ผมก็นึกว่ากรรม กรรมแน่แท้ เพราะแม้แต่สัตวแพทย์เขาจะทำการผ่าตัด เขายังใช้ยาระงับความรู้สึก ระงับความปวด นี่ผมเป็นคนแท้ๆ ยังโดนแบบนี้ ว่าแล้วท่านก็เอามีดกรีดลงบนคิ้วขวาเรื่อยไป ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความเจ็บปวด ร้อนครวญครางออกมา ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “เจ็บก็ร้องไป ตำรวจไม่จับหรอก” แล้วท่านก็ผ่าไป เอาคีมจับเส้นประสาททีละเส้น พอเส้นประสาทถูกคีมคีบมันก็ปวดถึงหัวใจ ผมร้องออกมาดังกว่าวัว กว่าควาย ที่กำลังถูกเชือดเพราะการผ่าตัดแบบนี้ เวลาดึงเส้นประสาททีไรก็สะดุ้งจนตัวลอย พยาบาลห้องผ่าตัดก็กดหัวไว้ ทั้ง ๆ ที่พันธนาการไว้อย่างเหนียวแน่น
ผมถูกผ่าไป ดึงประสาทไป ร้องจนสุดเสียง เพราะความเจ็บ และความปวด ทนทุกข์ทรมาน อยู่อย่างนั้น กว่าชั่วโมง อาจารย์ท่านพยายามดึงประสาทออกให้มากที่สุด แต่ทำได้ยากเพราะมันติดกันนุงนัง เหมือนกับวุ้นเส้นที่เราเอามายำกิน ผมร้องโอดโอย ดังที่สุดในชีวิต เจ็บที่สุดในชีวิตปวดที่สุดในชีวิต และทารุณที่สุดในชีวิต เหมือนกับที่หนูพิมพ์บอกไว้ไม่มีผิด และสุดท้ายผกก็สลบไปเอง เพราะความเจ็บปวด มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องนอนที่สายน้ำเกลือรุงรัง มีสายยางอยู่ที่จมูกที่ปาก ความปวดนั้น ยังไม่หายแม้จะหยุดผ่าตัดแล้ว แต่ความเจ็บปวดก็ยังมีอยู่ มันสุดที่จะทนทานจนต้องร้องและครางออกมาดัง ๆ
ค่ำนั้น ก็ยิ่งปวดแผล ปวดระบบประสาท ปวดระบบสมอง เมื่อยไปทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยได้เป็นมาก่อน ผมถูกฉีดยาระงับปวด ยานอนหลับ และหลับไปทั้งสายยางต่างๆ จนมาตื่นอีกทีก็ดึกโข เห็นจะราว ๆ สองยาม หรือกว่า จำได้ว่า วันที่ถูกผ่าตัดชดใช้วิบากกรรมนั้นเป็นวันพุธ ที่จำได้เพราะท่านอาจารย์ได้บอกว่า วันพฤหัสพรุ่งนี้ ไม่ว่าง ท่านติดประชุมเช้า ผ่าเสียวันพุธนี้แหละ
พอตื่นขึ้นมาดังกล่าว ก็พบภรรยา และพยาบาลที่นั่งเฝ้าอยู่ ผมถามทั้งสองคนว่า ผมยังไม่ตายอีกหรือ มันทารุณที่สุดแล้ว สองคนนั้น น้ำตาไหลเพราะความสงสาร แล้วผมก็หลับตาภาวนา พุทโธ ๆ ระงับเวทนา พอหลับตาสักครู่ หนูพิมพ์ก็เอามือมากุมตรงที่แผลผ่าตัด และที่ปวดอยู่
ผมก็ถามเธอว่า “พ่อหมดเวร หรือยัง”
เธอตอบว่า “พ่อชดใช้กรรมตามที่เขาอาฆาตไว้มากแล้ว ต่อไปนี้จะดีขึ้น ๆ”
ผมถามต่ออีกว่า “พ่อจะถูกผ่าตัดอีกไหม”
เธอตอบว่า “ไม่มีอีกแล้ว”
“แล้วจะปวดโรคประสาทนี้อีกไหม”
เธอตอบว่า “ยังมี แต่ไม่ทารุณมากนัก จะมีอีกสี่ปี”
“แล้วจะให้พ่อทำอย่างไรต่อไป”
“ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเรื่อย ๆ ขออโหสิเขาเสียภาวนา แล้วส่งในไปแผ่ส่วนกุศลให้เขาเสมอๆ นะพ่อนะ” หนูพิมพ์ตอบ
“ พ่อจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่”
“วันอาทิตย์นี้แหละจ้ะ…พ่อ”
ผมก็ถามอีกว่า “ถ้ามันยังไม่หาย จะกลับไปได้อย่างไร…”
เธอตอบว่า “ก็ยังมีกรรมเบา ๆ หลงเหลืออยู่อีก ถึงจะเป็นก็ไม่รุนแรงเท่าคราวนี้จ้ะ”
“เวลาพ่อกลับบ้านแล้ว พ่อจะเรียกให้ลูกไปหาจะได้ไหม”
“หนูจำต้องลาไปเกิดแล้ว และเป็นผู้ชายจ้ะ..แล้วลูกเข้าบ้านพ่อไม่ได้ เจ้าที่ เจ้าทาง เขาห้ามจ้ะ”เธอตอบ ภรรยาผม และนางพยาบาลนั่งฟัง และจด ตามอย่างเคย
“หนูลาพ่อเลยนะ และทีนี้จะไม่มาอีกแล้วจ้ะพ่อ พ่ออย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย นะพ่อนะ” เสียงหนูพิมพ์แว่วๆ แต่ชัดเจนติดมาจนบัดนี้
ก่อนที่หนูพิมพ์จะจากไปนั้น ผมได้ถามแกว่ามีอะไรขาดเหลือบ้างไหม ผมจะทำบุญอุทิศไปให้ หนูพิมพ์บอกว่า แกไม่มีอะไรขาดเหลือ พร้อมบริบูรณ์หมด แต่เสียดายอยู่อย่างหนึ่งคือ
แกยังทำการฝีมือไม่เสร็จ ขอให้ผมนำผ้าขาว กว้างศอกเศษ ยาวศอกเศษ ด้ายมันสีน้ำเงิน กับเข็มโครเชต์ไปวางไว้หน้ารูปแกที่ศาลาพิมพวดี ด้วย เพราะคุณพ่อของแกเอาไปทิ้งเสียแล้ว ทั้งๆ ที่แกยังปักรูปดอกไม้ไม่เสร็จ ก็มาตายเสียก่อน
ผมก็ให้ภรรยาผมจัดการนำผ้าขาว ด้ายมันสีน้ำเงินกับ เข็มโครเชต์ไปวางไว้ที่หน้ารูปแก
ต่อมาไม่กี่วัน คุณเสียง โหสกุล คุณพ่อของหนูพิมพ์ ก็มาเล่าให้ผมฟังว่า มีใครก็ไม่ทราบ เอาผ้าข้าว ด้ายมัน กับเข็มโครเชต์ไปว่าไว้ที่หน้ารูปหนูพิมพ์ ผมก็บอกความจริงให้ฟัง คุณพ่อของหนูพิมพ์ ก็ยอมรับว่า ได้เอาผ้าขาวที่หนูพิมพ์ทำการฝีมือค้างอยู่ไปทิ้งจริงๆ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ว่าหนูพิมพ์ไม่ปรากฏกายให้เห็นอีกเลยอาการปวดผมก็บรรเทาเบาบางลงๆ แม้จะไม่หายขาด ก็ยังดีกว่าเก่า
ผมนอนอยู่อีกสามวัน พอถึงวันเสาร์ตอนเช้า อาจารย์อุดมมาเยี่ยม ท่านไม่เคยหยุดงานเลย แม้วันหยุดราชการ ผมรายงานว่า “อาการปวดเบาไปแยะ แต่ก็ยังมีอยู่อีกไม่หายขาด” ท่านก็บอกว่า “พรุ่งนี้วันอาทิตย์ จะกลับบ้านก่อนก็ได้พักฟื้นต่อไป เผื่อมีอะไรค่อยว่ากันใหม่” ผมลุกขึ้นนั่งกราบในความกรุณา แล้วท่านก็ไป
ผมดีในที่จะได้กลับบ้านในวันพรุ่งนี้เช้า ทั้งๆ ที่แผลผ่าตัดต่างๆ ยังไม่หาย ท่านบอกว่า “ทำแผลเอง เอาไหมออกเองก็แล้วกัน เป็นหมอนี่…” คืนนั้น ผมนอนหลับได้ดีมาก อาการปวดประสาทมีรบกวนนิดหน่อย ตอนที่หลับก็หลับสนิท ไม่มีอะไรมาแผ้วพานในใจ ผมก็เข้าสมาธิต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อรู้สึกตัว
เช้าวันอาทิตย์ ผมถวายบังคมลาสมเด็จพระราชบิดา ลาพยาบาล ลาแพทย์ที่ช่วยเหลือก่อนกลับบ้านผมถือรูปหนูพิมพวดีไว้ในมือ แล้วสั่งให้รถแวะไปที่วัดมกุฏกษัตริยารามก่อน เพื่อไปดูศาลาพิมพวดี ไปดูรูปหนูพิมพ์ผู้มีพระคุณ ผมยกมือขึ้นอุทิศส่วนกุศลให้เธอ และบอกเธอว่า จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อสวดมนต์ก็จะอุทิศส่วนกุศลให้เธอทุกวัน จนกว่าผมจะตายไป และขอให้ได้พบกันเป็นพ่อลูกทุก ๆ ชาติ….
จบแล้วครับ... เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้ใครต่อหลายคน แม้แต่ตัวผมเองเมื่อครั้งเดินทางไปวัดมกุฏเพื่อบูชาสมเด็จอุณาโลมทรงจิตรดา ก็ถือโอกาสไปที่ศาลาพิมพวดี เพื่อระลึกถึงเรื่องนี้และเตือนใจตัวเอง ให้ตระหนักแก่ใจว่าขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายไม่ทำเลยจะดีกว่า
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว