ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ งานบุญ งานกุศลต่าง ๆ ทางนี้เลยครับ
พฤหัสฯ. 08 ม.ค. 2009 8:05 pm
พฤหัสฯ. 08 ม.ค. 2009 8:42 pm
ประวัติโดยสังเขปของหลวงปู่จันทา ถาวโร
ชาติภูมิิ
หลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นบุตรของ นายสังข์ ไชยนิตย์ และนางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ท่านถือกำเนิดในวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ ณ หมู่บ้านแดง ต.เหนือ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๖ คน ดังนี้
๑) นายนู ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๒) นางต่วน ชมภูวิเศษ
๓) นายแก้ว ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๔) หลวงปู่จันทา ถาวโร
๕) นายบุญ ไชยนิตย์
๖) นายน้อย ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
ลูกกำพร้า
หลวงปู่เล่าเรื่องชีวิตในวัยเด็กไว้ว่า “อย่างข้าพเจ้านี้มันก็แสนทุกข์ยากลำบากเกิดมาชีวิตน ี้ คิดแล้วน้ำตาไหล พออายุได้ ๗ ปี ได้น้อง ๒ คน แม่ก็ตาย เพราะกินผิด คือ แม่เอาอาหารไปถวายพระตอนเพล แล้วไปกินป่นปลากับผักผีพวย นั่นแหละก็เลยผิดกรรมเสีย เมื่อผิดกรรมแล้วทำอย่างไร สมัยนั้นหมอยาก็มีแต่ยารากไม้ รักษาไม่ได้ ผลสุดท้ายก็เลยตาย”
ก่อนตาย แม่ก็สั่งว่า “ลูกคนเล็กๆ ๓ คนนี้ให้แม่ป้าพ่อลุงเอาไปเลี้ยง เพราะเขาเป็นเชื้อผู้ใหญ่ และมีเรือนอยู่ติดกัน ส่วนลูกคนโตๆ นั้น ให้อยู่กับน้าบ่าวน้าสาว”
พอแม่ตาย พ่อก็เลยไปเอาเมียใหม่มาเลี้ยง ให้เมียใหม่มาช่วยเลี้ยงลูก แม่ใหม่กับลูกสาวก็เหมือนหมากับแมวนะ ลูกสาวก็ด่าเอาว่า “มึงไม่ใช่แม่กู อย่ามาทำสำออยเจ้าน้อย ให้กูตักน้ำมาให้อาบ ไม่ดอก” นั่นแหละ ผลสุดท้ายก็เลยแตกกัน เหมือนนกแตกรังเหมือนควายแตกคอก พ่อก็เลยไปอยู่กับแม่ใหม่เสีย แหม...ทีนี้ ก็เร่ร่อนสัญจรไปไหนมาไหนก็แสนทุกข์ยากลำบาก ทำงานหากินเลี้ยงชีพ
ได้เมียแม่หม้าย
พอเติบใหญ่ อายุได้ ๒๓ ปี เขาก็บังคับให้มีครอบครัว แต่แล้วครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร ได้แม่ร้างแม่หม้าย ลูก ๓ ผัวเขาตาย เหลือแต่ของไม่ดีนั่นแหละ ของดีเขาเอาไปกินหมดแล้วสมขี้หน้าไหมเล่า แต่แล้วเราก็เหมือนกับแมว หญิงหม้ายนั้นเหมือนกับสุนัขตัวใหญ่ มันก็คั้นคอเอาอย่างนั้นทุกวัน นั่นแหละเพราะบุญพาวาสนาส่งไม่ดี ผลสุดท้ายก็เลยแยกทางกัน
เหตุที่แยกกับภรรยานั้น หลวงปู่เคยพูดว่า “วันหนึ่งสะพายข้องและแหไปหาปลา หว่านแหดำน้ำหาปลาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ได้ปลาสักตัว ดำน้ำจนตาแดงกล่ำ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ตอนเย็นเดินคอตกกลับบ้านไม่ได้อะไร พอเห็นหน้าภรรยาสุดที่รัก ก็พูดบอกให้ฟัง แทนที่จะเห็นใจ กลับขู่ตะคอกต่อว่า หาว่า ไปมัวเถลไถลเที่ยวเล่น จนมืดค่ำ แล้วภรรยาก็เอาเครื่องมือหาปลามีข้องและแห เป็นต้น ถลกผ้าถุงปัสสาวะใส่ต่อหน้าต่อตา เห็นแล้วก็เกิดความสลดสังเวชอย่างใหญ่หลวง คิดว่า โอ๋...เมียเราทำไมทำได้ขนาดนี้ ทำถึงขนาดนี้แล้ว อยู่ด้วยกันไปก็ไม่เป็นมงคลอะไรจึงตัดสินใจแยกทางกับ เมีย อย่างเข็ดหลาบ”
ทีนี้จะทำอย่างไรเล่า ทำอะไรก็ไม่ทันสมัยกับเขา เลี้ยงแต่ควาย ทำแต่นา ทำอะไรก็ไม่ดีกับเขาสักอย่าง สร้างโลก (มีครอบครัว) ก็สร้างแล้ว มีแต่จมกับจม สิ่งใดก็ไม่ดีทั้งหมดผลสุดท้ายก็มาคิดว่าทำอย่างไรมันจึงจะดี
เหตุแห่งการบวช
ก็มาคิดปรารภถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้านั่นแหละ คิดถึงแม่เวลาใด น้ำตาไหลนะ ถามนักปราชญ์ทั้งหลายว่า ทำอย่างไรจึงจะตอบแทนบุญคุณแม่ได้ นักปราชญ์ท่านก็ว่า จะทำนาค้าขายตอบแทนก็ไม่ได้ดอก มีแต่ออกบวชเท่านั้นแหละ บวชแล้วบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
ทีนี้ก็เลยตั้งใจใฝ่ฝันว่าจะบวช บำเพ็ญบุญให้แม่สัก ๒ - ๓ พรรษา แล้วก็จะสึก จากนั้นก็เข้าวัดฝึกหัดขานนาค เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนไม่เป็น อ่านไม่ออก นั่นแหละ มันปึก (โง่) จึงท่องไม่ได้ ท่องแล้วท่องเล่า จนจะถอยหลังนะ เอ้าตั้งใจใหม่ โอ๋...คนอื่นเขายังได้เว้ย ! เอาวันละคำนะ “เอสาหัง ภันเตฯ...” อยู่นั่นแหละ มักน้อยเอาวันละคำก็เลยได้ เข้าวัดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พอขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ (พฤษภาคม) จึงได้บวช ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยมี หลวงปู่หนู ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่ที่วัดบ้านปลาฝา ซึ่งเป็นวัดฝ่ายมหานิกายมาบวชให้ แล้วจำพรรษาอยู่วัดบ้านขมิ้น ๑ พรรษา จากนั้นจึงมาจำพรรษาที่วัดศรีจันทร์ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านแดงมีหลวงปู่นัน ตาปโส เป็นเจ้าอาวาส
อุทิศบุญให้แม่
หลวงปู่เล่าว่า พอบวชแล้วออกจากโบสถ์มาก็อุทิศส่วนบุญให้แม่เลย “บุญที่ข้าพเจ้าบวชในวันนี้ ขอฝากแต่แม่เจ้าธรณีเทพเจ้าเหล่าเทวา นำบุญนี้ไปให้แม่ข้าพเจ้า มีนามว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตของเขานั้น ไปอยู่สถานที่ใด ไปตกนรกก็ดี หรือไปมนุษย์ก็ดี หรือไปเป็นเปรต เป็นผี ก็ดี ขอให้ได้รับส่วนบุญนั้น ขอให้พ้นทุกข์ ให้กลับมาเกิดในตระกูลเดิม จะได้เห็นอำนาจในการบำเพ็ญบุญ ส่วนผู้นำข่าวบุญไปนั้น ก็ขอแบ่งส่วนบุญให้”
จากนั้นก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยืนภาวนา เดินจงกรม วันยังค่ำ บางกาลสมัย ๕ ปีนะ ไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน เดิน ยืน นั่ง เท่านั้นแหละ ๔ - ๕ วัน ฉันครั้ง เพราะวิตกวิจารณ์ใจ กลัวว่าจะได้บุญน้อย จะไม่ไปช่วยเหลือแม่ นั่นแหละ ก็ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ
จากนั้นมาก็ปฎิบัติธรรมมิได้ขาดจนล่วงถึงพรรษาที่ 9 (พ.ศ.2501)ได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ซึ่งคงไม่ต้องบรรยายอิทธิคุณพระอริยะอย่างหลวงปู่ขาวทุกท่านคงทราบดี ก็ปรนนิบัติพร้อมกับรับการชี้แนะเกี่ยวกับการปฎิบัติธรรมเรื่อยมาซึ่งระหว่างอยู่วัดถ้ำกลองเพล ก็มีพระปฏิบัติธรรมสนทนาธรรมและชี้แนะกับท่านหลายรูปเช่น หลวงปู่พหรม จิรปุญโญ ศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น,ท่านอาจารย์บุญ,ท่านอาจารย์สิงห์ทอง,ท่านอาจารย์เพียร,ท่านอาจารย์สุวัฒน์,ท่านอาจารย์บุญเพ็ง,ท่านอาจารย์คำบุ บ้านเหล่าเขว้า จ.อุบลราชธานีและอีกหลายๆองค์ จึงจะเห็นได้ว่าหลวงปู่เป็นพระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบแค่ไหน
อยู่วัดป่าเขาน้อย
ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2523 พ่อใหญ่โฮม อารีเอื้อ(ญาติหลวงปู่)และชาวบ้านทุ่งโม่งพร้อมใจกันไปกราบนมัสการและนิมนต์ หลวงปู่จันทา ถาวโร หลายครั้งหลายหน เพื่อให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าเขาน้อยซึ่งขณะนั้นไม่ค่อยมีพระอยู่ประจำสักเท่าไหร่ แต่ท่านหลวงปู่ก็ไม่ได้รับปาก ด้วยว่าในระยะนั้น องค์ท่านหลวงปู่ขาว องค์ท่านอยู่ในช่วงชราภาพมากแล้ว อีกทั้งยังอาพาธเจ็บป่วยอยู่ หลวงปู่จันทาเวลานั้นท่านก็เป็นพระผู้ใหญ่วัดถ้ำกลองเพล และท่านมีความเคารพเทิดทูนในองค์หลวงปู่ขาวอย่างยิ่งยวด จึงมีความตั้งใจที่อยู่อุปัฎฐากปรนนิบัติรับใช้ในองค์ท่าน ไปจนราบเท่ามรณกาล ท่านจึงไม่ยินดีปลีกตัวออกจากวัดถ้ำกลองเพลเวลานั้น ชาวบ้านจึงพากันกลับไป จนถึงสมัยปี พ.ศ.2528 หลังจากหลวงปู่ขาว อานาลโย มรณภาพแล้ว(พ.ศ.2526) ตลอดจนพระราชทานเพลิงศพสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อย่างสมเกียรติและยิ่งใหญ่สุดพรรณนา
บรรดาญาติโยมที่ยังไม่ละความพยายามนิมนต์หลวงปู่มาพำนักเป็นหลักวัดป่าเขาน้อย(พอดีช่วงนี้เจ้าอาวาสว่างลง) ก็นิมนต์หลวงปู่อีกครั้ง ซึ่งหลวงปู่เห็นว่าภารกิจเกี่ยวกับการพระราชทานเพลิงศพองค์หลวงปู่ขาว อนาลโยเสร็จแล้วและที่วัดถ้ำกลองเพลนี้ยังมีหลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต เป็นหลักให้กับวัดอยู่แล้วการนี้ท่านจึงรับปากกับญาติโยม จึงเป็นที่มาขององค์หลวงปู่มาอยู่วัดป่าเขาน้อย ซึ่งการมาครั้งนี้ท่านยังได้นำพาคณะสหธรรมมิก อันมี หลวงปู่อ่ำ ธัมมกาโม,หลวงปู่สม(ไม่ทราบฉายา)และพระอาจารย์ปรีชามาด้วย.
และข้าพเจ้าขอจบชีวประวัติหลวงปู่เพียงเท่านี้ก่อน โอกาสหน้าถ้าชอบจะมาลงอีกขอรับ สวัสดี
ข้อมูลบางส่วนจาก 83 ปี หลวงปู่จันทา ถาวโรและธรรมพเนจร
การใดล่วงเกินหลวงปู่จันทา ถาวโร และผิดพลาดประการใด ขอหลวงปู่อภัยให้ลูกด้วย
ท้ายนึ้ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของเว็ปผู้อารีย์ไว้ล่วงหน้าและขออภัยท่านที่เกี่ยวข้องและบทความของท่านโดยมิได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ขอบคุณ
ขอบคุณอาจารย์รณธรรม ธาราพันธุ์ ผู้ชี้แนะเพราะหากไม่มีท่านเกล้ากระผมคงไม่รู้จักหลวงปู่ผู้เป็นพระอริยะเป็นแน่แท้ ขอบคุณทุกๆท่านที่เสียสละเวลาอ่านและร่วมบุญกัน ขอบคุณ
ศุกร์ 09 ม.ค. 2009 1:02 am
อนุโมทนาด้วยนะครับ คุณ nongmai จิตใจงาม จริง ๆ
อู๊ดจดเลขบัญชีไว้แล้วครับ ขอร่วมมหาบุญในครั้งนี้ด้วยคนจร้า
ศุกร์ 09 ม.ค. 2009 8:31 am
ขอบคุณมากเลยครับ ที่แจ้งข่าวบุญดีๆครับ
ศุกร์ 09 ม.ค. 2009 10:48 pm
อนุโมทนาบุญด้วยกับทุกคนค่ะ
ร่วมทำบุญด้วยแน่นอนค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ
ศุกร์ 09 ม.ค. 2009 11:59 pm
ขอบพระคุณครับ ต้องไม่พลาดรายการบุญนี้ด้วยเช่นกัน
เสาร์ 10 ม.ค. 2009 1:04 am
อนุโมทนาด้วยครับ
จะรีบดำเนินการเลยครับ ตามบัญชีที่คุณ nongmai ได้ลงไว้
ขอบพระคุณมากครับ
เสาร์ 10 ม.ค. 2009 7:26 pm
เสาร์ 10 ม.ค. 2009 10:39 pm
ขอบคุณทุกๆท่านแทนหลวงปู่ครับ ขอ
บุญจงรักษาครับ ยืนยันบัญชีอีกครั้งครับ และไม่แน่นะครับสมาชิกที่โพสท์ไว้
อาจจะนะครับ อาจจะได้หนังสือธรรมะหลวงปู่ ถ้าผมมีโอกาสไปอีกครั้งและไม่หมดเสียก่อนผมจะขอครูบาให้ครับ


- ถาวโร.jpg (62.98 KiB) เปิดดู 2064 ครั้ง
จันทร์ 12 ม.ค. 2009 11:42 am
ขอบพระคุณและอนุโมทนาด้วยครับ
อังคาร 13 ม.ค. 2009 10:52 pm
ร่วมบุญเรียบร้อยแล้วครับ
พุธ 14 ม.ค. 2009 9:04 am
โอนทำบุญเรียบร้อยแล้ว
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ
ศุกร์ 23 ม.ค. 2009 1:36 pm
อนุโมทนากับบทความดีๆด้วยครับ
พฤหัสฯ. 07 เม.ย. 2011 9:05 pm
มาอัพเดท ความคืบหน้าขอรับ แบบร้อนๆ

- RIMG0037.JPG (135.12 KiB) เปิดดู 1760 ครั้ง
ท่านใดที่ศรัทธาองค์หลวงปู่ ยังทำบุญได้เรื่อยๆนะครับ ยังเหลืออีกเยอะเสียดาย
อยากถ่ายรูปหลวงปู่มาให้ชมกันแต่ดูแล้วไม่สมควรเท่าไหร่ กลัวหลวงปู่เอ็ดเอา
๑๕ เม.ย. ๒๕๕๔ นี้ใครอยู่ใกล้เชิญที่วัดครับมีงานก่อกองทราย อาจมีของดีให้ท่านบูชานะครับ

- RIMG0042.JPG (145.13 KiB) เปิดดู 1638 ครั้ง
พฤหัสฯ. 07 เม.ย. 2011 9:18 pm
พฤหัสฯ. 07 เม.ย. 2011 11:34 pm
ขออนุโมทนา และขอขอบพระคุณที่แจ้งข่าวดีด้วยครับ
ศุกร์ 08 เม.ย. 2011 5:22 am
ขอบพระคุณมากครับ ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของคุณnongmaiด้วยนะครับ
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.