พิมพวดีสื่อวิญญาณผม
(นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ)ได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่) เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นอายุราว ๆ 16-17 ปี ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีนและก็เป็นเรื่อยมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นๆ หายๆ โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว
ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ค่อยทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆ ก็พอบรรเทาไปได้ เคยขอให้อาจารย์ที่ศิริราชตรวจ ท่านก็บอกว่า สายตามีส่วนช่วยทำให้ปวดได้ เพราะสายตาไม่ดี ผมก็เลยสวมแว่นตามาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนถึงบัดนี้
สรุปว่า ผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบๆ ปี....
ตอนที่เป็นนายแพทย์ ผู้อำนวยการที่จังหวัดภูเก็ต ก็ยังเป็น ตอนไปศึกษาต่อที่อเมริกาก็เป็นทั้งสามปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัด ผมก็ยอมแต่พอจะผ่ามันก็เกิดหายปวด เพราะมันเป็นๆ หายๆ หมอที่นั่นก็เลยไม่กล้าผ่า
พอศึกษาจนจบก็กลับมารับราชการต่อตามโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง ตอนปี พ.ศ. 2504 ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ ฝ่ายวิชาการ เกิดปวดมากจนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ตอนนี้เองโรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ (พ.ศ.2508)
คุณหมอสิริ บุณยะรัตเวช หัวหน้าศัลยกรรม ร.พ.รามาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท ท่านผู้นี้เอง ที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดยาเข้าในสมอง ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ ให้หมดสภาพไปเลย
ท่านบอกว่า หนึ่งในสาเหตุของโรคนี้ คือเส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดสมองเส้นที่ห้านี้ เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกทีคนโบราณเรียกว่า
“ลมตะกัง” หมอปัจจุบันเรียกว่า
“ไมเกรน” หรือ
"ติ๊ดเตอลารูไทรเจมินัลนิวราลเจีย" เป็นชื่อเดียวกัน การรักษา ยากมาก
ตอนปี พ.ศ. 2504 นั้น คุณหมอสิระยังไม่กลับจากการเดินทางต่อจากอังกฤษ ท่านเรียนจนสำเร็จเป็นราชบัณฑิตในวิชาศัลยศาสตร์ แห่งประเทศอังกฤษ ท่านกลับมาตอน พ.ศ. 2507 หรือราวๆ นั้น ท่านศาสตราจารย์ น.พ.อุดม โปษกฤษณะ เป็นผู้รักษาผม มีศาสตราจารย์ น.พ.วิชัย บำรุงผล แห่งภาควิชา ศัลยกรรม และ ศาสตราจารย์ น.พ.สมบัติ สุคนธพันธ์ ฝ่ายโรคทางยามาร่วมด้วย ทั้งสองท่านเหล่านี้ เป็นเพื่อนกัน ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่หาย....
ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ ชั้นล่าง ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว ได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์ และเพื่อนฝูง แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน....
คืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย พยาบาลจะให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ ก็ไม่สงบ เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็นอนหลับตาเอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วก็ภาวนาบริกรรม พุทโธๆ ๆ ๆ ทำอาปานุสสติ ไปเรื่อยๆ
ที่ผมทำแบบนี้ได้เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2500 ผมบวชพระที่วัดราชาธิวาส หนึ่งพรรษาวัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่อาการปวดก็สงบลง มันก็เป็นเช่นนี้ คือ ปวดสักพัก แล้วก็บรรเทา พอสงบ ผมก็สงบจิตทำสมาธิต่อไป...
ประมาณสามทุ่มเศษๆ ผมก็หลับตาเห็น....เด็กหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง....ก็ลืมตาถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า....
"ใครมา?" ได้รับคำตอบว่า “ดึกแล้ว....ไม่มีใครมาหรอก....”
ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ ก็เห็นชัดว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนยังกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง แต่หน้าตายังเด็ก มายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล
เมื่อเห็นเช่นนั้น ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า....“หนูเป็นใครมาทำไมที่นี่....”ผมพูดออกมาดังๆ เพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน รวมทั้ง คุณใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ จนทุกวันนี้ และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย....
ภรรยาผม มาเขย่าแขนแล้วพูดว่า “เธอ นี่อยู่นี่ๆ” ก็คงคิดว่าผมป่วยมากจนเพ้อ.... ผมก็บอกว่า “ไม่ได้เพ้อ หรือเสียสติอะไรหรอก....” แต่ว่า....มีใครเห็นไหม? หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่.... สองคนนั้นตอบว่า.... "ไม่มีใครอีกแล้ว...."
ผมสังเกตเห็นว่าทั้งสองคนนั้นขยับตัวเข้ามาชิดกัน ภรรยาทำท่าจะสวดมนต์ หรือพนมมือไหว้พระปลกๆ
แต่ผมก็ยังข้องใจ.... เพราะหนูคนนั้นยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม!ผมก็เลยพูดออกมาดัง ๆ กับภรรยา และพยาบาลในห้องว่า....“จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆ จำๆ ไว้ด้วย” แล้วผมก็ถามด้วยเสียงดังๆ ว่า
“หนูเป็นใคร....มาทำไมในห้องนี้?”แม่หนูตอบว่า “หนูเคยป่วยในห้องนี้ และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว”โดยผมจะคอยทวนคำตอบ ดัง ๆ ....ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด....“เอ้อ! หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้....หนูเป็นอะไรตาย?” “ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ”ภรรยา และพยาบาลช่วยกันจดใหญ่.... “หนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?” “ตาหนูเป็นพระยาค่ะ” ชื่อของท่านขึ้นต้นด้วยตัว.. “อ”.. ลงท้ายด้วย ..“สิริ”
ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินกันทุกคน....
“งั้นหนูก็เป็นหลาน....” ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออก แล้วพูดออกมาว่า....
“หลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ?”หนูคนนั้นก็ตอบว่า “ใช่ค่ะ! คุณอาเก่งมาก” “แล้วพ่อของหนูล่ะ?”“คุณอาไม่รู้จักหรอกค่ะ” ผมถามต่อไปว่า “หนูมีพี่น้องกี่คน?” “มีสามคนค่ะ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว” ผมทบทวนคำพูดดังๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย....
“หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ” “หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อปีหลายที่ตึกเด็ก.... เขาบอกว่าเขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เขาอยากจะมาหา ....และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ”
จากนั้น คุณแม่หนูอ้วนก็หายไป.... หายวับไปเลย