Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ทำบุญทุกวัน

ศุกร์ 07 ก.ค. 2017 4:59 am

"บุญ"

ถ้าทำบุญทุกวัน รับรองได้ว่าตายไปนี้ไม่ต้องมารอรับส่วนบุญของผู้อื่น ผู้ที่มารอรับส่วนบุญนี้เป็นพวกที่ทำบุญน้อยหรือไม่ทำเลย บางพวกก็ไม่ยอมทำบุญเลย วันเกิดก็ไม่ทำ วันพระวันปีใหม่ก็ไม่ทำ วันอะไรก็ไม่ทำทั้งนั้น เอาเงินไปกินไปดื่มไปเที่ยวไปเล่นกันดีกว่าสนุกกว่าสบายกว่า พวกนี้แหละเป็นพวกที่จะต้องมาคอยรับส่วนบุญ ถ้าเรายังรักเขาอยู่เป็นห่วงเขาอยู่เวลาเราทำบุญเราก็อุทิศบุญไปได้ การอุทิศบุญนี้ก็ไม่ต้องใช้น้ำไม่ต้องกรวดน้ำ บุญไม่ใช่น้ำ เพราะเอาน้ำมาเป็นตัวอย่างของบุญว่าเวลาเราเทน้ำลงไปนี้เหมือนกับเราเทบุญลงไป ส่งบุญไป บุญเป็นเหมือนกระแสน้ำ ความจริงบุญก็คือกระแสของความสุขที่เราส่งให้แก่ผู้อื่นนั่นเอง เรียกว่าเป็นการอุทิศบุญ ไม่ต้องมีน้ำ เพียงตั้งจิตอธิษฐานว่าขอแบ่งบุญแบ่งกุศลส่วนนี้ให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมีชื่อนั้นชื่อนี้ว่าไป ต้องบอกชื่อถ้าไม่บอกเขาก็จะไม่สามารถมารับได้ เพราะไม่รู้ว่าจะให้ใคร นี่คือบุญที่เกิดเวลาที่เราทำบุญ และเราเป็นห่วงเป็นใยในบุคคลที่เรารักเคารพที่ล่วงลับไปแล้ว กลัวเขาจะเดือดร้อน กลัวเขาเป็นขอทาน ถ้าเขาเป็นขอทานถ้าเราส่งบุญนี้ไปก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเขาได้

แล้วบุญเสริมอีกข้อหนึ่งก็คือ การอนุโมทนาบุญ การอนุโมทนาบุญก็คือให้เราร่วมทำบุญเวลาเห็นผู้อื่นเขาทำบุญด้วย หรือให้สนับสนุนการทำบุญของผู้อื่น อย่าไปขัดขวางการทำบุญ เพราะการทำบุญนี้มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ทั้งกับผู้ทำและแก่ผู้อื่นผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่บางทีเราไม่ชอบ เราไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะคนที่เรารักชอบทำบุญ เวลาเขาทำบุญแทนที่เราจะอนุโมทนาเรากลับไปขัดขวางเขา อันนี้ไม่ถูกเพราะว่าเป็นการขัดขวางการรับประทานอาหารของเขา บุญนี้เป็นอาหารของใจ เขาทำแล้วเขามีความสุข เขาได้พัฒนาจิตใจของเขาให้สูงขึ้น ให้ไปสู่พระนิพพานในที่สุด เราจึงไม่ควรที่จะไปขัดขวาง.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๐

"บุญ"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







"เพ่งเข้าไปที่จิต"

"จิต" อันนี้มัน "ปิดบังมรรคผลนิพพาน" ไว้ "ทำลายจิต" ลงไปอีก "จิตแตกสลาย" ออกไปแล้ว "ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน" "ทำลาย" ให้เป็น "ของว่าง" ทำลายให้หมดให้สิ้น

"ให้มีสติธรรม" ให้มัน "ว่างไปหมด" จิตก็เป็นอนัตตา, ธรรมก็เป็นอนัตตา, ให้ มีสติ, มีสติ, มีสติ, ให้มีสติอยู่เสมอ, "ไม่เผลอสติ"

"ดูลงไปที่จิต"
"เพ่งเข้าไปที่จิต ๆ ๆ" เพราะมันเกิดจากที่นี่ทั้งนั้น, "ตัวหลง" ก็ "จิตตัวนี้หลง"

หลวงปู่แบน ธนากโร.
วัดดอยธรรมเจดีย์








"ไอ้คนเรานี้ มันก็แปลก
ชอบเอาลมปาก เผากัน
เอาไฟกิเลส โมหะ โทสะ
ราคะ เผากัน

เผาตนเอง เผากาย
เผาใจตนเอง ยังไม่พอ
ชอบเผื่อแผ่ ไปเผาชาวบ้าน
ชาวช่อง เขาด้วย
เผาจิต เผากายของเขา

มันสนุกหรืออย่างไร
วิสัยชาวโลก ชอบนินทา - สรรเสริญ
ไฟร้อน ไฟเย็น ก็เผาได้เผาดี”

-:-หลวงปู่บุดดา ถาวโร-:-








"ถ้าคุณคิดว่า เรื่องนี้มันเป็นปัญหา
มันก็เป็นปัญหา ปัญหามันจะใหญ่ หรือเล็ก
มันขึ้นอยู่กับว่า เราให้ความสำคัญ มันแค่ไหน

ถ้าคุณไม่ไปหมกมุ่น ไม่เอาใจไปฝักใฝ่กับมันมาก
ตั้งสติขึ้นมา คุณจะเห็นทางออกของปัญหา
ขณะที่คุณประสบกับปัญหาอยู่ คุณก็เห็นว่ามันใหญ่
แต่ถ้าคุณผ่านมันไปแล้ว คุณก็จะเห็นว่า เล็กนิดเดียว

คุณต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ปัญหามันจะเข้ามาหาคุณเรื่อยๆ
ยิ่งโตขึ้น ปัญหามันก็เพิ่มมากขึ้น
ยิ่งยากมากขึ้น ถ้าคุณแก้ปัญหายากๆ
ผ่านพ้นไปได้ ก็แสดงว่า คุณกำลังโตขึ้นไปอีก

อย่าให้ผงเล็กที่เข้าตา แล้วมันบังตา
จนเห็นว่ามันใหญ่ ที่จริงมันใหญ่
เพราะคุณเอาออกเองไม่ได้
ให้วางใจในปัญหานะ ตั้งสติขึ้นนะ

อย่าไปคิดว่า มันไม่มีทางออก
เตรียมใจ ไว้รับปัญหา ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเถอะ
เมื่อคุณพบมัน ก็จงบอกตัวเองว่า มันเล็กนิดเดียว"

-:-หลวงปู่หา สุภโร-:-







"หลวงพ่อยินดีต้อนรับทุกคนนะ
มาวัดหลวงพ่อให้ใจดี ใจสบาย
ที่สุดในโลกนะ

คนจะใจดี ใจสบาย
ต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม
ใจอยู่กับเนื้อกับตัว โอเคนะ"

-:-หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม-:-







"การปล่อยวาง ไม่ใช่การปล่อยทิ้งหน้าที่
ครูบาอาจารย์ท่านสอน เรื่องการปล่อยวาง
ไม่ใช่การปล่อยทิ้งหน้าที่ของเรา แต่หมายถึง
การปล่อยวางความหวัง ในผลของการกระทำ
ไม่ใช่การปล่อยวาง ในการสร้างเหตุ ในการกระทำ"

-:-พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ-:-







..=>คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "ตัดสักกายทิฏฐิ"<=..

.. อันนี้องค์สมเด็จพระบรมครู
ทรงแนะนำกับบรรดาพุทธบริษัท
ทั้งหลายว่า

"ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ขึ้นชื่อว่าสัตว์บุคคลทั้งหมดที่มีอยู่
ในโลก เกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น"

เราจำจะต้องตาย คำว่า "ตาย"
ความจริงมันไม่มีในศัพท์ภาษาบาลี
ศัพท์ภาษาบาลีเรียกว่า "มรณา" ถ้า
ตาย คนหรือสัตว์ถ้าตาย พระพุทธเจ้า
ทรงใช้ศัพท์ว่า "กาลํ กตวา" แปลว่า
"ทำกาละแล้ว"

ก็หมายความว่า ถึงเวลาที่จะต้อง
ไปจากกายนี้แล้ว เราอยู่ไม่ได้ ในเมื่อ
เราตายแล้วเราก็ไม่สามารถจะนำ
ทรัพย์สินใดๆ ไปได้ทั้งหมด องค์
สมเด็จพระบรมสุคตทรงบอกว่า
"การเกิดเป็นของไม่ดี"

เมื่อเกิดมาแล้วมีร่างกายนี้เรา
ไม่สามารถจะทรงได้ ท่านทั้งหลายจึง
ไม่ควรยึดถือสิ่งใดทั้งหมดว่า "เป็นเรา
เป็นของเรา" เพราะว่าสิ่งทั้งหลายที่
เรายึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา

"ความจริงมันไม่ใช่" ถ้ามันเป็น
เราจริง เป็นของเราจริงมันก็ต้องยัง
ไม่ตาย ไม่สลายตัวไป กาลํ กตวา
หมายความว่า ทำการละจากโลกนี้
แล้ว เราก็จะต้องนำทรัพย์สินทั้งหลาย
อันเป็นที่รักของเราไปได้ด้วย

สิ่งทั้งหลายที่เป็นสมบัติของเรานี้
ไม่มีอะไรที่จะติดตามเราไปได้ เป็นอัน
ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรสอนไว้
"เพื่อเป็นการละความเกิด" หากว่าท่าน
ทั้งหลายไม่ยึดถืออะไรทั้งหมดในโลก

ตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้
ขั้นสุดท้าย ของอานาปานุสสติกรรมฐาน
หรือมหาสติปัฏฐาน เหมือนกันว่า

"เธอทั้งหลายจงอย่ายึดถืออะไร
ทั้งหมดในโลกว่าเป็นเรา เป็นของเรา"

ท่านทั้งหลายสงสัยไหมล่ะ ว่าอะไร
ที่มันเป็นเรา เป็นของเรามีไหม ทีนี้
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "มันไม่มีจริง"
ร่างกายที่เราคิดว่า "มันเป็นเรา เป็น
ของเรา มันก็ไม่ใช่"

ถ้ามันเป็นเราจริง เป็นของเราจริง
มันก็ต้องไม่แก่ เพราะเราไม่อยากแก่
มันต้องไม่ตาย เพราะเราไม่อยากตาย
มันต้องไม่ป่วย เพราะเราไม่อยากป่วย

ทีนี้เวลาสิ่งที่เราไม่ต้องการให้มันแก่
ไม่ต้องการให้มันป่วย ไม่ต้องการให้มัน
ตาย มันก็จะป่วย มันก็จะตาย ก็แสดงว่า
มันไม่อยู่ในอำนาจของเรา ทั้งนี้เพราะ
อะไร เพราะมันไม่ใช่เรา ถ้ามันเป็นเราจริง
มันก็ต้องไม่เป็นอย่างนั้น ..

(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ที่มาจาก.. รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑ หน้า ๔๙






บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

อานิสงส์การสวดอิติปิ โส

ที่ลูกหลานหลวงพ่อสวดอิติปิ โส กันทุกวันถวาย
หลวงพ่อ หลังจากสวดจบแล้ว
หลวงพ่อ(พระราชพรหมยาน) ท่าน พูดถึงการ
สวดอิติปิ โส ว่ามีอานิสงส์อย่างไรต่อบรรดาลูก
หลาน มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

หลวงพ่อ : "วันนี้เมื่อกี้พอเขาสวด ก็เริ่มจิต
สบาย ใจก็จับอยู่ที่พระใช่ไหม
เป็นธรรมดา ได้ยินเสียงสวดมนต์นี่ไม่ได้หรอก
ได้ยินเสียงสวดมนต์ปั๊บ จิตจะเข้าสู่ปกติของ
มันทันที จะเห็นอะไรทั้งหมด ได้เห็นบัญชี ๒
บัญชี มายืนอยู่ข้างหลัง"

ผู้ถาม : "อะไรบ้างครับ..?"

หลวงพ่อ : "บัญชีนรก และก็บัญชีสวรรค์
บัญชีนรกน่ะ ลุง (พยายม) ใช่ไหม
บัญชีสวรรค์คือ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร จด
เหมือนกันว่าทุกคนที่เจริญ พุทธานุสสติ
ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติกรรมฐาน

การสวดนี่เขาถือกันว่าเป็นสมาธิในกรรมฐานใ
นอนุสสติ ๓ อย่าง อานิสงส์สูงมาก
นี่ฉันรู้วันนี้นะ เพิ่งรู้เมื่อกี้นี้ อานิสงส์มากจริงๆ
และก็ลุงก็เลยล้อว่า
"ไอ้พวกนี้มันแกล้งไม่ไปนรก มันนึกว่ามันสวด
ให้พ่อมันความจริงมันได้" (หัวเราะ) .."

ผู้ถาม : "ผมนึกว่าได้หลวงพ่อองค์เดียว"

หลวงพ่อ : "ที่ไหนได้ล่ะ เขาสวดยาวเหยียดเลย
ทำมากี่ปีแล้ว เท่าไหร่แล้ว อานิสงส์เป็นยังไงแล้ว
แล้วก็การสวดอิติปิ โส
สรรเสริญทั้งคุณพระพุทธเจ้า สรรเสริญคุณ
พระธรรม พระอริยสงฆ์ระดับ พระโสดาบัน
พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์

สุปฏิปันโน นี่ พระโสดาบัน
อุชุปฏิปันโน นี่ พระสกิทาคามี
ญายะปฏิปันโน นี่ พระอนาคามี
สามีจิปฏิปันโน นี่ พระอรหันต์
สามี ผัว (หัวเราะ) ความจริงภาษาบาลีเรียก "ปติ"
"ปติ" นี่เขาแปลว่า ผัว "สามี" นี่แปลว่านาย คือผู้
เป็นใหญ่ เราใช้ผิด

คือว่าท่านบอกว่า ไอ้บทท้ายนี่ให้ใช้ทุกวัน อย่า
ลืม ที่บอกว่า ให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจ
จุบันนี้เถิด ท่านบอกว่า
"ถ้าคนไหนถ้าตัวหนังสือที่จดไว้เป็นแก้ว คน
นั้นไปนิพพานชาตินี้แน่"
มันจะเปลี่ยนสีทุกวัน มันจะค่อยๆ ใสทุกวันๆ
ขึ้นไปนะ"

ผู้ถาม : "แสดงว่าทุกคนที่นั่งอยู่นี่ ก็ใสเป็นแก้ว
หมดแล้ว"

หลวงพ่อ : "บางคนก็เป็นแก้วเหล้า บางคนก็เป็น
แก้วเบียร์ แก้วน้ำชา นี่ยังดีดีกว่าแก้วปลาร้า
แต่ว่าเอาส่วนใหญ่กันจริงๆ นะ มีหวัง เมื่อกี้นี้
เขาบัญชีมาให้ดูตัวใสขึ้นมาก ท่านบอกตัวใสๆ
แบบนี้มีหวังทุกคน ให้ดูสีตัวหนังสือที่เขียนนะ"

จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๐๑ หน้า ๘๐
โดย หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
ตอบกระทู้