให้ลองไปดูอักสักครั้ง ในที่สุดท่านคงทนการรบเร้าของบรรดาลูกศิษย์จอมตื้อทั้งหลายของท่านไม่ได้
จึงยอมรับนิมนต์ไป เข้ารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ครั้งที่ 3

จะโดยบังเอิญหรืออย่างไรก็สุดที่จะคาดเดาแต่เหมือนนัดกันไว้ คุณเอี้ยงและคุณมา ลูกศิษย์ทางจังหวัดอุบลราชธานี
ก็เดินทางมาถึงวัดพอดีและเมื่อทราบว่าหลวงตายอมเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้งเขาก็พร้อมที่จะพาท่านไปได้ทันที่ จึงตกลง
กันว่าเช้าวันพรุ่งนี้ (22 มิถุนายน 2542) จะออกเดินทางโดยรถตู้ของคุณเอี้ยง พร้อมผู้ติดตามไปด้วยประมาณ 8 คน
พอไปถึงโรงพยาบาลธนบุรีหลวงตาก็เอ่ยว่า “จะกลับรึยัง” จะเห็นว่าท่านมาเพราะเห็นแก่ลูกศิษย์ที่มีความห่วงใยท่านเท่านั้น
ไม่ได้คิดจะมารักษาตัวแต่อย่างไรเลย เมื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคปอดมาตรวจ ก็นัดว่าพรุ่งนี้จะใช้กล้องส่องเข้า
ไปตรวจดูในปอดและขอให้หลวงตาร่วมมือด้วย ลูกศิษย์จึงได้ปรึกษากันแล้วขอร้องให้แพทย์ใช้วิธีการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ก็พอ
ซึ่งแพทย์ก็ยอมอนุโลมตาม ตกตอนเย็นแพทย์ประจำตัวของหลวงตาก็ได้มาแจ้งผลการเอกซเรย์ว่า ท่านเป็นมะเร็งปอดในระยะ
สุดท้ายคือขั้น 3 คามขั้น 4 แล้วจะได้ยาไปลองฉันดูสัก 2 อาทิตย์ แล้วกลับมาตรวจเช็คใหม่อีกครั้ง คุณสมชัยก็บอกปฏิเสธไปว่า
“ท่านคงจะไม่มาแล้วนะ” วันรุ่งขึ้นจึงได้พาหลวงตากลับวัด แต่ลูกศิษย์ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะช่วยหลวงตาในทางอื่น ๆ
เช่น คุณประทีป ตั้งมานะกุล ศิษย์ทางจังหวัดอุบลราชธานี ก็สู้อุตส่าห์เดินทางขึ้นลงจังหวัดสกลนครหลายเที่ยว เพื่อนำเอา
ยาสมุนไพรมาต้มให้ท่านฉันเป็นประจำซึ่งก็ช่วยทำให้หลวงตาฉันอาหารได้ดีขึ้
นบ้างเท่านั้น


หลวงตา สั่งลา ลูกศิษย์


วันที่ 28 กรกฏาคม พ.ศ.2542 คุณสมชัยพร้อมด้วยบุตรหลายคนได้เข้าวัดเพื่อไปกราบเยี่ยม และให้ลูก ๆ มากราบลาหลวงตา
กลับไปเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพฯ และได้ขออนุญาตเซ็ดตัวให้ท่าน ในระหว่างที่กำลังเช็ดตัวอยู่นั้น ท่านได้พูดขึ้นด้วยเสียงสั่น
เครือคล้ายคนกำลังร้องไห้ (แต่เมื่อมองหน้าท่านก็เห็นว่าไม่ได้ร้อง) เป็นภาษาเขมรซึ่งแปลได้ว่า “ลูกได้ทำตลับให้พ่อแม่หรือยัง”
ซึ่งทำให้คุณสมชัยงงจึงกราบเรียนท่านว่า “ยังไม่ค่อยเข้าใจในความหมายที่หลวงตาพูด ” ท่านจึงพูดว่า “ได้ปรึกษากันหรือเปล่า
เรื่องงานของท่าน” คุณสมชัยจึงนิ่งอยู่สักครู่หนึ่งด้วยคิดอะไรไม่ออก เพราะเข้าใจความหมายที่ท่านพูดแล้ว อีกทั้งจะพูดก็รู้สึก
มันพูดอะไรไม่ค่อยจะออก เหมือนหลอดลมจะตีบตันไปหมด ครั้งพอตั้งสติได้บ้างจึงกราบเรียนท่านว่า “ ขอให้พวกผมได้ปรึกษา
กันดูก่อนว่าจะทำอย่างไรดี และขอให้หลวงตาช่วยแนะนำด้วย เพราะผมกลัวทำไม่ถูก” ท่านจึงได้เน้นถามว่า “ที่หลวงตาสั่ง
จำได้หรือเปล่า” คุณสมชัยก็รับคำว่าจำได้

เมื่อได้กราบลาหลวงตาแล้ว คุณสมชัยจึงได้ลงมาปรึกษากับบรรดาลูกศิษย์ของท่านที่อยู่ในวัดขณะนั้น เมื่อลูกศิษย์ทราบว่า
หลวงตาสั่งลาแล้ว บางคนก็ร้องไห้อย่างไม่อายใคร บางคนก็น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่เงียบ ๆ ข่าวนี้ได้แพร่ออกไปในหมู่ลูกศิษย์
ของหลวงตาอย่างรวดเร็ว จึงได้พากันทยอยมาเยี่ยมท่านเป็นจำนวนมากขึ้นทุกๆ วัน


ขอคำแนะนำจากหลวงตา

หลังจากออกจากวัด คุณสมชัยก็ได้รีบไปปรึกษาหารือกับครูบาอาจารย์หลายท่านในจังหวัดสุรินทร์ ถึงเรื่องทีหลวงตาสั่งลา
ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำที่มีประโยชน์ตลอดจนข้อคิดที่ดี ๆ อีกหลายอย่าง จึงได้เตรียมปัญหาต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้า
เพื่อจะถามหลวงตาในวันพรุ่งนี้(วันที่ 29 กรกฏาคม พ.ศ.2542) ครั้งได้โอกาสถามปัญหาต่าง ๆ ที่เตรียมมา
ก็ปรากฏว่าผิดหวัง เพราะคำตอบที่ได้มีเพียงอย่างเดียว คือ “หลวงตาไม่รู้” ซึ่งคุณสมชัยก็ไม่ท้อถอยหรือละความพยายาม
ได้อธิบายเหตุผลต่าง ๆ ให้ท่านฟัง และขอให้ท่านเมตตาช่วยแนะนำด้วย และก่อนจะกราบลาท่านกลับ ก็ได้กราบเรียนให้
ท่านค่อยๆ คิดดู จะมาขอฟังคำตอบใหม่อีกครั้ง

วันที่ 30 กรกฏาคม พ.ศ.2542 คุณสมชัยตั้งใจว่าจะเข้าวัดไปถามปัญหากับหลวงตาอีกครั้ง แต่ก่อนจะไปก็ได้ไปขอคำแนะนำ
เพิ่มเติมจาก หลวงพ่อหลุ่น สุธีโร วัดป่าแสงธรรม และพระอาจารย์อนุชาติ อภิชาโต เจ้าอาวาสวัดป่าบวรสังฆาราม(หน้าเรือนจำ)
เมื่อไปถึงวัด คุณสมชัยก็คอยหาจังหวะ และโอกาสที่จะกราบเรียนถามหลวงตาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่สบโอกาสที่เหมาะสม
จึงได้ไปรับประทานอาหารที่โรงครัวไปพลาง ๆ ก่อน สักครู่หนึ่งก็มีบรรดาลูกศิษย์เก่าๆ หลายท่านซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในทางสังคม
และเคยมาวัดเป็นประจำทยอยกันเดินทางเข้ามาเยี่ยมหลวงตา อย่างไม่ได้นัดหมายกันไว้ล่วงหน้าประจวบกับคณะของหลวงพ่อหลุ่น
ก็ได้เข้ามาสมทบอีก ซึ่งหลวงพ่อหลุ่นนี้ท่านเป็นลูกศิษย์ที่รู้จัก และคุ้นเคยกับหลวงตามาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นฆราวาสอยู่
ทุกคนนั่งล้อมหลวงเต็มไปหมด คุณสมชัยเห็นโอกาสทองเช่นนี้แล้ว จึงรีบกราบเรียนหลวงตาว่า “คณะของหลวงพ่อหลุ่นและ
พระมาเยี่ยมหลวงตา” ท่านก็ถามกลับมาเหมือนอย่างกับท่านรู้ใจลูกศิษย์ว่า “วันนี้มาธุระอะไร” คุณสมชัยเห็นว่าท่านเปิดโอกาส
ให้แล้วจึงรีบกราบเรียนถามถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เตรียมมาทันที่ ซึ่งคราวนี้ท่านก็เมตตาตอบคำถามให้เกือบทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่อง
เดียวที่ท่านไม่ยอมตอบ ก็คือเรื่องจะให้ปฏิบัติสรีระกิจของท่านอย่างไร ซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญที่สุด แม้หลวงพ่อหลุ่น
จะพยายามช่วยพูดถึงเหตุผล และความจำเป็นในเรื่องนี้พร้อมทั้งยกตัวอย่าง ว่าท่านเองก็ได้เขียนหนังสือสั่งไว้แล้วว่าให้ทำ
อย่างไรเมื่อท่านละสังขารไป หลวงตาก็เพียงรับฟังแต่ไม่ตอบคำถามนี้เช่นเคย

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

พฤหัสฯ. 09 ส.ค. 2012 10:47 pm

หลวงตาเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย

หลังจากหล่อรูปเหมือนหลวงตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เริ่มมีอาการทรุดหนักลงเริ่มฉันอาหารไม่ค่อยได้ บางครั้ง
ก็ฉันได้เพียง 2 คำก็ไม่ฉันอีก คุณสมชัยก็พยายามคะยั้นคะยอให้ท่านฉันมาก ๆ แต่รู้สึกว่าเวลานั้นหลวงตาไม่ค่อย
จะมีแรงแล้ว แม้จะตักอาหารก็ค่อนข้างลำบาก และก็ไม่มีใครกล้าตักอาหารป้อนให้ท่านฉันด้วย เพราะท่านชอบช่วย
เหลือตัวเองตลอด คุณสมชัยจึงลองกราบเรียนถามท่านว่า “หากหลวงตาตักอาหารฉันไม่ไหวแล้ว ผมจะตักอาหารป้อน
ให้ฉันได้ไหม ครับ” ท่านก็ได้แต่ฟัง และนิ่งไม่ตอบคล้ายกับจะบอกให้ลูกศิษย์รู้กาลที่เหมาะสมเอง วันต่อๆ มาเมื่อเห็นว่า
หลวงตาตักอาหารฉันเองไม่ไหวแน่แล้ว คุณสมชัยจึงได้ขอโอกาสตักอาหารป้อนให้ท่านฉัน และตั้งแต่นั้นมาลููกศิษย์ก็ต้อง
คอยช่วยตักอาหารป้อนให้ท่านฉันเป็นประจำ ซึ่งบางเวลาท่านก็ฉันอาหารได้มากขึ้น

วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2542 คุณประทีปได้แวะมาเยี่ยมหลวงตา และเห็นว่าอาการของหลวงตาน่าเป็นห่วง จึงนิมนต์ท่าน
ไปโรงพยาบาลรวมแพทย์(หน้าวัดหนองบัว) ซึ่งก็ทำให้อาการของท่านทรง ๆ อยู่ และฉันอาหารได้มากกว่าตอนที่อยู่วัด
ท่านพักอยู่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ 42 วัน บรรดาลูกศิษย์ได้ปรึกษากันว่าน่าจะย้ายท่านเข้าโรงพยาบาลสุรินทร์ เพราะ
มีความพร้อมกว่าในหลาย ๆ ด้าน หลวงตาจึงได้ย้ายมาพักที่โรงพยาบาล สุรินทร์ โดยเข้าพักที่อาคาร 12 ชั้น 5 ห้องเบอร์ 4
และในระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลสุรินทร์ ท่านได้ขออนุุญาตแพทย์กลับไปเยี่่ยมวัดเพียงครั้งเดียวคือวันเข้าพรรษา และ
พักอยู่ที่วัดเพียง 2 วันเท่านั้น ก็ต้องกลับเข้าพักในโรงพยาบาลอีกครั้ง ซึ่งในช่วงนี้อาการของหลวงตาจะทรุดลงตามลำดับ

หลวงตา ละสังขาร


ในขณะที่อาการอาพาธทางขันธ์ของหลวงตามีแต่จะทรุดลงทุกวัน อาการวิตกกังวลใจของบรรดาลููกศิษย์ใกล้ชิดก็เพิ่มขึ้น
ทุกวันไม่แพ้กัน และเรื่องที่บรรดาลูกศิษย์ยังเป็นห่วงที่สุดก็คือเรื่องสรีระกิจของท่าน ว่าจะปฏิบัติกันอย่างไรจึงเหมาะสม
ครั้งเมื่อนำมาปรึกษาหารือกันก็มีความเห็นแตกต่างกันไปจนไม่อาจหาข้อสรุปได้ ทั้งยังเป็นความแตกต่างชนิดที่ไม่สามารถ
ปรับให้เป็นที่พอใจของทุกฝ่ายได้อีกด้วย คุณสมชัยจึงพยายามกราบเรียนถามท่านอยู่เนือง ๆ ซึ่งมีอยู่คราวหนึ่งที่กราบเรียน
ท่านว่า “ขอให้หลวงตาเมตตาแนะนำด้วย หากนานไปเดี๋ยวหลวงตาจะหลง” ท่านก็ตอบสวนมาทันทีด้วยน้ำเสียงที่ดังฟัง
ได้ชัดเจนว่า “ไม่หลง”

จนราวต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2542 หลวงตาจึงได้สั่งการเรื่องสรีระกิจของท่านกับครูบาวิชล นิทเทศโก(พระอุปัฏฐาก)
เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่าท่านเป็นผู้ที่รู้กาลที่เหมาะสมในการทำสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ และเป็นพระที่พูดน้อยที่สุด
แม้ในการสั่งการท่านก็เพียงแต่ใช้การยกมือขึ้นทักทาย คล้ายจะบอกลาบรรดาลูกศิษย์ที่มาเยี่ยมในคืนนั้นเพียง 3 ครั้ง
โดยไม่พูดอะไรเลย

หลวงตาต้องต่อสู้กับวิบากขันธ์ด้วยความมีขันติในโรงพยาบาลสุรินทร์อยู่ถึง 90 วัน จึงได้ละสังขารไปด้วยความสงบ
เมื่อเวลาประมาณ 03.25 น. ของวันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2542 รวมสิริอายุได้ 82 ปีเศษ ยังความเศร้าโศกเสียใจ
และอาลัยแก่ศิษยานุศิษย์อย่างยากที่จะพรรณนา..

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

เสาร์ 11 ส.ค. 2012 9:35 pm

ขอบคุณมากครับ :grt: :grt:

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

เสาร์ 11 ส.ค. 2012 11:21 pm

อานุภาพแห่งวัตถุมงคล


ความศักดิ์สิทธิ์แห่งวัตถุมงคลขึ้นอยู่กับการสร้างและการปลุกเสก ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่างอาทิเช่น
การคำนวณหาฤกษ์ยาม การจัดพิธีตามประเพณีที่ถูกต้อง มวลสารที่ใช้เจตนาของผู้สร้าง และที่สำคัญที่สุดคือ
พลังจิตของผู้ทำการปลุกเสก ซึ่งองค์ประกอบสำคัญ ๆ เหล่านี้ ล้วนมีอยู่พร้อมในวัตถุมงคลของหลวงตาทุกรุ่น
ดังนั้นจึงมักได้ยินข่าวลือถึงความปาฏิหาริย์ และความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลรุ่นต่าง ๆ ของหลวงตาอยู่เสมอ ๆ
ซึ่งลูกศิษย์บางคนก็ได้ถ่ายทอดประสบการณ์อันน่ามหัศจรรย์ในด้านต่าง ๆ ให้ฟังดังนี้

1. ลูกสาวของบริษัทเดินรถในอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลบราชธานีได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างร้ายแรง
แต่ก็ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งดูจากสภาพการณ์ในที่เกิดเหตุแล้วไม่น่าเป็นไปได้ แต่เชื่อกันว่าน่าจะ
แคล้วคลาดด้วยอานุภาพแห่ง “พระนาคปรกใบมะขาม” ของหลวงตา ที่เธอแขวนติดตัวอยู่ตลอดเวลา

2. เมื่อ พ.ศ.2537 ญาติข้าวของห้องเย็นเจริญผลได้ถูกคุณไสย มีอาการเจ็บปวดตามร่างกายคล้ายถูกเข็มทิ่มแทง
ไปทั้งตัว เป็นมานานถึง 10 ปี ไปให้อาจารย์ชื่อดังหลายท่านช่วยแก้ก็ไม่หาย ต่อมาได้พบกับเจ้าของห้องเย็นเจริญผล
โดยบังเอิญและได้เล่าเรื่องการเริ่มป่วยให้ฟัง เจ้าของห้องเย็นฯ คิดว่าน่าจะโดยคุณไสย์ จึงแนะนำให้ลองเอา
“พระนาคปรกใบมะขาม” มาทำน้ำมนต์แล้ลองดื่มและอาบดู เพราะเคยมีคนทำมาแล้วได้ผลดี ญาติของผู้ป่วยไม่เชื่อ
เรื่องไสยศาสตร์และว่าเป็นเรื่องงมงายเหลวไหล แต่เจ้าของห้องเย็นก็ยังยืนยันว่าให้ลองทำดูเพราะไม่เสียหายอะไร
ผู้ป่วยจึงได้ยอมตกลงและได้ให้ภรรยาจุดธูป 1 ดอก ปักไว้ที่กลางแจ้งแล้วอัญเชิญ”พระนาคปรกใบมะขาม” ลงในขัน
น้ำมนต์แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีหลวงตาช่วยให้หายจากโรคนี้ เสร็จแล้วก็ให้ผู้ป่วยดื่ม ส่วนที่เหลือก็ให้นำไปอาบ
ผลปรากฏว่าในคืนนั้นผู้ป่วยได้ถ่ายออกมาเป็นเลือดจนตกใจ ตื่นเช้าก็รีบไปพบแพทย์ ซึ่งเมื่อตรวจวินิจฉัยก็ไม่พบสิ่ง
ผิดปกติในระบบทางเดินอาหารเลย แต่อาการเจ็บป่วยที่เคยเป็นมานานกลับหายดังปลิดทิ้ง

3. นายพัน เป็นชาวอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้ห้อยเหรียญ “พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล “
ที่คอเป็นประจำ วันหนึ่งได้ขับรถมอเตอร์ไซด์ออกจากบ้าน เพื่อจะไปทำธุระในตัวจังหวัดอุบลราชธานีและ
ขับไปด้วยความเร็วสูง ขณะที่วิ่งมาถึงหน้าแยกมูลนิธิฯ ตรงปั้มน้ำมัน ปตท. ปรากฏว่ามีรถเจ้าของปั้มเลี้ยว
กลับพอดี จึงเกิดการชนกันอย่างแรง รถมอเตอร์ไซค์พังยับเยินทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างคิดว่า นายพัน
ต้องไม่รอดแน่ๆกลับเป็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยอย่างเหลือเชื่อ

4. ในปี พ.ศ.2540 หลานเจ้าของร้านขายน้ำแข็งพร้อมด้วยญาติอีก 3 คนได้ขับรถอีซูซุชนิดขับเคลื่อน
สีล้อเดินทางจากอำเภอเดชอุดม มุ่งหน้าไปยังตัวจังหวัดอุบลราชธานี พอมาถึงสะพานกุดปลาขาวบริเวณ
หน้ามูลนิธิสว่างบูชาธรรม อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบราชธานี ก็มีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งมาตัดหน้าอย่างกะทันหัน
คนขับรถยนต์อีซูซุจึงรีบหักหลบทำให้รถเสียหลักพุ่งลงสะพานปรากฏว่ารถพังทั้งคัน แต่คนทั้ง 4 ที่โดยสารอยู่
ในรถได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แบะเชื่อว่ารอดพันมาได้อย่างปาฏิหาริย์เพราะในรถมี ”
เหรียญพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล” เพียงอย่างเดียวซึ่งห้อยอยู่หน้ารถ

5. ในวันที่คุณวิชัยไปรับรูปหล่อองค์ใหญ่มาวัด ได้มีชาวบ้านนาเสือกและชาวบ้านจากหมู่บ้านในละแวกใกล้เคียง
มารถต้อนรับเป็นจำมาก ในจำนวนนั้นมีอยู่หลายท่านที่ชอบเสี่ยงโชคจากหวยใต้ดิน จึงได้พากันไปดูไปจดหมาย
เลขทะเบียนรถที่บรรทุกรูปหล่อนั้น ซึ่งหมายเลขทะเบียนรถคันดังกล่าวคือ “ป 1633 ชาวบ้านจึงพากันได้ซื้อ
หวยใต้ดินด้วยเลข “ 16 ” และ “ 33 ” จะบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบเลขบนงวดนั้นออก “ 16 ” ชาวบ้าน
พากันถูกหวยเกือบทั้งหมู่บ้าน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามกำลังซื้อของแตะละคน แต่ถ้าเป็นเพราะปาฏิหาริย์รูปหล่อ
นั้นแล้ว “นี่ยังไม่ได้ปลุกเสกนะ ยังศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ ถ้าปลุกเสกแล้วจะสักขนาดไหน “

6. คุณสุมาลัย มีผล ซึ่งบ้านเกิดอยู่ใกล้วัดหลวงตา ได้รู้จักและพบเห็นหลวงตามาตั้งแต่เด็ก ๆ พออายุได้ 13 ปี
ก็ลาออกจากโรงเรียนเดินทางเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ แต่ถ้าคราวใดที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านก็จะต้องเข้าไปทำบุญ
และกราบหลวงตาที่วัดด้วยความเคารพเลื่อมใสเสมอมา และเป็นผู้หนึ่งที่สั่งจองรูปเหมือนหลวงตาขนาด
หน้าตัก 5 นิ้ว จำนวน 1 องค์ พร้อมกับได้รับรูปหล่อองค์เล็กเป็นของสมนาคุณด้วย 3 องค์ เมื่อกลับกรุงเทพฯ
แล้ว ก็ได้นำรูปหล่อองค์เล็กทั้ง 3 องค์ไปเข้ากรอบที่ร้านทอง “ทองใบ” บริเวณตลาดพระประแดง หลังจากที่เจ้า
ของร้านได้วัดองค์พระเรียบร้อยแล้ว ก็บอกให้เอาพระทั้ง 3 องค์เก็บไว้ที่ร้านก็ได้ แต่คุณสุมาลัยไม่ไว้วางใจเพราะ
กลัวพระจะหาย จึงตอบปฏิเสธไป เจ้าของร้านพูดว่า “ไม่เปลี่ยนเอาหรอก พระไม่ดัง” แต่คุณสุมาลัยก็ยังไม่วางใจ
ที่จะทิ้งพระไว้ที่ร้านจำนำกลับมาบ้านทั้งหมดต่อมาอีก 1 เดือน ก็ได้นำพระทั้งสามไปเข้ากรอบตามที่นัดกันไว้
แต่ปรากฏว่าเจ้าของร้านไม่สามารถบรรจุพระเข้ากรอบได้เลยสักองค์เดียว คล้ายกับว่าด้านข้างขององค์พระจะบิดเบี้ยวไป
เจ้าของร้านได้พยายามแล้วพยายามอีกอยู่หลายครั้ง แต่ก็จนปัญญา และไม่สามารถจะอธิบายเหตุผลได้ด้วย
จึงได้ส่งให้ช่างประจำร้านได้โดยง่ายทั้ง 3 องค์ อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งคุณสุมาลัยคิดว่าคงเป็นเพราะเจ้าของร้านเคย
พูดดูถูกไว้ว่า ”หลวงตา เป็นพระไม่ดัง “ นั่นเอง จึงทำให้เจ้าของร้านนั้นนำพระเข้ากรอบไม่ได้เลยแม้แต่องค์เดียว


หลวงตาในความทรงจำของลูกศิษย์


ประสบการณ์หลาย ๆ เรื่องซึ่งเกี่ยวเนื่องด้วยหลวงตาที่บรรดาลูกศิษย์ได้เห็นได้ยินมาด้วยตนเอง ตลอดทั้งที่ได้ฟัง
จากผู้อื่นซึ่งมักจะเป็นผู้สูงอายุที่รู้จักหลวงตา เล่าสืบ ๆ กันมา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่าประทับใจและยังอยู่ในความ
ทรงจำของศิษยานุศิษย์อยู่เสมอ ซึ่งยามใดก็ตามที่พูดหรือคิดถึงหลวงตาขึ้นมา ยามนั้นเรื่องต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะ
พลอยผุดตามขึ้นมาในห้วงแห่งความรู้สึกอย่างชัดเจนเสมอมา และก็นับว่าโชคดีที่บรรดาลูกศิษย์หลายคนได้ช่วยกัน
ถ่ายถอดความทรงจำอันประทับใจนั้น ออกมาเป็นอักษร ให้ศิษยานุศิษย์อื่น ๆ ได้ร่วมรับรู้และประทับใจด้วย ซึ่งเรื่อง
ราวต่าง ๆ ที่มีผู้บันทึกส่งมาสมทบในการพิมพ์หนังสือครั้งนี้มีดังนี้.-


กบยัดไส้


เมื่อสมัยที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงปู่สาม อกิญจโน หลวงปู่โชติ คุณสัมปันโน หลวงปู่เปลี่ยน โอภาโส หลวงตาเห อุปกัมโม
และพระมหาบานเย็น จันทสีโล (ลาสิขาแล้ว) ยังอยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกันที่วัดพนมศิลา อุทยานแห่งชาติเขาพนมสวาย
ระยะทางสำหรับโคจรบิณฑบาตไกลมาก ต้องใช้เวลาในการเดินไปและกลับร่วม 3 ชั่วโมง รูปใดที่กลับมาก่อนก็ช่วย
กันจัดน้ำฉัน น้ำใช้ ปูอาสนะ ปัดกวาดบริเวณวัด และเช็ดถูกุฏิศาลาคอยรูปบิณฑบาตสายต่าง ๆ เช่น บ้านพนม บ้านสวาย
บ้านโคกลาว บ้านโคกโคงและบ้านสองสะโกม เมื่อมาพร้อมกันแล้วก็ตีระฆังเพื่อลงศาลาโรงฉัน แบ่งอาหารโดยวิธีส่งต่อ ๆ
กันไป แม้มีน้ำพริก ผัก หรือแกงถ้วยเดียวจาน ท่านก็สามารถแบ่งเฉลี่ยกันได้อย่างทั่วถึง แถมยังมีเหลือให้ศิษย์วัดและ
โยมที่มาวัดได้กินอีกด้วย ท่านที่เป็นประธานจะกล่าวธรรมะเล็กน้อย แล้วนำอนุโมทนาให้พร จบแล้วให้สัญญาณด้วยคำว่า
“นิมนต์พิจารณาฉันได้”

เช้าวันหนึ่งหลังจากแบ่งอาหารกันทั่วถึงแล้ว พระเถระผู้เป็นประธานกล่าวธรรมะพอสมควรแล้ว และเตรียมจะอนุโมทนา
ให้พรก่อนฉันเช้า จู่ ๆ หลวงตาเหก็พูดขึ้นว่า“นิมนต์คอยกบยัดไส้ก่อน”

เมื่อได้ยินดังนั้น ต่างองค์ต่างก็นิ่ง เพราะท่านปฏิบัติเคร่งครัดว่าถ้าลงมือฉันแล้วใครเอาอาหารมาถวายอีกท่านก็จะไม่รับ
ได้แต่นึกสงสัยว่าจะไดกบยัดไส้มาแต่ไหนหนอไม่เห็นมีวี่แวว เวลาก็สายมากแล้ว สักพักใหญ่ก็เห็นอาจารย์แป้ง สุขสมาน
อยู่บ้านนาเสือกเดินทางมาอย่างเร่งรีบ ซึ่งอาหารที่ท่านนำมาถวายก็มี “กบยัดไส้“ รวมอยู่ด้วย

ภายหลังเมื่อมีคนมาถามว่าหลวงตารู้ได้อย่างไรว่าจะมีคนเอากบยัดไส้มาถวายหลวงตายิ้ม ๆ แล้วตอบว่า “ได้กลิ่นว่ะ”


หลวงตาหายตัวให้ดู


คนไทยเชื้อสายจีนคนหนึ่งชื่อจั๊ว ทำมาค้าขายอยู่ที่บ้านสวาย บ้านนาบัว และบ้านแห้ว มีฐานะมั่นคงมีรถโดยสารบริการ
รับส่งประชาชนผ่านบ้านปะปูล บ้านนาเสือก บ้านนาสาม ไปกลับเมืองสุรินทร์ มีความเคารพสนิทสนมกับหลวงตาเป็นพิเศษ
ได้ยินข่าวเล่าลือว่าหลวงตาหายตัวได้ ก็อยากจะพิสูจน์ให้เห็นกับตา จึงไปหาหลวงตาที่วัดเห็นท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ที่
โล่งห่างจากกุฏิพอสมควร จึงได้เข้าไปหาแล้วถามว่า
“ได้ยินข่าวว่าหลวงตาหายตัวได้หรือครับ กรุณาหายตัวให้ผมดูหน่อย”
“ ไอ้บ้า มึงไปหลงเชื่อข่าวเล่าลือตามเขาทำไม”
“ นั่นซิครับ หายตัวให้ผมดูหน่อยเถอะครับ”
“ ถ้ากูหายได้ มึงจะเห็นหรือ”
“ ผมอยากรู้ หลวงตาหายตัวได้จริงๆ ไม่ “
“ เออ กูรับว่ากูหายได้ อย่าว่าแต่กูหายตัวได้เลย มึงก็สามารถหายตัวได้เหมือนกัน”
“ ผมจะหายตัวได้อย่างไร ก็ผมไม่มีฤทธิ์เหมือนหลวงตา”
“ ก็มึงหายตัวออกจากบ้านมาอยู่ที่นี่ แล้วก็หายตัวจากที่นี้ไปที่อื่น “
“ ไม่ใช่หายอย่างนั้น ผมถามจริง ๆ หลวงตาหายตัวได้หรือเปล่า”
“เออ กูรับว่ากูหายตัวได้จริง ๆ คือ กูไม่เห็นแก่ตัว หายจากความเห็นแก่ตัวยังไงละ” ว่าแล้วร่างของท่านก็ค่อย ๆ
เลือนหายไป

เฮียจั๋วตกใจแทบสิ้นสติได้แต่ร้องเสียงหลง “หลวงตา ๆ ๆ ๆ แต่ก็เงียบ ได้ยินแต่เสียงตนเอง แม้แต่เสียงนก
เสียงจักจั่นเรไรที่เคยส่งเสียงระงมไปทั่วราวป่าก็พลอยเงียบไปด้วย บรรยากาศวิเวกวังเวงไปหมด เฮียจั๊วไม่รู้
จะทำอย่างไรดี ได้แต่หยิบท่อนไม้ใกล้ ๆ ตัวฟาดซ้ายฟาดขวา พลางเรียกหา “หลวงตา ๆ ๆ ๆ” สักพักหนึ่ง
หลวงตาก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นที่เดิม ตั้งแต่นั้นมาแกก็เชื่อสนิทว่าหลวงตาหายตัวได้จริง ๆ เฉย ๆ ไม่ได้แสดง
หรือพูดอะไรออกมา หลังจากนั้นนานพอสมควร หลวงตาได้ฝากโยมที่มาวัดในตอนเช้าให้ไปบอกนายเฮงมา
หาท่าน แต่นายเฮงก็เฉยไม่สนใจจะไป เพราะไม่ศรัทธาหลวงตาทั้งยังชอบพูดถึงท่านในลักษณะคล้าย ๆ
ดูแคลนอยู่เสนอ แต่หลวงตาท่านก็ฝากความให้ไปบอกนายเฮง ให้มาวัดอยู่เสมอเช่นกัน จนวันหนึ่งนายเฮงทน
อยู่ไม่ได้จึงเตรียมอาหารแล้วนำติดมือแก้เก้อเข้าไปในวัด ทั้งในใจก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลวงตา หมั่นเรียกตน
ให้ไปวัดทำไม ครั้งหลวงตาเห็นนายเฮงก็พูดขึ้นว่า “เออ” วันนี้ได้เฮงมาวัดมึงอย่ารีบกลับนะ อยู่กินข้าวที่วัดก่อน
แล้วกูจะพาไปเที่ยว”

หลังฉันอาหารเสร็จแล้ว หลวงตาก็พานายเฮงเดินเข้าป่าซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของวัดซึ่งนายเฮงก็ยอมเดินตามไป
เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าหลวงตาจะทำอะไรกันตน เมื่อเข้าไปในป่าได้สักระยะหนึ่ง หลวงตาก็ชี้ชวนให้นายเฮง
ดูต้นไม้ ต้นนั้นต้นนี้พร้อมกับพูดถึงสรรพคุณทางยาให้ฟังด้วย ซึ่งทำให้นายเฮงผ่อนคลายจากความหวาดระแวง
ลงไปบ้าง เนื่องจากมีความสงสัยและหวั่นใจอยู่ว่า หลวงตากำลังลวงตนเข้าป่าเพื่อประสงค์ร้ายหรือเปล่า เมื่อคลาย
ความกังวลใจลงก็เริ่มเพลิดเพลินกับสิ่งต่าง ๆ ที่หลวงตาชี้ชวนให้ดูและเดินลึกเข้าไปในป่าเปลี่ยวมากขึ้นทุกที่
โดยไม่รู้ตัวจนถึงที่แห่งหนึ่ง หลวงตาได้ชี้ให้ดูอะไรบางอย่างบนยอดไม้สูง เขาก็มองขึ้นไปดู ครั้งจะหันกลับมา
ถามหลวงตาว่าจะให้ดูอะไรก็ต้องตกใจร้องเสียงหลงว่า “หลวงตา”

เพราะรอบ ๆ บริเวณนั้น ไปมีร่างของหลวงตาให้เห็นเสียแล้ว เหลือแต่ตนเองยืนอยู่คนเดียวในท่ามกลางบรรยากาศ
ที่เงียบวังเวงจนขนหัวลุก รู้สึกหนาว ๆ จนตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวแข็งร้องไห้น้ำตาไหลเรียกหาหลวงตา
สักครู่หนึ่งจู่ ๆ หลวงตาก็ปรากฏกายขึ้น แล้วพูดว่า
“ร้องไห้ทำไม”
“ผมกลัว มองไม่เห็นหลวงตา หลวงหาหายไปไหน”
“เฮ้ย กลัวทำไม ไป ๆ กลับวัด”
ตั้งแต่นั้นมา นายเฮงก็ไม่กล้าพูดจาดูหมิ่นหลวงตาทั้งต่อหน้าและลับหลังอีกเลยทั้งยังให้ความเคารพ ความเสื่อมใส
และเชื่อฟังท่านอย่างถึงใจ กลายเป็นคนรู้จักเข้าวัด ฟังธรรม สร้างกุศลผลบุญตั้งแต่นั้นมาจวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
(ทราบว่าถึงแก่กรรมก่อนหลวงตาจะมรณภาพนานพอสมควร)

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

เสาร์ 11 ส.ค. 2012 11:29 pm

อุบาสิกา กับ ปลาช่อน


ในเช้าวันหนึ่ง อุบาสิกาจากบ้านละหุ่ง ได้เดินทางออกจากบ้านเพื่อไปถวายอาหารหลวงตาที่วัด
ในระหว่างทางได้เห็นปลาช่อนตัวใหญ่นอนดิ้นอยู่กลางทาง อุบาสิกานั้นจึงรีบบอกหลานให้จับปลา
กลับไปบ้าน เมื่อไปถึงวัด ก็เข้าไปกราบนมัสการและนั่งพูดคุยกับหลวงตา ในตอนท้านก่อนจะออก
มาจากท่าน หลวงตาก็พูดขึ้นว่า“คนแก่ออกจากบ้านจะมาวัด พอเห็นปลาช่อนตัวใหญ่ แทนที่จะเอา
มาปล่อยที่วัดกลับใช้หลานให้เอากลับบ้าน”
อุบสิกานั้นก็ตกใจ ถึงกับเอามือตบอกร้องออกมาด้วยความแปลกใจ เป็นภาษาเขมรว่า “สลับปร็าก
แปลเป็นไทยได้ว่า “ทำไมจึงรู้”


แตงโมมันหนัก


สตรีจากหมู่บ้านอื่นซึ่งอยู่ห่างไกลจากวัดของหลวงตาพอสมควร เดินหิ้วแตงโมลูกใหญ่ 2 ลูก ตั้งใจว่า
จะนำไปไว้ที่จัดของหลวงตา เพื่อให้โยมที่มาเตรียมอาหารในตอนเช้า ผ่าถวายหลวงตาแทนตน เดินไป ๆ
ก็รู้สึกเหนื่อย แต่งโม 2 ลูก นั้นดูมันจะหนักขึ้นทุกที่ อากาศในขณะนั้นก็ร้อนอบอ้าวทำให้กระหายน้ำอยู่
พอสมควร ระยะทางก็ยังอีกไกลกว่าจะถึงวัด เธอจึงเดินแวะไปนั่งพักใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง ในขณะที่นั่งอยู่
ก็เกิดคิดขึ้นมาว่า “แตงโม 2 ลูกนี้หนักเอาการ น่าจะทุบแตงโมสักลูกหนึ่งกินแก้กระหาย และจะได้เบา
แรงในการเดินทาง เพราะหลวงตาอยู่วัดองค์เดียว ยังไง ๆ ท่านก็ฉันแตงโมทั้งสองลูกไม่หมดหรอก”
เมื่อคิดหาเหตุผลที่จะทุบแตงโมกินได้ลงตัวเช่นนี้แล้ว จึงทุบแตงโมกินเสียลูกหนึ่ง ครั้งเห็นว่าค่อยมีแรง
เดินต่อแล้ว จึงได้หิ้วแตงโมที่เหลือรีบเดินทางมุ่งสู่วัดโดยไม่แวะพักอีกเลย เมื่อไปถึงก็เข้าไปกราบหลวงตา
และออกปากถวายแตงโมแก่ท่าน หลวงตามองแตงโมลูกนั้นแล้วก็พูดเปรย ๆ ว่า “จะเอามาให้กูสองลูก
แต่แอบทุบกินเสียลูกหนึ่ง"


หลวงตาว่าใคร


แม่ค้าในตลาดสุรินทร์ผู้หนึ่งเป็นนักแสวงโชคลาภ เมื่อทราบข่าวเล่าลือว่าคนที่ไปทำบุญที่วัดกับหลวงตามัก
จะประสบกับโชคลาภ โดยเฉพาะเรื่องหวยเรื่องเบอร์ ในวันหนี่งจึงได้ชวนสามีให้ลองไปทำบุญถวายอาหาร
เช้าหลวงตา ก่อนไปก็คิดว่ายังไงวันนี้ก็จะขอให้ท่านหลวงตา ช่วยโปรดเรื่องโชคลาภให้เป็นพิเศษ และในขณะ
ที่หลวงตากำลังฉันอยู่เธอก็คอยนั่งสังเกตดูท่านฉันอย่างตั้งใจ เผื่อจะมีอะไรเป็นปริศนาให้นำไปตีเป็นตัวเลขได้บ้าง
ในใจก็คิดว่าเดี๋ยวหลวงตาฉันเสร็จแล้ว จะเข้าไปขอให้ท่านช่วยโปรดเป็นพิเศษ แต่แล้วจู่ ๆ หลวงตาก็หันมาแล้วพูดว่า
“บุญไม่เคยทำ มาถึงก็จะเร่งเอา ๆ เหมือนกูติดหนี้พวกมึงอย่างนั่นแหละ”

เธอผู้นั้นก็มองหน้าหลวงตาและยิ้ม ๆ พร้อมทั้งคิดอยู่ในใจว่า “หลวงตาว่าใครหนอ? และได้เหลียวหลังไปดูคนที่ถูกว่า
แต่แล้วก็ต้องตกใจและรู้สึกอายระคนด้วยความเก้อเขิน อยากจะแทรกตัวหายไปในแผ่นดินเลยที่เดียว ไม่กล้ามอง
ไปทางหลวงตาอีก ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นนิ่งอย่างเดียว เพราะในศาลาที่หลวงตานั่งฉันอยู่นั้น มีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือ
เธอและสามีเท่านั้น


เดี๋ยวปูนละลาย


ในราว พ.ศ.2532 คุณสมชัย และคุณณัฐวุฒิ วัณโณ (ไพร) ได้ปรึกษากันว่าจะช่วยกันขยายทางเดินลาดปูนที่มีอยู่
แล้วในวัดให้กว้างขึ้น พร้อมทำกับทำทางเดินสายใหม่ขึ้นด้วย และเมื่อหลวงตาได้อนุญาตให้ทำแล้ว จึงได้เริ่มลงมือ
ทำทันที บ่ายวันหนึ่งขณะที่ได้ราดปูนเสร็จเรียบร้อยใหม่ ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างแรงและมีทีท่าว่าจะไม่หยุดง่าย ๆ
คุณสมชัยและคุณไพรจึงรีบพากันวิ่งไปหลบฝนทีกุฏิเล็กริมสระน้ำ พอวิ่งไปถึงกุฏิฝนก็หยุดตกทันที่ซึ่งทำให้ทั้ง
สองแปลกใจมาก และเห็นหลวงตานั่งหัวเราะอยู่พร้อมกับชี้มือไปที่ทางปูนซึ่งเพิ่มราดเสร็จใหม่ ๆ และพูดว่า
“เดี๋ยวปูนมันละลาย” คุณสมชัยและคุณไพร ก็มองหน้ากันด้วยความอัศจรรย์ใจ


บ้านอยู่ตรงไหน


เมื่อปี พ.ศ.2530 ในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่คุณสมชัยนั่งคุยกับหลวงตาซึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ กุฏิสูง จู่ ๆ
ท่านก็ถามขึ้นว่า “บ้านอยู่ตรงไหน” ซึ่งทำให้คุณสมชัยงง ๆ ในคำถามของท่านมาก แต่ก็อธิบาบว่าอยู่ตรงสีแยก
น้ำพุใกล้ที่ทำการไปรษณีย์ ท่านก็ซักต่อว่า “ตั้งอยู่แบบไหน ลองเขียนให้ดูซิ” คุณสมชัยจึงหยิบกิ่งไม้เล็ก ๆ
เขียนแผนที่บ้านลงบนพื้นดินให้ท่านดู พร้อมทั้งอธิบาลที่ตั้งของบ้านโดยละเอียด ในใจก็คิดว่าท่านคงโปรดเราแล้ว
ต้องเป็นเลขที่บ้านแน่ ๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย ต่อมาอีก 2 – 3 วัน ในช่วงบ่าย ๆ มีรถหกล้อบรรทุกของทะเล
เต็มคันรถวิ่งมาจากทางสำนักงานประปาด้วยความเร็วสูง ในขณะเดียวกัน ก็มีรถอีกคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง
เหมือนกัน ตรงมาจากทางสี่แยกหนองบัว เมื่อถึงบริเวณสี่แยกน้ำพุ ต่างคันต่างก็ไม่ยอมชะลอความเร็ว ทำให้รถ
ทั้งสองเกือบประสานงากัน รถหกล้อหักหลบและวิ่งตรงมายังบ้านของคุณสมชัย เกือบปีนฟุตบาทขึ้นมา
และจอดนิ่งเฉย ๆ อยู่ตรงข้างฟุตบาทหน้าบริเวณบ้านพอดี ส่วนรถอีกคันก็หลบพุ่งไปชนรถที่จอดอยู่ข้างไปรษณีย์
เสียหายไป 3 – 4 คัน เหตุการณ์นี้ทำให้คุณสมชัยและภริยาตกใจแทบซ็อค เพราะในขณะนั้นลูกๆ ของพวกตน
กำลังนั่งเล่นอยู่ตรงฟุตบาทพอดี และก็นึกไปถึงคำถามของหลวงตาว่าบ้านอยู่ตรงไหน และเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีธรรม
เมตตาธรรม ของหลวงตาอย่างแน่นอนที่ได้คุ้มครองช่วยเหลือชีวิตลูก ๆ ของตนให้ปลอดภัยจากเหตุการณ์ครั้งนี้


อยากดูอุเบกขาของหลวงตา


ประมาณปี พ.ศ.2532 คุณสมชัยได้เข้าวัดเพื่อไปกราบเยี่ยมหลวงตาตามปรกติเมื่อท่านขึ้นพักบนกุฏิแล้ว
คุณสมชัยก็หาที่พักผ่อน – นั่งเล่นเงียบ ๆ อยู่ภายในวัด จนเวลาบ่ายมากแล้วจึงเตรีมตัวกลับในขณะนั้นเอง
คุณสมชัยก็เห็นคณะพระเณรและอุบาสกอุบาสิกาหลายคน และพูดคุยสนทนาด้วย ซึ่งก็ทราบในภายหลังว่า
เป็นคณะมาจากวัดป่าดงคู อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ และในการพูดคุยกันนั้นก็มีพระรูปหนึ่งได้เล่าบอกกับ
คุณสมชัยว่า เคยจะมาเยี่ยมหลวงตาหลายครั้งแล้ว แต่ก็มีเหตุให้พลาดไปทุกครั้งโดยท่านเล่าวัน

ครั้งแรกอยู่ที่บนเขาสวาย ซึ่งเป็นช่วงที่มาช่วยงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ดูลย์ มีพระหลายรูปชวน
กันเดินลัดเขามาเยี่ยมหลวงตา ตัวท่านเองก็อยากจะมากับเขาด้วย แต่ติดที่เท้าเป็นแผล จึงไม่สามารถเดินมาได้
และครั้งที่สอง ตอนอยู่ที่วัดป่าดงคู นัดกันกับหมู่คณะว่าจะมาเยี่ยมหลวงตา เมื่อถึงเวลานัดก็เกิดฝนตกลงมาอย่างแรง
ตัวท่านเองก็ติดฝนอยู่ที่กุฏิ ตั้งใจว่าเมื่อฝนซาแล้วจะไปขึ้นว่า ปรากฏว่า พอไปเข้าจริง ๆก็ไม่เจอหมู่คณะแล้ว
เขาขึ้นรถไปกันหมดแล้ว ท่านเล่าต่อว่า ครั้งนี้ครั้งที่สามจึงได้มาถึงวัด และมาวันนี้ก็ตั้งใจจะมาดูว่าหลวงตามีอุเบกขา
ขนาดไหน เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์เล่าลือกันว่า หลวงตาเป็นพระที่มีอุเบกขามาก

เมื่อคุณสมชัยเห็นว่าได้คุยกันพอสมควรแล้ว จึงได้ขอตัวกราบลาท่านกลับบ้านไม่ได้อยู่รอเวลาที่หลวงตาจะลงมาจากกุฏิ
ซึ่งใจจริงแล้วก็อยากอยู่รอฟังท่านทั้งหลายสนทนาธรรมกับหลวงตา แต่เนื่องจากเวลาเย็นมากแล้ว จึงไมได้อยู่รอ
วันต่อมาคุณสมชัยก็ได้เข้าไปถวายอาหารหลวงตาที่วัด และเมื่อเห็นว่าท่านฉันเสร็จแล้ว คุณสมชัยจึงได้กราบเรียน
ถามหลวงตาว่า “เมื่อวานคณะพระเณรและญาติโยมจากวัดป่าดงคูแวะมาเยี่ยมหลวงตา หลวงตาได้พบกันไหมครับ”
ท่านก็ตอบว่า “ไม่ เพราะไม่ได้ลงมา” ซึ่งทำให้คุณสมชัยอดแปลกใจไม่ได้ เพราะปกติแล้วท่านจะลงมาทุกวัน
หรือว่าหลวงตาได้แสดงอุเบกขาธรรมให้คณะนี้ฟังและดูแล้วอย่างเงียบๆ

อีกคราวหนึ่ง ในปีเดียวกัน เย็นวันหนึ่งขณะที่คุณสมชัยกำลังจะออกจากวัดเพื่อกลับบ้าน ก็ได้เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่ง
วิ่งเข้ามาจอดในวัด มีพระมาในรถด้วย 4 –5 รูป คุณสมชัยจึงลองเข้าไปถามดูก็ทราบว่าท่านเดินทางมาจากจังหวัด
จันทบุรี ซึ่งคุณสมชัยคิดว่าคงจะเป็นพระจากวัดป่าคลองกุ้ง ลูกศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกับหลวงตา คือเป็นลูกศิษย์
ท่านพ่อลีด้วยกัน ซึ่งไม่ค่อยจะได้พบเห็นที่วัดหลวงตาบ่อยนัก ได้แต่นึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับและพูดคุยสนทนาด้วย
เพราะเย็นมาแล้ว ต้องรีบเดินทางกลับบ้าน ครั้งรุ่งขึ้น หลังจากหลวงตาฉันอาหารเสร็จแล้ว คุณสมชัยจึงได้ลองกราบเรียน
ถามดูว่า เมื่อวานนี้พระหลายรูปจากจังหวัดจันทบุรีมาได้พบกับหลวงตาหรือไม่ ท่านก็ตอบว่า “ไม่ได้พบกัน หลวงตาไม่ได้ลงมา”
ซึ่งทำให้คุณสมชัยได้แต่นึกว่าหลวงตามีอุเบกขาธรรมจริง ๆ หนอ ยากที่จะพบเห็นในพระรูปอื่น ๆ


อยากฉันปลาตัวใหญ่


ประมาณปี พ.ศ.2533 เช้าวันหนึ่ง คุณสมชัยได้ไปถวายอาหารหลวงตาที่วัดก็พบกับคณะของหลวงพ่อคืน ปสันโน
เจ้าอาวาสวัดป่าบวรสังฆาราม (หน้าเรือนจำ)ในสมัยนั้น ซึ่งนำญาติโยมมาทำบุญถวายอาหารหลวงตา และได้ขอโอกาส
ท่านฉันอาหารที่วัดด้วย ซึ่งก็มีพระลูกศิษย์ติดตามหลวงพ่อคืนมาด้วย 7 – 8 รูป และฉันร่วมกันที่ศาลาโดยหลวงพ่อคืน
และลูกศิษย์ฉันอาหารในบาตร ส่วนหลวงตาฉันในสำรับที่โยมจัดเตรียมถวายท่านเป็นพิเศษ ในขณะที่ฉันอยู่นั้น จู่ ๆ
หลวงตาก็ได้ส่งจานปลาตัวใหญ่ไปให้พระรูปหนึ่งฉัน ซึ่งก็ไม่ใครคิดอะไร หลังจากนั้นหลายวัน คุณสมชัยได้แวะไป
กราบเยี่ยมหลวงพ่อคืนที่วัด ฯ และได้พบกับพระที่หลวงตาเคยส่งปลาให้ฉัน ท่านจึงเล่าเหตุการณ์ในวันที่ไปฉันเช้า
กับหลวงตาให้ฟัง ว่าวันนั้นไม่รู้เป็นยังใง พอเห็นปลาตัวใหญ่ในจานแล้วก็นึกอยากจะฉันเอามาก ๆ ในขณะนั้นเองหลวงตา
ก็ส่งจานปลาตัวใหญ่มาให้ทันที ทำให้รู้สึกอาย ๆ หลวงตาอยู่ในใจ เพราะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือท่านรู้ความในใจของตน


กองไฟในฤดูฝน


ทุกคืนวันศุกร์ คุณสมชัย คุณไพศักดิ์(น้องชาย) และเพื่อน ๆ หลายคนมักจะพากันไปฏิบัติธรรม ฝึกหัดนั่งสมาธิ
และสนทนาธรรมกับหลวงตา พร้อมทั้งถือโอกาสนอนค้างคืนที่วัดด้วย และในคืนหนึ่งของฤดุฝนปี พ.ศ.2533
ได้มีสมาชิกเข้ามาสมทบอีกหลายคนเป็นตัวแทนขายเครื่องไฟฟ้าจากรุงเทพฯ จึงมีการนั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน
ขณะที่กำลังนั่งคุยกันอยู่นั้น หลวงตาได้เดินเข้ามาหาเพื่อจะร่วมสนทนาด้วย และท่านได้สั่งคุณสมชัยและคณะช่วยกัน
สุ่มฟืนที่อยู่ใกล้ ๆ แต่เนื่องจากในระยะนั้นเป็นเป็นฤดูฝนฟืนและใบไม้เปียกชื้นมาก คุณสมชัยและคณะพยายามช่วยกัน
จุดไฟอย่างไรก็ไม่ยอมติดสักที แม้จะไปเอากล่องธูป กล่องเทียน มาเป็นเชื้อเพลิงแล้วก็ตาม บางคนถึงกับถอดเสื้อออก
มาพัดไฟ ก็ยังไม่สมารถทำให้ไฟลุกได้ หลังจากได้พยายามอยู่นาน หลวงตาจึงเรียกให้คุณสมชัยและคณะถอยออกไป
จากนั้นท่านก็ก้มลงเป่า 3 ครั้ง ไฟก็ลุกขึ้นท่วมกองฟืนเหมือนกับเอาน้ำมันก๊าดมาราดใส่ ไฟลุกอย่างรวดเร็ว สักครู่เดียว
กองฟืนนั้นก็มอดลง คุณสมชัยและคณะก็ได้แต่มองหน้ากันด้วยความอัศจรรย์ใจ ไม่มีใครกล้าปริปากถามหลวงตาสักคำเดียว


มาไม่พบ วันหน้ามาใหม่ก็ได้

ราวปี พ.ศ.2535 คุณสมชัยและเพื่อนหลายคนได้ไปกราบเยี่ยมพระอาจารย์สมพรเจ้าอาวาสวัดป่าปราสาทจอมพระ
ซึ่งบังเอิญว่าในช่วงนั้น หลวงพ่อสุวัจน์ สุวใจ ก็ได้มาแวะพักอยู่ที่วัดนี้พอดี จึงได้พากันไปกราบเยี่ยมและสนทนาธรรมกับท่าน
ตอนหนึ่งของการสนทนากัน ได้พูดไปถึงหลวงตาเหและได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ของหลวงตาให้ท่านฟังหลวงพ่อสุวัจน์จึงได้พูดว่า
“เออ ไม่เคยพบกับท่านนานแล้ว ไปแวะเยี่ยมท่านดูบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน ท่านจึงได้นัดว่า วันพรุ่งนี้ในเวลาใกล้เที่ยง
ให้คุณสมชัยรออยู่ที่บ้านท่านจะเอารถไปรับ แล้วให้คุณสมชัยเป็นผู้นำทางไป ในระหว่างที่กำลังเดินทางไปหาหลวงตานั้น
คุณสมชัยคิดเสียดายว่าวันนี้ไม่ได้เอากล้องมาด้วย จะได้บันทึกภาพในขณะที่ครูบาอาจารย์ทั้งสองพบกัน ซึ่งท่านทั้งสอง
ไม่ได้พบเห็นกันนานเกือบ 40 ปี เลยที่เดียว แต่แล้วเรื่องราวต่าง ๆ ที่คิดไว้ก็ไม่ได้เป็นดังที่คิด พอไปถึงวัด คุณยายเอื้อ
ซี่งเป็นพี่สาวหลวงตาเห็นว่าหลวงพ่อสุวัจน์มาก็ดีใจ รีบเข้าไปกราบและพูดคุยด้วย และเมื่อทราบว่าหลวงพ่อสุวัจน์ตั้งใจ
แวะมาเยี่ยมหลวงตา คุณยายเอื้อก็เดินขึ้นกุฏิเรียกหลวงตาว่า
“หลวงตา หลวงพ่อสุวัจน์มาเยี่ยม “เรียกอยู่สักพักก็ยังเงียบ
คุณสมชัยก็ช่วยเรียกด้วย และเรียกอยู่ครู่หนึ่งก็ยังเงียบ หลวงพ่อสุวัจน์จึงลองเรียกเองว่า
“ท่านอาจารย์ครับ ผมมาเยี่ยมท่านอาจารย์ “ พลางก็เคาะประตูห้องไปด้วย เรียกไปสักพักหนึ่ง แต่ก็ยังเงียบ
ไม่มีวีแววว่าหลวงตาจะออกมาเลย หลวงพ่อสุวัจน์ก็เลยพูดว่า “ อย่ารบกวนท่านเลย”

แล้วพากันเดินลงมาจากกุฏิไปเดินชมบริเวณวัดอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินทางกลับ โดยได้ไปแวะเยี่ยมหลวงพ่อสวน ที่วัดเขาสวายด้วย

ครั้งตอนเช้าของวันใหม่ คุณสมชัยก็ได้เข้าไปถวายอาหารหลวงตา เมื่อเห็นท่านฉันเสร็จแล้วจึงกราบเรียนถามท่านว่า
“หลวงตาครับ เมื่อวานนี้พระสหธรรมมิกที่ไม่เคยพบกันเป็นเวลานานมาเยี่ยม หลวงตาไม่คิดถึงบ้างหรือครับ จึงไม่ออกมาพบกัน “
หลวงตาก็ตอบเป็นปริศนาธรรมให้ลูกศิษย์นำไปคิดว่า


“มาไม่พบ วันหน้ามาใหม่ก็ได้”


ต่อมาอีกหลายปีหลวงพ่อสุวัจน์ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ และได้นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ศิริราช และในระยะเวลาไล่เลี่ยกันนั้น
หลวงตาก็ได้ไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลธนบุรี ซึ่งทั้งสองโรงพยาบาลนี้ตั้งอยู่ด้านฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ ซึ่งหลวงตาก็ได้เดินทาง
ไปเยี่ยมหลวงพ่อสุวัจน์ที่โรงพยาบาลศิริราช และยังได้เป่าให้หลวงพ่อสุวัจน์หลายครั้งด้วย ทั้งยังเคยพูดให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า
หลวงพ่อสุวัจน์กระดูกซี่โครงหักถึง 3 ซี่

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

อาทิตย์ 12 ส.ค. 2012 7:47 pm

:grt:
ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ
ที่นำเรื่องราวของครูบาอาจารย์มาเผยแผ่
ทำให้ คิดถึงองค์หลวงปู่สุวัจน์ สุวัจโจ เช่นกัน

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

พุธ 15 ส.ค. 2012 11:54 pm

ขอบคุณมากครับ สุดยอดจริง ๆ :grt:

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

ศุกร์ 17 ส.ค. 2012 11:07 pm

สองหลวงตาพบกันได้อย่างไร


ประมาณปี พ.ศ.2537 ในเย็นวันหนึ่ง คุณสมชัยได้นั่งคุยกับหลวงตาแต่เพียงลำพัง จึงได้ถามหลวงตาว่า
“หลวงตาเคยรู้จักกับหลวงตาสรวงไหมครับ เห็นมีคนเขาลือกันว่าท่านมีอายุมากถึง 300 ปี และ
ยังทำตัวแปลกกว่าพระทั่วๆ ไปหลายอย่าง หลวงตาตอบว่า “ไม่เคยรู้จัก และคนที่มีอายุมากขนาดนี้ก็ไม่เคยเห็น”
ซึ่งเป็นการตอบแบบตัดบทที่ได้ผลชวัดที่เดียว เพราะคุณสมชัยไม่รู้จะซักถามอะไรเกี่ยวกับหลวงตาสรวงอีก

ราว 3 - 4 วันต่อมา คุณสมชัยก็เข้าไปหาหลวงตาตามปกติ วันนั้นคุณเสริมซึ่งเป็นผู้ติดตามของหลวงตา
ได้มาเล่าให้ฟังด้วยความตื่นเต้นว่า เมื่อวานหลวงตาสรวงมาที่วัดและได้พบกับหลวงตา ซึ่งทำให้คุณเสริม
แปลกใจและตื่นเต้นมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าหลวงตาสรวงจะมาปรากฏตัวที่วัดได้ เนื่องจากไม่มีใครไปนิมนต์มา
และสงสัยอีกว่าท่านมาทำไม เพราะท่านกับหลวงตาก็ไม่รู้จักกันเลย คุณสมชัยจึงซักคุณเสริมว่า
“พอลงจากรถแล้ว ท่านอะไรก่อน”
“ท่านครองจีวรอย่างเรียบร้อยมาก แล้วไปกราบพระประธานที่ศาลา จากนั้นก็เดินไปหาหลวงตาที่กุฏิริมน้ำ
นั่งลงกราบ แล้วทั้งสององค์ต่างนิ่ง ไปได้คุยอะไรกันเลยนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้เดินกลับมาคุยเล่นกับพี่สาวของ
หลวงตา จากนั้นก็ขึ้นรถกลับไป

นอกจากนี้คุณเสริมยังเล่าว่า ได้คุยกับคนขับรถของหลวงตาสรวงถึงการมาวัดในครั้งนี้ว่ามาได้ยังไง
คนขับรถนั้นก็ว่า เขาเองก็ไม่เคยมาวัดนี้ ชื่อวัดก็ไม่รู้จัก แต่หลวงตาสรวงชี้ทางมาตลอด จนกระทั่งถึงวัด
คุณสมชัยเมื่อได้ฟังเรื่องราวมาโดยตลอดก็ให้รู้สึกแปลกและอัศจรรย์ใจว่า “หลวงตาทั้งสองพบกันได้อย่างไร?.

ตีปูเอาเลือด


บ่ายวันหนึ่ง ในขณะที่หลวงตากำลังนั่งสนทนาอยู่กับญาติโยมกลุ่มใหญ่ ก็มีรถเก๋งวิ่งเข้ามาจอดในวัด
จากนั้นก็มีคนลงจากรถ 4 – 5 คน ซี่งมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งรวมอยู่ด้วย หลังจากโยมกลุ่มนั้นได้กราบหลวงตา
เรียบร้อยแล้ว สุภาพสตรีที่มาด้วยก็เล่าให้หลวงตาฟังว่า คณะของเธอเดินทางมาจากรุงเทพฯ ไม่เคยมาวัดนี้เลย
มีเพื่อนที่รู้จักช่วยเขียนแผนที่ให้ แต่ก็ต้องถามมาตลอดทาง และที่มานี้ก็อยากจะมาพึ่งบารมีของหลวงตา
ให้ช่วยเมตตาสงเคราะห์ เพราะตอนนี้เธอและพวกกำลังมีความเดือนร้อน มีความลำบากและทุกข์ใจมาก
จากนั้นก็ได้ล้วงเอาแผ่นกระดาษซึ่งได้เขียนตัวเลข 0 – 9 เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วยื่นให้หลวงตา
และขอให้ท่านช่วยจุดให้ด้วย หลวงก็นิ่งอยู่สักครู่แล้วถอนหายใจพร้อมกับพูดว่า
“มันจะตีปูเอาเลือด”
แล้วท่านก็หยิบกระดาษนั้นขึ้นมาจุดให้ด้วยความเมตตา เมื่อได้กระดาษมาแล้วเธอและคณะก็ได้พากันกราบ
หลวงตาเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ โดยก่อนจะขึ้นรถกลับก็ไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่ตัวเลขนั้นแก่เพื่อนนักแสวง
โชคคนอื่น ๆ ในท้องถิ่น ที่มาคอยตีปูเอาเลือดในวัดของหลวงตาอยู่เป็นประจำเช่นกัน และเมื่อถึงวันหวย
ออกปรากฏว่าเลขที่จุดนั้นไม่ออกเลย ส่วนใครจะโชคดีหรือร้ายนั้น ก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของแต่ละคนไป
บ่อยครั้งที่ผู้อับโชคบางรายจะมาขอ และรบเร้าหลวงตาให้เมตตาสงเคราะห์ตนเป็นพิเศษจนบางครั้งท่านทน
รำคาญไม่ไหวถึงกับพูดโพลงขึ้นว่า
“เทวดาตาดี ผีหูดี ช่วยด้วย หลวงตาอยากจะช่วย แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร”


หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า


ในช่วงเดือนกรกฏาคม พ.ศ.2538 หลวงตาได้เข้านอนพักรักษาตัวอยู่บนชั้นที่ 12 ของโรงพยาบาลธนบุรี
เป็นประจำทุกเช้าที่ลูกศิษย์จะพาท่านนั่งรถเข็นออกไปนอกห้อง เพื่อให้หลวงตาได้รับอาการบริสุทธิ์
และผ่อนคลายอิริยาบถด้วยกี่ชมทัศนียภาพรอบ ๆ กรุงเทพฯ วันหนึ่งขณะนั่งชมอยู่นั้น ท่านพูดขึ้นว่า
“ทำไมมองไม่เห็นมีแต่น้ำเต็มไปหมด และมีจระเข้มากมาย “

ลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดก็งงและแปลกใจกับคำพูดของท่าน เพราะเข็นรถพาท่านไปชมมุมไหน ๆ
หลวงตาก็ยังพูดย้ำแต่คำเดิมๆ ลูกศิษย์ก็กราบเรียนว่ามองไปก็มีแต่บ้านและรถยนต์เต็มไปหมด
แต่ท่านก็ยังพูดย้ำคำเดิมอยู่อีกหลายครั้ง เมื่อออกจากโรงพยาบาลและกลับมาอยู่วัดได้ยังไม่ถึงเดือน
ก็เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่ในรอบสิบปี และมีข่าวว่าจระเข้หลุดจากฟาร์มออกมามากหมายด้วย
จึงทำให้นึกถึงคำพูดของหลวงตา

อีกคราวหนึ่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2540 หลวงตาได้เดินทางไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลธนบุรี
และได้เข้านอนพักบนชั้นที่ 12 เช่นเคย และก็มีกิจวัตรประจำวันในช่วงเช้าเหมือนครั้งก่อนๆ ที่เคยมาพัก
คือพาหลวงตาออกนอกห้องไปรับอากาศบริสุทธิ์และชมทัศนียภาพของกรุงเทพฯ วันหนึ่งขณะที่เข็นรถ
นั่งของท่านผ่านช่องบันไดหนีไฟ หลวงตาก็พูดพร้อมกันชี้ไปที่ช่องนั้นว่า
“ทำไมมีแต่ไฟเต็มไปหมด”

ท่านพูดคำนี้ซ้ำหลายครั้ง จนทำให้ลูกศิษย์ที่ได้ยินอดคิดไม่ได้ว่า “สงสัยโรงพยาบาลนี้จะเกิดไฟไหม้”
เพราะในคราวก่อนท่านได้พูดถึงน้ำและจระเข้ ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นตรงตามที่ท่านพูด เมื่อหลวงตากลับวัด
ได้ประมาณเดือนหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ “โรงแรมหาดจอมเทียน ที่พัทยา” ซึ่งได้ข่าวว่า
มีผู้เสียชีวิตร้อยกว่าศพ


สยบลม - ฝน


ประมาณเดือนเมษายน พ.ศ.2541 คุณสมชัย คุณไพศักดิ์ และลูกหลานหลายคนได้พากันเดินทางเข้า
วัดเพื่อกราบเยี่ยมหลวงตา ในช่วงบ่าย หลังจากได้ช่วยกันทำกายภาพบำบัดและสรงน้ำให้หลวงตาเรียบร้อยแล้ว
เห็นว่าอากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าแจ่มใส จึงนิมนต์ท่านไปชมนกเป็ดน้ำ ที่อ่างเก็บน้ำในสถาบันเทคโนโลยี
ราชมงคลวิทยาเขตสุรินทร์ เดินทางด้วยรถยนต์ 2 คัน มีลูกศิษย์และเด็กๆ หลายคนติดตามไปด้วย

เมื่อถึงทางเข้าสถาบันฯ ฝนก็เริ่มลงเม็ดพอดี คุณสมชัยเกือบจะเปลี่ยนใจขับรถกลับแต่ก็มาคิดว่าใกล้ถึงอ่างเก็บน้ำมากแล้ว
จึงได้ขับรถต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงอ่างน้ำตา ฝนก็ได้ตกลงมาอย่างหนักพร้อมกับมีลมพัดแรงจัด ซึ่งน่ากลัวมากถึงกับ
ทำให้รถยนต์สั่นไปมาเด็ก ๆ และผู้ติดตามที่นั่งอยู่บนรถปิคอัพ ต่างก็พากันวิ่งไปบนศาลาเพื่อหาที่หลบ
แต่ก็ไม่สามารถหลบพายุลมฝนนี้ได้ หลวงตาซึ่งนั่งอยู่ในรถเก๋งกับคุณสมชัยถามขึ้นว่า
“หลังคาศาลาทำด้วยอะไร”
“ทำด้วยสังกะสีครับ”

สักครู่เพียงอึดใจเดียว ฝนและลมก็สงบลงทันที่ คุณสมชัยรู้สึกอัศจรรย์ใจที่ลมและฝนหยุดได้เร็วถึงเพียงนี้
และคิดว่าคงเป็นเพราะบารมีธรรมของหลวงตาแน่นอนในที่สุด วันนั้นแทนที่จะได้ชมนกเป็ดน้ำที่สวยงาม
หลวงตากลับได้ชมลูกศิษย์เปียกน้ำที่น่าสงสารไปเสีย

วันรุ่งขึ้น คุณสมชัย คุณไพศักดิ์ และลูก ๆ ก็ได้เดินทางเข้าไปกราบหลวงตาอีกและหลังจากได้ช่วยกันทำสรีรกิจ
อันเป็นข้อวัตรของท่านเสร็จแล้ว ก็ได้ชวนหลวงตาให้ไปชมนกเป็ดน้ำใหม่เพื่อเป็นการแก้ตัว ท่านก็รับนิมนต์ไปด้วย
ความเต็มใจ เมื่อถึงอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ได้นิมนต์ท่านลงจากรถพาขึ้นรถเข็นนำท่านไปพันบนศาลา ท่านชี้ไปที่หลัง
คาศาลาพร้อมกับพูดว่า
“เออมันยังอยู่เน๊าะ”
ทำให้คุณสมชัยยิ่งมั่นใจว่า เป็นบารมีธรรมของหลวงตาที่สยบพายุลมฝน


วางให้หมด


ปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2542 มีสตรีนักธุรกิจและคณะไปกราบเยี่ยมหลวงตาที่วัด และได้เล่าเรื่องธุรกิจที่
เธอกำลังทำอยู่ให้ท่านฟัง และว่ากำลังจะทำโรงโม่หินขอให้หลวงตาช่วยแผ่เมตตา ให้งานนี้ดำเนินไปด้วยความ
เรียบร้อยและสำเร็จลงด้วยดี ในตอนท้ายเธอยังได้เล่าว่า เธอได้รับเป็นเจ้าภาพสร้างกำแพงคอนกรีตล้อมรอบ
บริเวณที่ตั้งมหาเจดีย์ ของหลวงปู่ศรี มหาวีโร ที่จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เงินหลายล้านบาท
ทั้งยังได้รับมอบหมายให้หาช่างแกะสลักหินมาทำรูปเหมือนของครูบาอาจารย์ ฝ่ายปฏิบัติสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
จำนวน 101 องค์อีกด้วย เมื่อฟังเธอเล่าจบ หลวงตาได้พูดขึ้นแบบเรียบ ๆ ว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้วางให้หมด ความทุกข์ทุกอย่างในโลกนี้ ก็ไม่มี”


ปลาจะตาย ก็ยังรู้


ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ฉันอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก่อนจะขึ้นกุฏิ หลวงตาได้หันมาสั่งญาติโยมที่มาทำบุญในวันนั้นว่า
“อย่าเพิ่มรีบกลับ อยู่คอยช่วยกันเก็บปลาตายในสระไปฝังก่อน” ญาติโยมก็พากันไปดูที่สระน้ำ แต่ก็ไม่มี
ปลาตายสักตัว จึงคอยกันอยู่ในวัดระยะหนึ่งตนใกล้เวลาเพล ก็พากันไปที่สระน้ำอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ทุกคนก็
ต้องอัศจรรย์ใจที่เห็นปลาใหญ่ตัวหนึ่งนอนตายลอยอยู่เหนือน้ำ จึงได้แต่ช่วยกันลงไปนำขึ้นมาฝังตามที่
ท่านสั่งอย่าง งงๆ


รอไอ้ตัวยาว ๆ


ครั้งสุดท้ายที่หลวงตาเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นระยะที่ท่านเริ่มฉันไม่ค่อยได้ ทั้งยังสึกเหนื่อย
และอ่อนเพลียมาก คุณสมชัยเมื่อทราบข่าวก็รีบเดินทางไปเยี่ยมท่าน และได้พูดเพื่อให้ท่านมีกำลังใจว่า
“หลวงตามาให้หมอตรวจและใส่น้ำเกลือ พอมีแรงแล้วค่อยกลับวัดนะครับ” หลวงตาก็พูดสวนขึ้นทันที่ว่า
“จะรีบไปไหน”
คุณสมชัยจึงรีบพูดว่า “จะอยู่หลายวันก็ไม่เป็นไรครับ ผมเพียงแต่กลัวว่าถ้าอยู่นานจะทำให้ติดเชื้อครับ”
หลวงตาก็พูดว่า “อยู่รอไอ้ตัวยาว ๆ”
คุณสมชัยรีบถามต่อว่า “ตัวยาว ๆ แบบไหนครับ”
ท่านก็ว่า “ตัวยาวๆ ที่อยู่ในน้ำ”

ลูกศิษย์ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ งง ๆ และวิจารณ์หรือคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา คุณสมชัยคิดว่าน่าจะเป็นพญานาค
บางคนก็ว่าเป็นจระเข้บ้าง และบางคนก็ว่าเป็นงูใหญ่บ้าง แต่ที่แน่ ๆ ลูกศิษย์ก็ยังเดาใจหลวงตาไม่ถูกอีกเช่นเคย รู้แต่ว่า
“รอไอ้ตัวยาว ๆ ในน้ำ !??? “ เท่านั้น

เดาใจหลวงตาไม่ถูก


ครั้งหนึ่ง บรรดาลูกศิษย์ได้ไปเฝ้าไข้หลวงตาอยู่ที่โรงพยาบาลธนบุรี ซึ่งระยะนั้นท่านเข้า ๆ ออก ๆ
โรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็อยู่นานเป็นเดือนหรือเกือบถึง 2 เดือน ก็หลายครั้ง และเที่ยวนี้
หลวงตาก็ยังอยากพักอยู่ในโรงพยาบาลต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งที่หมอได้อนุญาตให้กลับวัดได้ตั้งนานแล้ว
และท่านยังพูดว่า “โรคยังไม่หาย จะกลับได้อย่างไร “ ลูกศิษย์ก็เดาใจท่านไม่ถูก เหมือนท่านกำลัง
รออะไรอยู่สักอย่าง ลูกศิษย์หลายคนก็บ่นอยากจะกลับวัด บางคนก็ถึงกับร้องไห้คิดถึงบ้านก็มี เพราะ
การพักเฝ้าไข้อยู่ในห้องผู้ป่วยซึ่งมีบริเวณที่จำกัดเป็นระยะเวลานาน ๆ นั้น ย่อมทำให้รู้สึกเบื่อและ
อึดอัดมาก คุณสมชัยจึงได้ลองกราบเรียนถามท่านว่า “หลวงตามาอยู่โรงพยาบาลนานแล้วไม่คิดถึง
วัดบ้างหรือครับ “ท่านก็พูดสวนขึ้นด้วยเสียงที่เหนื่อยอ่อนว่า
“คิดถึง ทำไม่จะได้คิด ที่เคยอยู่เคยอาศัย”
เมื่อได้ยินดังนี้ ทำให้คุณสมชัยรู้สึกสลดใจและสงสารหลวงตามาก แต่ก็ไม่รู้ว่าท่านมีเหตุผลจำเป็นอย่างไร
ที่ต้องทนพักอยู่ในโรงพยาบาลเที่ยวนี้ถึง 52 วัน !

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

อาทิตย์ 19 ส.ค. 2012 10:56 pm

รู้นะ ว่าคิดอะไรอยู่


เย็นวันหนึ่ง กลุ่มพระภิกษุสายเณร และญาติโยมจากวัดหนึ่งในอำเภอเมืองสุรินทร์ได้พากันไปกราบเยี่ยม
หลวงตาที่วัด ซึ่งเวลานั้นท่านพักผ่อนอยู่ที่กุฏิน้อยริมสระ และรู้สึกว่าวันนี้หลวงตาอารมณ์ดีมาก ให้ความเมตตา
แก่แขกคณะนี้ด้วยการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ใครถามอะไร ท่านก็ตอบให้หมดสลับกับเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เป็นระยะ ๆ ยกเว้นแต่หลวงตาผู้บวชใหม่ในกลุ่มเท่านั้น ที่ไม่ว่าจะถามอะไร ช่วงไหนของการสนทนาท่านจะไม่
พูดด้วยเลย แถมยังไม่มองด้วยช้ำ จนเป็นที่สังเกตของพระภิกษุผู้เป็นหัวหน้าคณะ ครั้งสนทนากันนานพอสมควรแล้ว
และเกรงว่าจะรบกวนหลวงตามากเกินไป จึงได้พากันกราบลาท่านกลับวัด หลวงตายังแจกบุหรี่ให้พระที่อยู่ใกล้ท่าน
รูปละ 1 ตัวด้วย แต่เว้นไม่แจกหลวงตาผู้บวชใหม่นั้น ขณะที่กำลังเตรียมตัวจะขึ้นรถกลับหัวหน้าคณะ ๆ ได้ถาม
หลวงตาผู้บวชใหม่นั้น ว่าก่อนท่านมาได้คิดอะไรไม่ดีกับหลวงตาหรือเปล่า หลวงตานั้นก็ยอมรับว่า
“คิดจะมาเอาหวยกับหลวงตา”

อีกเรื่องหนึ่ง มีโยมผู้หนึ่งไปทำบุญถวายอาหารที่วัดก็หลายครั้ง แต่หลวงตาไม่เคยพูดด้วยเลย มาครั้งนี้จึงคิด
อยู่ในใจอย่างเคือง ๆว่า “พระอะไรก็ไม่รู้ ไม่พูดกับคน”หลังจากฉันเสร็จแล้วหลวงตาก็พูดขึ้นว่า
“วันนี้จะคุยเสียหน่อย เดี๋ยวเขาจะหาว่าพระอะไรก็ไม่รู้ ไม่พูดกับคน”
โยมผู้นั้นก็สะดุ้งและตกใจ ที่หลวงตาพูดดักใจตนได้แม่นถึงเพียงนี้ และรีบเข้าไปกราบขอขมาท่านทันที่

นี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ในสมัยที่หลวงตาเริ่มถูกเล่าลือ และกล่าวขานถึงในเรื่องการมีโชคลาภของผู้ที่มากราบท่าน
จนแทบจะกล่าวได้ว่าท่านเป็น “เทพเจ้าแห่งโชคลาค” ของชนผู้แสวงหาเลยก็ว่าได้ ญาติโยมเริ่มหลั่งไหล
มาคอยสังเกตและจ้องจับอากัปกิริยาต่าง ๆ ตลอดจนถึงคำพูดของหลวงตา เพื่อนำไปวิจัยวิจารณ์แล้วสังเคราะห์
ออกมาเป็นตัวเลขตัวเด็ด ซึ่งเมื่อนำไปซื้อ บ้างก็ถูกเงิน บ้างก็ถูกกิน จนบางครั้งหลวงตาก็รู้สึกอื้อมระอากับ
ผู้คนประเภทนี้มาก เพราะท่านมีความเตตาที่มุ่งเน้นสอนในเรื่องทาน ศีลและธรรม ย้ำให้ท่านทำแต่ความดีเป็นหลัก

ในสมัยนั่นเอง มีสตรีผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและชาติตระกูลที่ดี มีอาชีพเป็นข้าราชการครูอยู่ในเมืองจังหวัดสุรินทร์
แต่ก็ชอบเรื่องหวยเรื่องเบอร์ เล่นเพื่อความผ่อนคลาย คล้ายเป็นอาหารว่างฉะนั้น เธอได้ไปหาหลวงตาในสภาพ
คล้ายคนทั่วไปที่หาเช้ากินค่ำ ด้วยหวังว่าท่านจะได้เมตตาและสงเคราะห์ เมื่อไปถึงวัด ก็เข้าไปกราบหลวงตา
พร้อมกับญาติโยมคนอื่น ๆ ขณะนั้นเองหลวงตาได้มองมาทางเธอพร้อมกับพูดว่า
“ยังไม่พอถึง ยังมาอีกหรือ”
เธอก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่พูดตอบท่านแต่อย่างไร แต่ในใจกลับคิดว่า “หลวงตาสามารถรู้เราขนาดนี้ อย่างอื่นมีหรือ
ท่านจะไม่รู้! เธอจึงแวะเวียนมาทำบุญถวายอาหารกับหลวงตาเป็นระยะ ๆ ทั้งยังช่วยจัดอาหารสำหรับถวายหลวงตา
ในโรงครัวเป็นประจำ และด้วยความเป็นคนช่างคิด ในขณะที่ช่วยจัดอาหาร เธอและคณะก็จะช่วยกันนับจำนวน
อาหารบางอย่างเช่น ปลา ส้ม เงาะ ลางสาด ทุเรียน องุ่น และกล้วย เป็นต้น แล้วจดจำนวนนั้นไว้ พอหลวงตา
ฉันเสร็จก็ช่วยกันยกลงมานับอีกครั้ง ว่าท่านฉันอะไรบ้าง และฉันไปเท่าไร แล้วก็ผลิตออกมาเป็นตัวเลขต่าง ๆ
แบ่งกันเพื่อนำไปเข้าขบวนการเสี่ยงโชคในที่สุดนอกจากนี้เมื่อเธอได้ทำบ่อย ๆ เข้า ก็เกิดความชำนาญถึงกับ
บอกได้ว่าเลขชุดใน น่าจะออกงวดไดได้อย่างค่อนข้างจะแม่ยำ!

ขำขันหลวงตา


เรื่องแรก : คืนหนึ่ง หลวงตาและลูกศิษย์หลายคน เดินทางกลับจากโรงพยาบาลธนบุรี(กรุงเทพฯ) มาถึงวัด
ก็ดึกมากแล้วประมาณ 4 – 5 ทุ่ม ด้วยความเหน็ดเหนื่อยลูกศิษย์ทุกคนต่างก็รีบลงจากรถเพื่อจะเตรียมตัวพักผ่อน
แต่หลวงตายังไม่ยอมลงจากรถสักครู่ท่านก็เอ่ยว่า “ไปขออนุญาตเข้าอาวาสด้วย ว่ามีพระแก่ ๆ มาขอค้างแรมด้วย”
ลูกศิษย์ทุกคนหัวเราะกันตึง และรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

เรื่องต่อไป : วันหนึ่งท่านแสดงธรรมให้ฟังว่า “ คนเราทำตัวไม่ดี เวลาตายไปมักเกิดในอบายภูมิสีมี เปรต
สัตว์นรก อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานนั้น มองเห็นด้วยตา เช่น ช้างเวลาที่มีงานช้างเขาก็
จับใส่กางเกงยีนส์ไปแตะฟุตบอลให้ดู”

อีกสักเรื่อง : วันหนึ่ง มีญาติโยมมาคุยเล่นกับหลวงตา ซึ่งส่วนมากท่านจะเป็นผู้ฟังเขาคุยเงียบกันเสียมากว่า
โดยท่านจะนอนฟังเฉย ๆ วันหนึ่งท่านคงจะนึกสนุกขึ้นมา พอพวกเขาเงียบเสียงลงแล้ว ท่านก็พูดขึ้นมาว่า

“กูเคยเข้าคุกมาแล้ว”
ทำให้คนกลุ่มนั้นทำสีหน้าประหลาดใจ และหันมามองหน้าหลวงตาด้วยกันทุกคนโยมคนหนึ่งอดสงสัยไม่ได้
จึงกราบเรียนถามหลวงตาว่า “หลวงตาไปทำอะไรผิดหรือ ?
หลวงตาตอบว่า “เปล่า กูเข้าไปเทศน์ให้นักโทษฟัง”


น้ำมนต์หลวงตา


ในวันหนึ่ง คุณวิชัย และคุณบุญมาได้นำแผ่นทองมาให้หลวงตาจาร และมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ
ก็ได้ฝากแผ่นทองมาให้หลวงตาช่วยจารด้วย หลวงตาท่านก็เมตตาทำให้ แต่แผ่นทองของเพื่อนนั้น
ท่านไม่ยอมจารให้ เพียงประพรมน้ำมนต์ให้เท่านั้น คุณวิชัยจึงเกิดความสงสัย และได้กราบเรียนถาม
ท่านว่าทำไม่จารให้เพื่อนคนนั้นหลวงตาก็บอกว่า
“เจ้าของเป็นคนไม่ดี”

คุณวิชัยก็งง เพราะตนก็ไม่ยังรู้ว่าเพื่อนคนนี้มีพฤติกรรมอะไรที่ไม่ดี เมื่อเห็นว่าหลวงตาไม่ยอมจารให้
ก็เลยนำแผ่นทองนั้นไปให้พระมหาอมร ซึ่งอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีจารให้แทน ในขณะที่พระมหาอมรนำ
เหล็กจาจารเพื่อจะลงอักขระนั้น ปรากฏว่าท่านมีอาการสะดุ้งคล้ายถูกไฟซ็อต และได้บอกว่า “ดีแล้ว
อำนาจพลังจิตสูงกว่าอาจารย์อีก ! จึงทำให้คุณวิชัยอดคิดไม่ได้ว่า ขนาดน้ำมนต์ของหลวงตายังมีอำนาจ
พลังจิตถึงเพียงนี้ ถ้าหากได้จารอักขระลงไปด้วยจะขนาดไหน

คราวหนึ่ง ลูกชายเพื่อนของแม่ค้าขายหมู่ในตลาดอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี นอนป่วยหนัก
อยู่ในห้องไอ.ซี.ยู. ของโรงพยาบาลจังหวัดอุบลราชธานี คุณวิชัยได้ให้น้ำมนต์หลวงไปลองดื่มดู ก็ปรากฏ
ว่าคนป่วยได้อาเจียนออกมาเป็นของเหลวสีดำคล้ายโคลนตม และหลังจากนั้นคนป่วยก็หายเป็นปรกติ!


วาจาสิทธิ์หลวงตา



ลูกสาวของคุณบุญมาขณะนั้นกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.6 โรงเรียนเบ็ญจมหาราช จังหวัดอุบลราชธานี และได้สอบ
โควตาเข้ามหาวิทยาลัย แต่สอบไม่ได้ ยังเหลือแต่โอกาสที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งใหญ่ทั่วประเทศอีก
ครั้งเท่านั้น ซึ่งทำให้เธอรู้สึกวิตกกังวลและไม่ค่อยมั่นใจในการสอบครั้งใหม่นัก จึงขอให้คุณบุญมาพาไปกราบ
หลวงตาเพื่อขอพรจากท่าน ซึ่งในช่วงนั้นหลวงตากำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ คุณบุญมา
จึงพาลูกสาวไปกราบที่นั่น และกราบของความเมตตาจากหลวงตาว่า ลูกสาวได้สอบโควต้าเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้
และยังเหลือแต่การสอบเข้าครั้งใหญ่อีกครั้งเท่านั้น จึงได้พาลูกสาวมาขอพรจากหลวงตาขอให้สอบครั้งใหญ่ได้เถอะ
และขอให้ได้มหาวิทยาลัยของรัฐด้วย เนื่องจากตนไม่มีเงินส่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชน หลวงตาบอกว่า
“ได้ ได้ซิ อย่างตกใจเดี๋ยวก็ได้ ” ปรากฏว่าลูกสาวของคุณบุญมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จริง ๆ ทั้งยังได้
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลอีกด้วย


เกศาหลวงตา


ประมาณกลางปี พ.ศ.2540 เย็นวันหนึ่งในฤดูฝน คุณไพศักดิ์ กังวานศุภพันธ์ (ล้ง) และภริยาได้ขับรถยนต์
ไปเที่ยวนอกเมือง ตั้งใจว่าจะเดินทางไปดูที่ดินที่ได้ซื้อไว้แถวหนองกงโดยปกติแล้ว คุณไพศักดิ์จะใช้ถนน
สายหนึ่งเป็นทางสัญจรประจำ และถนนสายนั้นก็จะมีรถวิ่งผ่านไปมาอยู่ตลอดทั้งวัน แต่วันนั้นคุณไพศักดิ์
ตั้งใจจะลองขับรถไปอีกถนนสายหนึ่งที่ผ่านสนามบินทหารอากาศ ทางเส้นนี้เป็นถนนขรุขระไม่ค่อยมีรถยนต์
วิ่งผ่านเมื่อขับรถไปเรื่อย ๆ ก็เจอแอ่งน้ำหลายแอ่งอยู่กลางถนน คุณไพศักดิ์และภริยาได้หยุดรถเพื่อชั่งใจดู
อยู่สักครู่ว่าจะถอยกลับหรือไปต่อดี แต่ก็เห็นว่าได้มาตั้งไกลแล้ว จึงตัดสินใจขับรถลุยกันต่อไป ในขณะนั้น
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ท้องฟ้าจึงเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ เมื่อขับผ่านแอ่งน้ำมาได้ 2 -3 แห่ง ก็มาเจอแอ่งน้ำ
อีกแห่งหนึ่งซึ่งทั้งกว้างและลึกกว่าทุกแห่งที่ข้ามผ่านมา คุณไพศักดิ์จึงพยายามขับรถให้ค่อยๆ ไปและ
แอบชิดข้างทาง แต่แล้วในที่สุดรถก็ติดหล่มในบริเวณนั้นจนได้ เวลาก็ใกล้จะค่ำมืดแล้ว โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี
หมู่บ้านก็อยู่ไกลออกไปข้างหน้า บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มเปลี่ยวจนน่ากลัว คุณไพศักดิ์และภริยาจึงลงจากรถ
และลุยโคลนลงไปลองผลักรถดู และพยายามคิดหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้รถขยับได้ แต่ก็หมดปัญญา
จึงพากันกลับเข้ามานั่งรอในรถ ด้วยใจคอไม่ค่อยดีสักครู่หนึ่ง สายตาของคุณไพศักดิ์ก็เหลือบไปเห็น
ตลับใส่เส้นเกศาของหลวงตาที่แขวนอยู่หน้ารถ จึงได้หยับตลับนั้นมาวางไว้ในฝ่ามือแล้ยกขึ้นพนมมือเหนือศีรษะ
และอธิษฐานให้หลวงตาช่วย สักครู่หนึ่งสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีรถหกล้อคันหนึ่งวิ่งออกมาจากหมู่บ้านมุ่งหน้า
มาหาคุณไพศักดิ์ พอมาถึงคนขับรถก็ลงมาช่วยเหลือทันที่ เขานำสายพานที่ใช้สำหรับดึงรถมาด้วย และช่วยถึง
รถขึ้นจากหล่มทันที่ คุณไพศักดิ์จึงได้ให้เงิน 100 บาท เป็นสินน้ำใจ เขายังเล่าว่าเขามีอาชีพขนพวกตู้เฟอร์นิเจอร์
มาเร่ขายตามหมู่บ้าน หลังจากคุยกันสักครู่ ก่อนที่จะแยกจากกัน เขาได้พูดว่า “เฮียจำผมไม่ได้หรือ เราเคยเจอ
กันที่วัดหลวงตายังไง ผมก็เป็นลูกศิษย์หลวงตาหนึ่งเหมือนกัน” ทำให้คุณไพศักดิ์ขนลุกซู่และคิดถึงหลวงตาขึ้นมาอีกครั้ง


อุเบกขาธรรมของหลวงตา


บ่ายวันหนึ่ง อดีตนักการเมืองซื่อดังท่านหนึ่ง ได้เดินทางไปพบหลวงตาที่วัดซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาที่ท่านเข้าพักในกุฏิแล้ว
และจะไม่ออกมาพบใครเลย แต่นักการเมืองท่านนั้นก็กล้าเดินขึ้นไปเคาะประตูกุฏิ พร้อมกับเรียกหลวงตาอยู่ครู่หนึ่ง
ปรากฏว่าท่านได้เปิดประตูออกมาและถามว่ามีธุระอะไร นักการเมืองท่านนั้นได้ถามว่าจำผมได้ไหมสมัยก่อนผมเคย
เป็นนายอำเภออยู่ที่นี้ และเคยมาช่วยรังวัดที่ดินเพื่อสร้างวัดให้ท่านวันนี้ผมมาพบหลวงตา เพื่อจะขออนุญาตท่าน
สร้างพระเครื่อง เมื่อท่านทราบวัตถุประสงค์ในการมาของอดีตนักการเมืองท่านนี้แล้ว หลวงตาก็ตอบไปว่า “อาตมาทำ
ไม่เป็นหรอก ให้ไปหาพระในเมืองที่ทำเป็นทำให้” แล้วท่านก็ขอตัว และไม่พูดอะไรอีกเลยทำให้นักการเมืองท่านนั้น
ต้องเดินทางกลับไปด้วยความผิดหวังเป็นครั้งที่สอง ซึ่งครั้งก่อนราวปี พ.ศ.2513 ได้เคยมานิมนต์ให้หลวงตาไปปลุก
เสกพระกริ่งจอมสุรินทร์แล้วหนหนึ่ง แต่ท่านก็ได้ปฏิเสธไปแบบไม่มีเยื่อใยเช่นกัน

อีกคราวหนึ่ง เมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษา มีธรรมเนียมปฏิบัติอันเป็นสามีจิกรรมของพระภิกษุอยู่อย่างหนึ่งคือ
พระภิกษุผู้น้อยจะไปกราบขอขมาต่อพระผู้ใหญ่และครูบาอาจารย์ตามวัดต่าง ๆ ซึ่งในฤดูกาลเข้าพรรษาคราวหนึ่ง
มีพระเถระรูปหนึ่งซึ่งครูอาจารย์ที่ถึงธรรมแล้ว ได้กล่าวยกย่องว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้มาทำสามีจิกรรมนั้น
ต่อหลวงตา และได้พาญาติโยมมาทำบุญกับหลวงตาด้วยเป็นจำนวนมาก ซึ่งตั้งแต่ตอนที่ท่านมาถึงจนกระทั่งได้
กราบลาหลวงตากลับไป นับเป็นเวลาหลายชั่วโมง หลวงตาก็ไม่ได้สนใจใครเลย ท่านยังคงรักษาอิริยาบถของ
ท่านตามปกติ ประหนึ่งว่าไม่มีใคร อยู่ในที่นั้นเลย พระเถระรูปนั้นก็มิได้ว่าอะไร ภายหลังท่านยังได้ไปสวดมนต์ถวาย
หลวงตาที่โรงพยาบาลอีก ก่อนที่หลวงตาจะละสังขารไม่กี่วัน


ทำดี ได้ดี


ในสมัยก่อนวัดของหลวงตาไม่มีบ่อน้ำ เพราะบริเวณแถบนั้นเป็นหินภูเขา จึงหาที่จะขุดบ่อน้ำไม่ได้
จึงขาดแคลนน้ำสำหรับบริโภคและอุปโภคพอสมควร อดีต ส.ส จังหวัดสุรินทร์ท่านหนึ่ง ซึ่งเป้ฯเจ้าของ
บริษัทรับเหมาก่อสร้าง จึงได้มาขออนุญาตหลวงตาขุดสระน้ำโดยไม่คิดค่าจ้างแต่อย่างใด และหลวงตา
ก็ไม่ขัดข้อง อดีต ส.ส.ท่านนั้นจึงได้ดำเนินการขุดทันที่

วันหนึ่ง เมื่อขุดใกล้จะเสร็จแล้วหลวงตาได้ถามอดีต ส.ส.ท่านนั้นว่า “สระนี้ถ้าจ้างขุด ราคาเท่าไร”
อดีต ส.ส.ท่านก็ตอบว่า ประมาณ 500,000 บาท ครับ เมื่อได้ฟังดังนั้นท่านก็จึงขอขึ้นไปนั่งบนรถขุด
และจับพวงมาลัยหมุนไปมาอยู่สักครู่แล้วท่านก็ลงจากรถเดินขึ้นกุฏิไปเลย “หลวงตาคงให้โชคเราแล้ว”
จึงนำเลขทะเบียนรถขุด “50” ไปซื้อหวย ปรากฏว่าหวยออกตรงกับเลขที่แทงไว้ และได้เงินทั้งสิ้น 500,000 บาท
ซึ่งช่างพ่อดีกับค่าจ้างที่บอกหลวงตาไปอย่างอัศจรรย์


เกศาหลวงตาสั้น ๆ



ลูกชายของเศรษฐีตระกูลหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ได้ถูกไฟฟ้าแรงสูงขนาด 5,000 โวลต์ ซ็อตที่
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง แต่ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย เขาเชื่อมั่นว่าที่
รอดมาได้เป็นเพราะ เส้นเกศาของหลวงตาที่เขาห้อยคออยู่ตลอดเวลา โดยมีวัตถุมงคลอื่น ๆ ห้อยรวมอยู่ด้วยเลย
“แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเกศาของหลวงตาเพียงสั้น ๆ แต่ก็น่าคิด”
“ไอ้เตี้ย หมดหน้าที่แล้ว”

หลังจากหลวงตาซื้อรถยนต์ และได้ใช้ออกโปรดบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายตลอดจนเที่ยวดูสถานที่ต่าง ๆ
จนเป็นที่พอใจแล้ว และหมดธุระที่จะใช้รถแล้ว (ซึ่งท่านมักจะเรียกรถคันนี้ว่า “ไอ้เตี้ย) ท่านก็สั่งให้ตาหาญ
ให้ไปบอกคุณสมชัยว่าหลวงตาจะขายรถ คุณสมชัยจึงปรึกษากับตาหาญว่า ขอรอดูก่อนว่าท่านจะพูดเรื่องนี้อีก
หรือเปล่า อีกไม่กี่วันต่อมา ท่านก็สั่งให้ตาหาญมาบอกคุณสมชัยว่าจะขายรถให้ในราคา 570,000 บาท
ถ้าไม่ได้ก็จะขายให้ 540,000 บาท ทั้งยังได้พูดย้ำฝากกับตาหาญมาว่า “ให้เขียนราคาไปบอกมัน
หากไม่เชื่อกูจะแตะโป้ (พิมพ์ลายนิ้วมือ)ให้”

วันต่อมาคุณสมชัยได้เข้าวัดไปกราบเรียนถามหลวงตาว่าจะขายรถจริงหรือเปล่า ท่านก็บอกว่าจริง และ
ยังพูดย้ำด้วยว่า “ซื้อมา 570,000 บาท จะขายให้ 540,000 บาท คุณสมชัยคิดว่าสมควรซื้อไว้
เผื่อท่านจะได้อาศัยใช้ไปธุระในบางโอกาส จึงได้ตอบตกลงกับท่าน และก็เป็นไปตามที่คุณสมชัยคิดไว้
เพราะต่อมาไม่นานก็ได้ใช้ไอ้เตี้ยคันนี้พาท่านไปรักษาตัวในที่ต่าง ๆ หลายครั้ง และได้พาท่านไปเที่ยว
ในสถานที่ที่ท่านปรารถนาจะไปอีกหลายคราว

ส่วนเรื่องโชคลาภนั้น คนที่ทราบข่าวนี้ได้พากันถูกหวยรวยกันไปหลายคน เพราะถูกหวยซึ่งออก “57 “
และ “54” ทั้งบนและล่าง คุณสมชัยจึงรู้ว่า “หลวงตาได้พยายามให้รถแก่ตนแล้ว แต่ไม่มีวาสนา”
และยังหวนนึกไปถึงคำที่หลวงตาเคยพูดบ่อย ๆ ว่า “ของเก่าไม่เคยสร้าง วาสนาไม่มี แม้บอกให้ตรง ๆ ก็ไม่ได้


ด้วยแรงอธิษฐาน


ในปี พ.ศ.2532 หลังจากที่ คุณนิด คำเสียง ไดไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบวรสังฆาราม (หน้าเรือนจำ)
จังหวัดสุรินทร์เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว หลวงพ่อคืน ปสันโน เจ้าอาวาสวัดฯ ในขณะนั้น และญาติโยมหลายคน
ได้แนะนำให้หาโอกาสไปกราบและศึกษาธรรมปฏิบัติกับหลวงเห วัดป่าพนมกรอลบ้าง โดยหลวงตาคืน
ได้กล่าวยกย่องหลวงตาว่า
“เป็นพระมหาเถระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีปฏิปทาน่าเลื่อมใส และที่สำคัญเป็นพระมีมรรคมีผล”

เมื่อคุณนิด ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงตาเช่นนั้นบ่อย ๆ เข้า ก็ทำให้อยากจะไปกราบหลวงตามากขึ้นทุกวัน
จนกระทั่งได้วันที่เหมาะสม เพราะทิดฮกลูกชายร้านสุรินทร์ชูส์ รับอาสาจะขับรถพาไป โดยคืนก่อนที่จะไป
เวลาประมาณตี 2 เธอได้ลุกขึ้นนั่งภาวนาตามปกติ และได้อธิฐานว่า

“ถ้าข้าพเจ้าจะได้มีธรรมเกิดขึ้น และเป็นธรรมในชาตินี้ ก็ขอให้หลวงตาแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า หรือมิฉะนั้นก็
ขอให้หลวงตาได้ฉันอาหารที่ข้าพเจ้าจะนำไปถวายในวันพรุ่งนี้ด้วย”

พอรุ่งเช้าของวันใหม่ คุณนิดก็ได้เดินทางเข้าวัด และได้เข้าไปช่วยงานอยู่โรงครัวในขณะที่กำลังจัดเตรียม
อาหารสำหรับหลวงตาอยู่นั้น ก็มีคุณลุงท่านหนึ่งชื่อลุงหุน ได้เดินมาถามว่า ผู้ใดชื่อโยมนิด หลวงตาให้รีบไปหา
ท่านจะได้แสดงธรรมให้ฟัง แล้วจะฉันอาหาร ซึ่งทำให้คุณนิดทั้งงงและอัศจรรย์ใจมาก ว่าหลวงตารู้จักชื่อตนได้
อย่างไร ตนพึ่งจะมาวัดเป็นครั้งแรก คุณนิดจึงรีบเข้าไปหา และหลังจากที่กราบและนั้งลงกับพื้นเรียบร้อยแล้ว
ท่านก็เริ่มพูดธรรมะให้ฟัง โดยเริ่มสอนตั้งแต่ให้นั่งภาวนาพุธโธ จนกระทั่งถึงการวิปัสสนากรรมฐาน 5 คือ
ผม จน ฟัน หนัง และเล็บ และก่อนจะสิ้นสุดการพูดท่านได้เน้นย้ำอีกว่าให้ปฏิบัติให้ได้ทั้ง 4 อิริยาบถ คือ
ทั้ง เดิน ยืน นั่ง และนอน และว่าที่ปฏิบัติมาก็นั่งและยืนได้แล้ว เหลือแต่เดินกับนอนสองอย่าง ให้พยายามปฏิบัติ
ให้ได้ซึ่งคุณนิดก็รับปาก แล้วก็กราบท่านด้วยความซาบซึ้งในเมตตาธรรมที่ท่านได้ให้ต่อลูกศิษย์ผู้มาใหม่
ทั้งยังทำให้เชื่อและอัศจรรย์ใจในแรงอธิฐาน ว่ามีจริงอย่างยากที่ลืมเลือน....


ด้วยแรงอธิษฐาน (ภาคสอง)


เมื่อต้นปี พ.ศ.2536 คุณบุญเลิศ ดีสม ซึ่งเป็นช่างประติมากรรม (ช่างสร้างโบสถ์ วิหารและศาลา เป็นต้น)
ได้มารับเหมาสร้างซุ้มประตุวัดป่าพนมกรอล ในราคาจ้างเหมาสองแสนกว่าบาท เมื่อทำการก่อสร้างไปได้

ระยะเวลาหนึ่ง คุณบุญเลิศได้ให้ภรรยาคือ คุณปราณี ดีสม เดินทางไปเบิกเงินงวดแรก ที่บ้านสมชัยเป็น
จำนวนเงินหนึ่งแสนบาท จากนั้นคุณปราณีก็รีบขี่รถจักรยานยนต์กลับมาวัด เพื่อนำเงินนั้นให้สามีไปจ่าย
ค่าแรงแก่ลูกน้อง บังเอิญคุณบุญเลิศไม่อยู่ที่วัด จึงยังไม่สามารถจ่ายค่าแรงให้ใครได้ และก็บังเอิญอีก
เช่นกันที่คุณปราณีก็มีธุระด่วนที่จะต้องไปทำ จึงได้คว้ากระเป๋าเงินติดตัวแล้วขี่รถจักรยานยนต์บึ่งออกจาก
วัดไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างทางเมื่อเธอได้เหลือบดูกระเป๋าเงิน ก็ต้องตกใจแทบซ็อก เพราะกระเป๋าพร้อม
กับเงินแสนก้อนนั้นไม่รู้ว่ามันตกหล่นไปเมื่อไหร่ จึงได้รีบกลับรถมาหา ขณะที่ตามหาเงิน รู้สึกวิตกกังวลและ
ทุกข์ใจมาก ถ้าไม่ได้เงินคืนกลับมาคงต้องเสียใจและต้องประสบกับปัญหาตามมาอีกมากมาย ในระหว่างทาง
ที่วกกลับมา ไม่ว่าจะเจอใคร เธอก็จะรีบสอบถามทันที่ และถามไปเรื่อย ๆ เกือบจะตลอดทางก็ไม่มีใครพบ
เห็นเงินเลย เธอก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นจนแทนจะร้องไห้ออกมา ทันใดนั้น เธอก็ฉุกคิดถึงหลวงตาขึ้นมาได้
จึงได้อธิฐานขอให้ท่านช่วยให้ได้เงินก้อนกลับคืนมา และได้อธิฐานเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทางที่หาเงิน
ด้วยความหวังที่ดูจะเลือนลางเต็มที่ ....

ขณะที่ขี่รถ ฯ มาตามทางเดินนั้น คุณปราณีได้ผ่านบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง เห็นมีผู้ชายหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้าน
จึงได้จอดรถลงไปสอบถามดู ผู้ชายคนนั้นบอกเธอว่ามีคนเก็บกระเป๋าเงินได้แต่กลับไปบ้านแล้ว และในขณะ
ที่กำลังคุยกับชายผู้นี้อยู่ ก็มีผู้หญิงเป็นชาวบ้านแถบนั้นยืนฟังอยู่ด้วย เธอรีบแนะนำคุณปราณีว่าชายผู้นี้คือ
กำนันอุใจ เขียวหวาน กำนันแห่งตำบลนาบัว และยังได้ช่วยขอร้องให้กำนันอุใจช่วยตามเงินคืนให้คุณปราณี
อีกด้วย ซึ่งกำนันอุใจก็ได้แสดงน้ำใจช่วยเหลือโดยการขับรถยนต์ พาคุณปราณีไปบ้านของชายผู้เก็บกระเป๋า
เงินได้ ซึ่งในที่สุดคุณปราณีก็ได้กระเป๋าและเงินจำนวนนั้นคืนมาโดยไม่ลืมที่จะให้เงิน 500 บาท ชายผู้
นั้นเป็นสินน้ำใจ และในภายหลังคุณปราณีก็ต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อรู้ว่า “กำนันอุใจ เขียวหวาน
ก็เป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดของหลวงตาคนหนึ่งเช่นกัน “ จึงทำให้เธอเชื่ออย่างถึงใจว่า การที่เธอได้เงินกลับ
คืนมาทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเมตตาบารมีธรรมของหลวงตา ที่เธอได้อธิษฐานไว้นั่นเอง

Re: อาลัยคิดถึงหลวงตา : หลวงตาเห อุปกัมโม

จันทร์ 20 ส.ค. 2012 9:39 pm

ประวัติการสร้างวัตถุมงคล

หลวงตาแก้ยาสั่ง

เมื่อราวปี พ.ศ.2480 เตี่ยของคุณบุญมา ล้อนันตระกุล และครอบครัวได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์
และต่อมาได้อพยพครอบครัวมาอยู่กับลุงที่อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์เพื่อประกอบอาชีพคาขายข้าวและค้าของป่า
และขณะนั้นเตี่ยของคุณบุญมาก็ไม่มีภรรยาคนที่ 2 อยู่ที่บ้านสวาย อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และมีบุตรด้วยกัน 2 คน
ต่อมาทั้งภรรยาและบุตรได้ถึงแก่กรรมไป ทรัพย์ที่ดินก็ตกเป็นของญาติ ๆ ทางภรรยาใหม่ เนื่องจากเตี่ยของคุณบุญมา
เข้ามาอยู่เมืองไทยในฐานะคนต่างด้าว ซื่งไม่มีสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน หลังจากนั้นย่าของคุณบุญมาได้เขียนจดหมาย
ไปยังเมืองจีน เพื่อชักชวนให้แม่ของคุณบุญมาอพยพมาอยู่ค้าขายที่เมืองไทยด้วยกัน และมามีภูมิลำเนาอยู่ที
ตำบลสวาย จังหวัดสุรินทร์

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2494 แม่ของคุณบุญมาก็ได้ถือกำเนิดบุตรชาย 1 คน ซึ่งก็คือ คุณบุญมานั่นเอง และในขณะที่
คุณบุญมามีอายุเพียง 8 เดือน คุณแม่ได้ถูกยาสั่งของคนในละแวกหมู่บ้านนั้น ซึ่งเป็นแหล่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการทำยาสั่ง
ยาพิษและคุณไสย์ดำอื่น ๆ ยาสั่งนี้ถ้าใครถูกเข้าจะมีอาการกินข้าวไม่ได้ และตาจะมองอะไรไม่เห็น ถ้าโดนยาสั่งถึง 7 วัน
คนผู้นั้นก็จะตายลงทันที่ ในขณะที่แม่ของคุณบุญมาโดนยาสั่งได้ประมาณ 6 วัน เตี่ยของคุณบุญมาได้ตัดสินใจพาภรรยา
เดินทางด้วยเกวียนไปหาหลวงตาเห ที่บ้านนาเกลือ อำเภอเมือ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อให้ท่านช่วยแก้ไขให้ เตี่ยของ
คุณบุญมาได้เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นให้หลวงตาเหฟัง พอท่านได้ทราบเหตุแล้วก็รีบสั่งให้เตรียมขันน้ำมนต์พร้อม
ใส่น้ำมาให้ท่านทันที่ เมื่อทำน้ำมนต์เสร็จแล้ว หลวงตาก็ให้แม่ของคุณบุญมาดื่มเข้าไป และส่วนที่เหลือก็ให้นำไปอาบ
โดยทันที่ หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที อาการถูกยาสั่งก็หายไปอย่างปลิดทิ้ง ยังความดีใจและอัศจรรย์ใจแก่สามีภรรยา
คู่นี้เป็นยิ่งนัก หลังจากนั้นท่านได้แนะนำให้ครอบครัวของเตี่ยคุณบุญมาอพยพหนีไปอยู่เสียที่อื่นก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วจะได้
รับอันตรายถึงแก่ชีวิต เตี่ยของคุณบุญมาจึงจำต้องย้ายครอบครัวหนีไปอยู่ที่จังหวัดลพบุรี และอยู่นานถึง 15 ปี เมื่อคุณบุญมา
เติบโตขึ้นพอรู้เดียงสาแล้ว คุณแม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นให้ฟังอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณบุญมาจดจำอยู่อย่างฝังใจ
และรู้เลื่อมใสศรัทธาหลวงตาที่เมตตาช่วยเหลือครอบครัวของตนให้รอดพันจากภัยวิบัติ เมื่อใดที่ได้รับฟังเรื่องราวในอดีต
คุณบุญมาจะมีความรู้สึกอยู่ในใจว่าอย่างพบ อยากเห็น อยากรู้จักและอยากกราบหลวงตาผู้มีพระคุณนี้ทุกครั้งไป และ
เมื่อคุณบุญมามีอายุได้ 18 ปี เตี่ยของคุณบุญมาก็ได้อพยพครอบครัวไปอยู่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี


พระนาคปรกใบมะขาม

ปี พ.ศ.2525 เตี่ยของคุณบุญมาได้พาคุณบุญมาไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดสุรินทร์ จึงทำให้คุณบุญมานึกไปถึงหลวงตา
และได้สอบถามญาติว่ารู้จักและท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ จึงได้ขอให้ญาติพาไปเยี่ยมหลวงตาสักครั้ง หลวงตาก็ได้พูดคุยและ
ซักถามด้วยว่าเป็นลูกหลานของใคร จากนั้นมาครอบครัวของคุณบุญมาก็ได้แวะเวียนมากราบเยี่ยมท่านอย่างสม่ำเสมอ
จนมีความสนิทสนม คุ้นเคย และใกล้ชิดกับหลวงตา

ในสมัยที่ยังเป็นเด็กเริ่มรู้เดียงสา และยังไม่เคยพบเห็นหลวงตา คุณบุญมาก็มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวหลวงตาว่า
“เป็นพระศักดิ์สิทธิ์” อยู่ในใจเสมอมาอยู่แล้ว ครั้งได้มารู้จักและถวายตัวเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด ก็ได้เห็นปฏิปทาและจริยา
วัตรอันงดงามน่าเลื่อมใส ทั้งยังได้ประสบกับความปาฏิหาริย์ของหลวงตาในหลาย ๆ เรื่อง ก็ยิ่งทำให้คุณบุญมาเลื่อมใสศรัทธา
และเคารพท่านอย่างหมดใจ จึงมีความคิดที่จะทำวัตถุมงคลของหลวงตาขึ้น เพื่อแจกญาติโยมที่เสื่อมใสศรัทธาในองค์ท่าน
และเนื่องจากในเวลานั้นเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด ว่าหลวงตาไม่อนุญาตให้ใครสร้างรูปเหมือนของท่าน
อย่างเด็ดขาด จึงได้ซักชวนคุณวิชัย ตั้งวันเจริญ เข้าไปหาหลวงตาที่วัด เพื่อกราบขอความเมตตาให้ท่านอนุญาตในเรื่องการสร้างวัตถุมงคล
โดยจะสร้างเป็นพระนาคปรกใบมะขาม เพราะเห็นว่ามีขนาดเล็กกะทัดรัดดี ประกอบกับคุณบุญมามีพระปรกใบมะขามของ
วัดคลองมะขามเฒ่าเป็นแบบอยู่แล้ว หลวงตาก็เมตตาอนุญาตให้สร้างได้ ซึงก็ยังความดีใจให้แก่ลูกศิษย์ทั้งสองนี้เป็นอย่างมาก
เพราะที่ผ่านมาท่านไม่เคยอนุญาตให้ใครทำวัตถุมงคลใด ๆ เลย แม้ผู้ขอจุเป็นใครก็ตาม

หลังจากนั้นคุณบุญมาและคุณวิชัยก็ได้ติดต่อกับ คุณศิริ ชโลกุล เจ้าของโรงงานหล่อชโลกุล ซึ่งตั้งอยู่ข้างเสาชิงช้า
กรุงเทพฯ ให้เป็นผู้รับทำพระดังกล่าว โดยทางร้านได้คิดค่าแก่แม่พิมพ์ ค่าทำบล็อก และค่าปั้มองค์พระจำนวน 3,000 องค์
ในราคา 10,000 บาท กำหนดแล้วเสร็จประมาณเดือนเศษ ในราวเดือนกรกฏาคม พ.ศ.2526 จึงได้นำพระทั้งหมดไป
ให้หลวงตาที่วัดเพื่อทำการปลุกเสก ท่านนำพระทั้งหมดลงในขันน้ำมนต์ ซึ่งก็สามารถใส่ลงได้ทั้งหมดเพราะองค์พระมี
ขนาดเล็กมาก แล้วจึงทำการปลุกเสกอยู่ 30 นาทีก็เสร็จ และได้มอบพระทั้งหมดนั้นคืนให้แก่คุณบุญมา เพื่อนำให้
แจกให้แก่ลูกศิษย์และญาติโยมที่เคารพนับถือหลวงตาและก็ได้แจกไปจนหมดสิ้น


พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล


ประมาณปี พ.ศ.2537 คุณสุนันท์ วิวัฒน์โรจนกุล (ตี๋ห้องเย็น) ซึ่งอยู่จังหวัดอำนาจเจริญเป็นลูกศิษย์ที่เคารพเลื่อมใส
และศรัทธาหลวงตามากคนหนึ่ง อยากจะสร้างพระให้พี่ของภรรยาสักรุ่นหนึ่ง จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจาก คุณบุญมา
และคุณวิชัยให้ช่วยแนะนำ และพาไปกราบขออนุญาตหลวงตา ซึ่งท่านก็อนุญาตให้ทำได้ตามประสงค์ นอกจากนี้ทั้ง
คุณบุญมาและคุณวิชัยยังไม่ช่วยกันออกแบบองค์พระที่จะทำให้ด้วย โดยใช้พระพุทธทักษิณมิ่งมงคลซึ่งเป็นเหรียญ
ประทานพรของจังหวัดนราธิวาสเป็นต้นแบบ แต่ได้เพิ่มบัวเข้าไปเพื่อให้ดูงดงามยิ่งขึ้นซึ่งองค์พระทั้งหมดอันประกอบ
ด้วยเนื้อทองคำ 32 เหรียญ เนื้อเงิน 108 เหรียญ และเนื้อทองแดงรมน้ำตาลจำนวน 10,000 เหรียญก็ได้ ถูกทำ
จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2538 โดยโรงงานชโลกุลและได้ถวายให้หลวงตาทำการปลุกเสกที่วัดในวันที่ 30 กันยายน
พ.ศ.2538 ซึ่งเป็นวันที่ศิษยานุศิษย์รวมใจกันจัดงานพิธีบายศรีสู่ขวัญให้หลวงตา ในวาระที่ท่านได้ออกจากโรงพยาบาล
กลับมาอยู่วัดตามปกติ เมื่อเสร็จพิธีการปลุกเสกแล้ว คุณบุญมาและคุณวิชัยก็ได้นำเหรียญเนื้อทองคำและเงินคืนให้แก่เจ้า
ของที่สั่งจอง ส่วนเหรียญเนื้อทองแดงก็ได้แจกจ่ายให้แก่ผู้ต้องการจนหมดสิ้น
ตอบกระทู้