เสาร์ 21 มี.ค. 2009 11:59 pm
ไม่ลืมครับ ที่เคยบอกจะนำประสพการ์ณเกี่ยวกับท่านย่าที่มีต่อผมมาเล่าให้เพื่อนๆชาวเวป n ได้รับรู้กัน
จริงๆแล้วเรื่องความฝ้นในวันนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆถ้าเทียบกับเรื่องนี้ซึ่งผมถือว่ามีสำคัญกับชีวิตผมเลยเชียวครับ. เริ่มเลย..
ผมได้รู้จักท่านย่าเฒ่าจากการที่ได้เข้ามาอ่านในบอร์ด อาจารย์ ธรรมนูญ สำนักสักยันต์ บัวแปดกลีบ ในกระทู้ที่ว่าเกี่ยวกับเรื่องราวของท่านย่าเฒ่า ของท่าน อ. รณธรรม ต้องขอบอกก่อนว่า ผมเป็นคนที่ชอบไปวัดทำบุญหรือ ไปไหว้เทพเจ้าที่ศาลเจ้าต่างๆ เพราะรู้สึก เบาใจ สบายใจ ที่ได้ไป แต่กับคำว่า สำนักสักยันต์ นี่สิ ฟังแล้วมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องของวิชา อาคม นักเลงหัวไม้ ที่ชอบไปทะเลาะวิวาทกัน ตีกัน แล้วก็มาอวดมาอ้างว่า ข้ามีดีอย่างนู๊น อย่างนี้ ผมเชื่อว่าบุคคลทั่วไปก็คงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผมที่ได้ยินคำนี้ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องหนักๆ ไม่เหมือนไปวัด แต่ความคิดนี้มันก็ขัดแย้งกันอยู่นะครับ สำหรับท่านที่ได้เข้าไปอ่านใน บอร์ดธรรมทรรศนะ,บทความและความรู้ จะเห็นว่า มีเรื่องราวบทธรรมของพระอริยะอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นประวัติ คำสอน โอวาทธรรมต่างๆ เรื่องราวการสร้างวัตถุมงคล รวมไปถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้นำมาตีแผ่ให้รับทราบรับรู้ ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์และสาระทั้งสิ้น โดยส่วนใหญ่แล้วก็มาจากผู้ที่ได้เคยไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นลูกศิษย์ที่สำนักแห่งนี้เกือบทั้งหมดแหละครับ ดังคำที่ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องอยู่คู่กับความดี ผู้ที่ทำความดีก็จะได้รับความคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ ธรรมนูญ ท่านสอนให้ศิษย์ทุกคนเป็นคนดีอย่างเดียวก็หาไม่ครับ ท่านให้สาบานเลยครับ ว่าจะต้องประพฤติตนอย่างไรถึงจะดี ถ้าไม่เช่นนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านลงให้ก็จะไม่คุ้มครองคนนั้นถ้าไปประพฤติผิดคำสาบาน อาจารย์เล่าว่า บางคนก็สติวิปลาสบ้าง เลื่อนๆลอยๆบ้าง และสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้ศิษย์ทุกคนประพฤติ ปฏิบัติดี มีคุณธรรม ก็คือ ท่านย่าเฒ่า ครับ. สำนักสักยันต์ทั่วไปก็จะมีพ่อปู่ ฤษี ต่างๆ มากมาย เป็นที่เคารพสักการะ แต่ที่นี้มี ท่านย่าเฒ่าผิว อยู่ด้วยครับ เปรียบเสมือนกับพลังหยินหยาง คือมีทั้งความอ่อนและแข็งอยู่ในสำนักนี้ นี่จึงเป็นความสมดุล ทั้งเมตตาและอิทฤทธิ์ควบคู่กันไป นี่จึงเป็นจุดสนใจของผมที่อยากเข้ามาสัมผัสรู้จักท่านย่ามากขึ้น มากกว่าการได้อ่านในกระทู้ ได้ดูในรูปเฉยๆ เพราะเคยแต่ได้ยินเค้าว่าไปไหว้ ปู่องค์นู๊น ปู่องค์นี้ เพิ่งจะยินคำว่า ท่านย่าเฒ่า ก็ที่นี่แหละครับ ได้ยินชื่อ ท่านย่าเฒ่าครั้งแรก ทำให้ผมนึกถึงคุณยายหรือที่ผมเรียกว่าอาม่า เพราะตอนเป็นเด็กอายุ 2 -5 ขวบ ผมก็มีอาม่าคอยเลี้ยงดูผมมาในช่วงนั้น ผมยังจำได้ดีมันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นมาก อาม่าคอยปกป้องเราจากทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นยันหลับเลยก็ว่าได้
- re1[1].jpg (36.67 KiB) เปิดดู 1847 ครั้ง
ครับ.ตอนแรกที่มาก็กราบไหว้สักการะด้วย ดอกไม้ ธูปเทียน (ควรหาซื้อพวงมาลัยสวยๆมาเองนะครับเพราะแถวนั้นไม่มีขาย ผมต้องจ้างมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปซื้อในตลาดบ้านสวน) เสร็จแล้วก็นั่งสนทนากับอาจารย์สอบถามความเป็นไปเป็นมาของท่านย่าเฒ่า ก็ทราบว่าท่านย่าเฒ่า ท่านบวชเป็นภิกษุณีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลคือ สองพันกว่าปีก่อนมาแล้ว เพื่อต้องการสำเร็จในมรรคผลตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนรายละเอียดก็หาอ่านในกระทู้ที่อ.ต่อได้ลงไปแล้ว เพราะผมเองก็ไม่มีความรู้ที่จะลงเป็นสำนวนได้ดีได้เข้าใจไปกว่าท่าน จึงไม่ขออธิบายไปมากกว่านี้ จากนั้นก็ได้นั่งสนทนากับอาจารย์ต่ออีกประมาณ 2-3 ชั่วโมง จึงได้ลาท่านกลับ แต่ก่อนกลับ ผมก็ได้เข้าไปอธิฐานจิตบอกกล่าวกับท่านย่าเฒ่า เกี่ยวกับการงาน ปัญหาต่างๆให้ท่านฟัง ให้ท่านรับรู้และขอให้ท่านเมตตาช่วยหลานคนนี้ด้วย และในขณะที่กำลังอธิฐานจิตอยู่ก็รู้สึกเย็นๆตรงหน้าผากประกอปกับจิตสงบนิ่งดีมากครับ. ( มีความรู้สึกว่าท่านรับรู้ในปัญหาของผม)
ในขณะที่ผมกำลังขับรถกลับกรุงเทพฯ ก็นั่งคิดอะไรเพลินๆ รวมทั้งคิดว่าจะต้องมากราบท่านย่าเฒ่าอีกแน่ เพราะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความเมตตาของท่านและทำให้มีกำลังใจมากขึ้นในการต่อสู้กับพิษเศรษฐกิจ การงาน การเงิน การแข่งขัน ปัญหาการตกงาน ยิ่งฟังข่าวก็ยิ่งหดหู่ใจนัก และกำลังคิดว่าจะเอาอะไรมาไหว้ท่านดี นอกจาก ดอกไม้ ธูปเทียน ในขณะที่กำลังคิดอยู่ก็มีภาพของดอกบัวสีชมพูเป็นพานพุ่ม 1 พาน เข้ามาในความคิด ทำให้ผมตัดสินใจได้ว่าจะนำอะไรมาถวายท่านย่าเฒ่าและคิดเอาเองว่าท่านคงโปรดดอกบัวสีชมพู จึงได้มาดลจิตให้คิดถึงภาพของดอกบัวสีชมพู
หลังจากนั้นไม่กี่วันผมมีธุระต้องขึ้นมาชลบุรีในวันรุ่งขึ้นก็เลยไปปากคลองตลาดซื้อดอกบัวสีชมพูมาทำพานพุ่มเพื่อจะแวะไปถวายท่านย่าเฒ่า เช้าวันนั้นผมแวะไปถวายท่านย่าเฒ่าก่อน ไปถึงเห็นอาจารย์นั่งสวดมนต์อยู่ แต่อาจารย์ก็ลืมตาขึ้นมามองผมที่ยืนถือพานดอกบัวอยู่ ท่านยิ้มด้วยความเมตตาและเรียกให้เข้ามาข้างใน จากนั้นผมก็รีบถวายท่านย่าเฒ่า และไม่อยากรบกวนท่านสวดมนต์ ผมจึงขอลากลับโดยบอกว่าต้องรีบไปงานบวชที่วัดอ่างศิลาเดี๋ยวไม่ทันเวียนรอบโบสถ์ ขณะที่จะก้าวเดินออกมา อาจารย์ได้มอบรูปหล่อท่านย่าเฒ่าให้ผม 1 องค์ พร้อมกับบอกว่า “ท่านให้มอบกับคุณน่ะ” ผมเลยถามอาจารย์ว่าบูชาเท่าไหร่ครับ แต่อาจารย์ก็บอกว่า ไม่ต้องหรอก ท่านต้องการให้คุณ (เป็นรูปหล่อขนาดห้อยคอ)
ช่วงบ่ายหลังจากเสร็จพิธีบวชออกจากวัดผมก็ตรงไปกราบท่านย่าเฒ่าอีก เพราะในช่วงเช้านั้นผมยังไม่ได้อธิฐานอะไรเท่าไหร่เลย และต้องการพูดคุยกับอาจารย์ให้มากขึ้นด้วย
ผมนั่งคุยอยู่หลายต่อหลายเรื่อง มีตอนหนึ่ง อาจารย์เปรยว่า “ท่านย่าเฒ่า ท่านชอบคนขยัน คนทำงาน” ผมสดุ้งขึ้นในใจเหมือนอาจารย์จะรู้ ว่าผมมาหาท่านย่าเฒ่าก็เพราะเรื่องงานนี่แหละ ครับ. ผมมาของานท่านย่าเฒ่าครับ ผมบอกสารภาพกับอาจารย์ อาจารย์บอกว่า ท่านย่าเฒ่า ท่านเมตตามากนะ คุณตั้งใจอธิฐานให้ดี เพราะแรงอธิฐานมีอานุภาพมากมายมหาศาล ตั้งใจให้ดีเถอะ ไม่ผิดหวังหรอก ผมบอกกับอาจารย์ว่า ผมทำงานรับเหมาเล็กๆน้อย
สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ผมว่างงานมานาน อยากให้ท่านช่วยให้ได้รับงานโครงการใหญ่ๆและมั่นคงซักที่หนึ่ง อาจารย์บอกว่า คุณต้องกำหนดเวลาไปเลยให้ได้ภายในเมื่อไรอย่างไร และกลับบ้านก็หมั่นอธิฐานบอกกับท่านย่าเฒ่าด้วย กันลืม ก่อนนอนวันนี้ก็ให้คุณจุดบอกต่อท่านแล้วปักไว้ที่หน้าบ้านด้วย.
หลังจากที่ได้รูปหล่อท่านย่าเฒ่ามา ก็ได้อาราธนาท่านขึ้นคอมาตลอด กาลเวลาก็ผ่านไป โดยที่ไม่มีวี่แววว่าจะได้งานจากที่ไหนเลย และแล้วโอกาสก็เข้ามาครับ . เปรียบเสมือนในท่ามกลางความมืดมิดมาหลายปี จู่จู่ก็มีแสงสว่างเล็กๆเกิดขึ้น.
หลังจากวันงานครบรอบมรณภาพของท่านเจ้าคุณนรฯไม่กี่วัน ผมก็ได้เข้าไปร่วมงานทำบุญบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านแห่งนั้น และมาทราบตอนหลังว่าเจ้าของบ้านทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีเสถียรภาพมั่นคงที่สุดแห่งหนึ่ง และผมเองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านเจ้าสัวอยู่พักหนึ่งด้วย และรู้ว่าท่านกำลังจะขึ้นโครงการใหญ่ในต้นปีนี้ด้วย ท่านถามผมว่าผมทำงานอะไร ผมก็เลยพูดกับท่านตรงๆว่า ถ้ามีโอกาสผมอยากจะมีส่วนได้เข้าร่วมทำงานในโครงการของท่าน เจ้าสัวบอกว่าให้เอานามบัตรมาให้ท่าน แล้วผมก็เดินไปเอานามบัตรของผมที่รถ แต่พอกลับมาก็ไม่มีโอกาสได้เข้าถึงตัวท่านอีกเลยเพราะรอบตัวท่านมีผู้รายล้อมเข้ามาหาท่านมิได้ขาด เลยไม่ได้ฝากนามบัตรไว้ให้ท่านเจ้าสัวท่านนี้เลย
ผมกลับบ้านมาคิดว่า ก็คงจะพลาดเหมือนที่ที่ผ่านมาเช่นเคย แต่ก็ยังหวังในคำอธิฐานที่มีต่อท่านย่าเฒ่าตลอด
ผมพิมพ์ถึงตรงนี้แล้วปล่อยพักไว้โดยไม่ได้กลับมาเปิดดูอีกเป็นเดือน แต่มาถึงวันนี้ทำให้ผมต้องมาพิมพ์ต่อให้เสร็จเพราะเมื่อวานนี้ผมเพิ่งไปรายงานตัวรับงานจากท่านเจ้าสัวท่านนี้เรียบร้อยตามที่ได้อธิฐานของานจากท่านย่าครับ
หลังจากวันนั้นเวลาที่ผมเดินทางไปทำธุระที่ชลบุรี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวันอาทิตย์ผมจะแวะเข้าไปกราบท่านย่าเฒ่าที่สำนักทุกครั้ง วันหนึ่งท่านอาจาร์ยธรรมนูญได้ถามผมเกี่ยวกับเรื่องงานที่ผมได้ขอกับท่านย่าเฒ่าไว้ว่าเป็นอย่างไร คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ผมก็ได้บอกอาจาร์ยไปว่า ยังไม่รู้เลยครับอาจาร์ยแต่วันนี้ผมจะเดินทางไปพบกับอาแปะคนนึงเพื่อขอร้องให้อาแปะเค้าพาผมไปคุยเรื่องงานกับท่านเจ้าสัวเพราะผมรู้ว่าอาแปะคนนี้แก่มีความสัมพันธ์ใก้ลชิดกับท่านเจ้าสัวครับ จากนั้นอาจาร์ยก็ถามเกี่ยวกับวันเดือนปีเกิดของผมคร่าวๆ แล้วจู่จู่อาจาร์ยก็บอกว่า ไปเถิดวันนี้เป็นวันดีถูกโฉลกกับแรงวันเกิดของคุณ คุณไปวันนี้ก่อนจะเข้าไปพบกับใครที่คิดไว้ให้ท่องในใจว่า “จิดตัง มะมะ” ตลอดนะแล้วคุณจะประสพกับความสำเร็จ ไปเถอะแล้วจะดีเองท่านบอก
- Copy (2) of 22022009112.jpg (62.49 KiB) เปิดดู 1849 ครั้ง
ครับคงไม่กล้าถามอาจาร์ยหรอกครับท่านเป็นใคร แต่ก็เป็นจริงตามที่ท่านบอกจริงๆครับ
ผมลืมบอกไปว่าอาแปะคนนี้แกทำงานที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง วันนั้นผมไปถึงศาลเจ้าและตั้งใจไปหาอาแปะคนนี้ แต่ไม่เจอครับ คนที่ผมเจอดันเป็นท่านเจ้าสัว ท่านยืนดื่มน้ำพักร้อนอยู่และมองเห็นผมพอดี ผมตกใจเล็กน้อยที่เจอท่านก่อนจะเจออาแปะและยกมือไห้วท่าน ท่านก็ทักทายและเลี้ยงน้ำผม จากนั้นผมก็ได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องงานกับท่านอีกพักนึงพร้อมกับในใจก็ท่อง “จิตตัง มะมะ” ไปตลอด ในตอนท้ายของการสนทนานั้น ท่านบอกให้ผมไปหาท่านที่ไซด์งานในช่วงกลางเดือนมีนาคม
เมื่อวานนี้ผมเพิ่งไปรายงานตัวกับท่านเจ้าสัวที่ไซด์งานมาประกอบกับท่านกำลังรับประทานอาหารอยู่ได้ให้สถาปนิกใหญ่มาเรียกผมที่รถให้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน เสร็จแล้วก็ได้พูดเรื่องงานเป็นที่เรียบร้อย และก็สำเร็จตามที่ได้อธิฐานกับท่านย่าเฒ่าไว้ครับ เป็นอันว่าผมได้รับงานโครงการนี้เป็นที่เรียบร้อยครับ แล้วพรุ่งนี้ก็จะเดินทางไปกราบย่าเฒ่าที่สำนักครับ.
แล้วท่านล่ะ..
ส่วนเรื่องความฝันขอยกยอดไว้คราวหน้าครับ