...ความสุข เราไม่เคยเดินเข้าหากัน เดินเข้าหาแต่... "ความทุกข์ ที่มีความสุขบังหน้าอยู่" . ...หลอกเรา เหมือนยาขมเคลือบน้ำตาล เราคิดว่าจะเป็นหวานไปทั้งลูก พออมไปสักเดี๋ยวเดียว ผิวน้ำตาลที่มันเคลือบ มันละลายหมด "มันก็เหลือแต่ยาขมให้เราอมกัน" ............................................ . คัดลอกการสนทาธรรม ธรรมะบนเขา 20/7/2560 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อก็รังเกียจ และโกรธเขา ไปด่าว่านินทาเขาเอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจตัวเอง นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือนกัน การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั้น มันก็คือผีที่สิงอยูในใจเรา เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเขา เราก็เป็นผีเป็นบาปอีกเหมือนกัน
มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสองฝ่าย ยังไม่เป็นธรรมะ อาตมาจึงว่า เหมือนกบกับคางคก
แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชาเกี่ยวกับเรื่องการกินเจ กับการกินอาหารเนื้ออาหารปลาต่างกันอย่างไร อย่างไหนถูก อย่างไหนผิด
เพราะปัจจุบันมีสำนักปฏิบัติที่ถือข้อวัตรปฏิบัติ ต่างกันมากมายหลายแห่ง
บางแห่งถือว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเป็นกรรมร่วม เพราะเท่ากับเป็นการยุให้เขาฆ่าสัตว์
ที่นั้นจะต้องถือมังสวิรัติ เว้นการฉันเนื้อฉันปลาอย่างเด็ดขาด บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อวัตรของเทวทัตที่เคร่งครัดเกินไป จนพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต
เขาจึงสงสัยว่าอย่างไรจะถูกอย่างไรจะผิด ในระหว่างข้อวัตรปฏิบัติทั้งสองแบบนี้
ท่านตอบว่า .. “เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมันดีกว่ากัน ความจริงแล้ว
" พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่ได้เป็นอะไร ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็นอะไรอีกแล้ว " การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่า เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอให้คงอยู่ได้ ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ให้รู้จักประมาณในการบริโภค ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรแล้ว
ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรสชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา คนกินเนื้อ ก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจนเกินไป อย่าถึงกับฆ่าเขากิน
ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นในข้อวัตรของตัวเอง เห็นคนอื่นกินเนื้อ อย่าไปโกรธเขา รักษาตัวเราไว้ อย่าให้ติดอยูในการกระทำภายนอก พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เหมือนกัน องค์ไหนจะถือข้อวัตรฉันเจก็ถือไป องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตามได้ก็ถือไป แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย อาตมาสอนอย่างนี้ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร ให้เข้าใจว่า ...
" ธรรมะที่แท้นั้น เราจะเข้าถึงได้ด้วยปัญญา ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ..." ถ้าเราสำรวมอินทรีย์ ... คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบ และปัญญาความรู้เท่าทันสภาพของสังขารทั้งหลาย ก็จะเกิดขึ้น จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย วิมุตตก็เกิดขึ้นเท่านั้น” ...
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ตัดต้นโพธิ์เป็นบาปจริงๆ องค์หลวงปู่เล่า
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านอาจารย์เจ้าอาวาสได้สั่งให้องค์หลวงปู่ขึ้นตัดกิ่งก้านต้นโพธิ์ที่รุงรังปกคลุมหลังคาวิหาร องค์หลวงปู่ก็ต้องจำใจทำ เพราะความเคารพในท่านอาจารย์
พอองค์ท่านขึ้นไปตัดกิ่งก้านต้นโพธิ์เสร็จ เตรียมตัวจะลง พอก้าวขาหาที่เหยียบว่าจะลงเท่านั้น เหมือนมีอะไรมาผลักขาลื่นหลุด เหลือแต่แขนกอดโอบต้นโพธิ์ รูดตกถึงพื้นดินล้มลง แล้วก็รีบลุกขึ้นสำรวจตัวเองว่าเจ็บตรงไหน เห็นมีรอยขูดขีดตามแขนตามหน้าอกเล็กน้อย ก็รีบไปหายาทา แผลนั้นก็หาย แต่ยังมีแผลหนึ่งอยู่ที่หน้าอกนิดเดียว ใช้ยาอะไรทาก็ไม่หาย ไม่ยอมตกเกล็ดเหมือนแผลอื่น ทำอย่างไรก็ไม่หายสักที
องค์หลวงปู่ก็มานึกขึ้นได้ด้วยตนเองว่า เรานี้เป็นบาปเสียแล้ว ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าได้อาศัยตรัสรู้ และเป็นต้นไม้ที่มีพระคุณต่อพระพุทธเจ้า แล้วก็มีพระคุณแก่เราในวันนั้นด้วย ที่เราไปนั่งสมาธิได้พบความสุขที่ต้นโพธิ์นี่เอง
เมื่อองค์ท่านระลึกได้ดังนี้ พอตกตอนกลางคืนพระเณรองค์อื่นเงียบหมดแล้วท่านได้ไปเอาดอกไม้ที่ญาติโยมเขาเอามาบูชาที่โต๊ะบูชา ใส่ขันแล้วเดินไปนั่งคุกเข่ากราบลง ๓ ครั้ง แล้วกล่าวคำขอขมาโทษที่ตนได้ล่วงเกินต้นโพธิ์อันมีพระคุณแก่พระพุทธเจ้า ขอจงงดเสียซึ่งโทษบาปกรรมล่วงเกินอันนั้น เพื่อการสำรวมระวังต่อไปด้วยเทอญ ขอให้คุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และต้นมหาโพธิ์อันมีพระคุณแก่ข้าพเจ้า จงช่วยงดเสียซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการสำรวมระวังต่อไป
ภายในวันสองวันเท่านั้นแผลนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งไม่มีรอยแผลเป็นปรากฏอยู่เลย
คัดลอกจากชีวประวัติ หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส วัดป่าพระสถิตย์ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
"คนที่ไม่มีโรคทางกาย นับว่าประเสริฐ แต่คนที่ไม่มีโรคทางใจ คือกิเลส ประเสริฐกว่า" -:- หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ -:-
"ทุกครั้ง ที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเรา ประจานความมืดดำในใจตัวเอง เห็นสิ่งไม่ดีของใคร จงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ" -:- หลวงปู่ไม อินทสิริ -:-
"ให้คุณทำใจเหมือนพระอาทิตย์ ใครจะว่าจะชม ก็ยังทำหน้าที่ตนเสมอ ไม่หยุดหย่อน" -:- หลวงปู่หา สุภโร -:-
“บาปและบุญนั้น มีอยู่ประจำโลก เหมือนกับน้ำและไฟนั้นแหละ ใครทำชั่ว ก็เดือดร้อน ใครทำดี ก็มีความสุขกายสบายใจ"
-:-หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร-:-
ธรรมดาความเกียจคร้านย่อมทำอาการเหมือนเป็นมิตร ให้ความสุขในต้นมือ หลอกลวงคนโง่ให้หลง ภายหลังให้ความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนความเพียรหมั่นนั่นย่อมทำอาการอย่างประหนึ่งว่าเป็นข้าศึก ให้ความทุกข์ในต้นมือ แต่ที่จริงกลับเป็นมหามิตรอย่างประเสริฐ ภายหลังให้ความสุขไม่มีที่สิ้นสุด. พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)
"คนที่เป็นทาสของกิเลสตายแล้ว ไม่มีโอกาสจะเกิดเป็นคนแม้จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังเกิดไม่ได้ ต้องไปเกิดในอบายภูมิ นี่ถ้าบุคคลผู้ใดทำใจของเราให้เร่าร้อนด้วยกายกรรม ทำด้วยกายก็ดี ด้วยวจีกรรม ทำด้วย วาจาก็ดี เราจงคิดว่าคนประเภทนี้เขาไม่ใช่คน เขาคือสัตว์นรกในอบายภูมินั่นเอง เราก็คิดว่า ถ้าเราจะไปต่อล้อต่อเถียง จะกระทำตอบ เราก็จะเลวตามเขา เวลานี้จิตใจของเขาจมลงไป แล้วในนรก ถ้าเราทำตามแบบเขาบ้าง เราก็จะจมลงนรกเหมือนกัน มันไม่มีประโยชน์ จิตเรา ก็ระงับความโกรธด้วยอำนาจ ขันติ หรือ อุเบกขา นี่ อุเบกขา เราใช้กันตรงนี้เลย เฉย เขาเลว ก็ปล่อยให้เขาเลวไปแต่ผู้เดียว เราไม่ยอมเลวด้วย.."โดย หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
ลักษณะคนสงบ 16 อย่าง บุคคลที่มีความสงบสำรวมมักเป็นผู้ที่มีแต่คนอยากอยู่ใกล้ เพราะอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีพลังงานด้านลบออกมาจากตัวตนของคนผู้นั้น 1. เป็นผู้ไม่ฉุนเฉียว 2. เป็นผู้ไม่หวาดหวั่น 3. เป็นผู้ไม่โอ้อวด 4. เป็นผู้ไม่ก่อความรำคาญ 5. เป็นผู้พูดด้วยปัญญา 6. เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน 7. เป็นผู้มีวาจาอันสำรวมแล้ว 8. เป็นผู้วางตัวเป็นกลาง 9. เป็นผู้มีสติทุกเมื่อ 10. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าเสมอกับเขา 11. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าวิเศษกว่าเขา 12. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าต่ำกว่าเขา 13. เป็นผู้ไม่มีโทษอันทำให้มืดมัวดุจฝ้า 14. เป็นผู้ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ในโลกว่าเป็นของตน 15. เป็นผู้ไม่เศร้าโศกเพราะสัตว์และสังขารที่เสื่อมไป 16. เป็นผู้ไม่ถึงอคติในธรรมทั้งหลาย โอวาทธรรม.หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต.
คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "เห็นทุกข์ตัวเดียวไปนิพพาน
.. ตอนนี้ก็จะมาขอแนะนำบรรดา ท่านพุทธบริษัทถึงเรื่องที่จะพูดเมื่อคืนนี้ แต่ไม่ได้พูด ก็มีพระองค์หนึ่ง "ท่านเป็น ทาสของชาวบ้านเขา" นี่ด้านวิปัสสนา ญาณนะ เอา "วิปัสสนาญาณกันแท้ๆ"
คือท่านเป็นคนจน ก็คงจะเป็น ลูกของทาส ทาสนี่เป็นทาสกันตลอดกาล ตลอดสมัย แล้วท่านก็ไปเลี้ยงควายอยู่ ใกล้ๆ กับสำนักของพระที่พระพุทธเจ้าอยู่
ในเมื่อพระในสำนักขององค์สมเด็จ พระบรมครูมีความสุข ไม่มีอะไรมาก เช้า ก็ไปบิณฑบาต กลับมาก็สวดมนต์กันบ้าง ฟังเทศน์กันบ้าง แล้วก็เจริญภาวนาบ้าง ก็ไม่เห็นมีใครเหน็ดเหนื่อยอะไร
สำหรับตัวท่านเองตั้งแต่เกิดมา กางเกงดีๆ ไม่เคยได้นุ่ง เพราะเป็นทาส เขา ผ้าที่เขาไม่ใช้แล้วเขานำมาให้ใช้ อาหารก็ต้องกินอาหารที่เป็นเดนของ เจ้านาย ท่านก็รู้สึกว่ามันดีสู้พระไม่ได้
เพราะพระมีอาหารดีๆ กิน ก็ตัดสินใจ คิดว่าจะบวช ในวันหนึ่งก็ตัดสินใจบวช ก็ไปขอพระให้พระท่านบวช พระท่านก็ บวชให้ เมื่อพระบวชให้แล้ว ทีนี้เสื้อผ้า ของท่านมันเก่าและขาด ท่านไม่ยอมทิ้ง ท่านก็ไปใส่ไว้ที่โพรงไม้
พอถึงเวลาตอนเย็นใกล้จะค่ำ ท่านก็เดินไปที่โพรงไม้เพื่อไปดูผ้าผืนนั้น แล้วคิดถึงความหลังว่า ก่อนที่เราจะบวช เราแต่งผ้าชุดนี้ เรามีแต่ความทุกข์ ขึ้นชื่อ ว่า "ความทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการ มันอีก"
เพราะอาศัยที่ว่า เราเกิดมาจน ถ้าหากเราต้องการมีความเกิดอีกต่อไป อย่างนี้ เราก็อาจจะเป็นทาสเขาต่อไปใน ชาติหน้า เราไม่ต้องการ ในเมื่อคิดแบบนี้ แล้วท่านก็กลับ
ท่านเดินไปอย่างนั้นทุกวัน ภายใน สองสามวันแรกพระก็ถามว่าเดินไปไหน ครับ ท่านบอกว่า "ไปหาอาจารย์" พระ ก็ไม่ว่าอะไร ตอนเย็นท่านก็ไป ทีนี้วันที่ ๗ พอถึงวันที่ ๗ ท่านไปถึงที่ตรงนั้น
ไอ้กำลังใจที่ท่านเห็นทุกข์ เพราะ "ทุกข์" คือ "อริยสัจ" นะ "เป็นวิปัสสนา ญาณชั้นสูง" ใครเห็นทุกข์ตัวเดียวนี่เป็น พระอรหันต์ได้ เมื่อถึงวันที่ ๗ ท่านก็ไป ใคร่ครวญถึงความเป็นมาของร่างกาย
เพราะความเป็นอยู่เดิมที่มีความทุกข์ ไปดูผ้าที่ขาด ท่านไม่เคยใช้ผ้าดี ก็ไปนึก ถึงเบื้องหลังว่า คนทุกคนในโลกที่เขามี ความทุกข์อย่างเราก็มีอยู่ แต่ที่เขามี ความสุขอย่างเราก็มีอยู่ เพราะฐานะ บุญบารมีของเขาดี แต่ว่า "คนทุกคนใน โลกมีฐานะเสมอกัน" คือ
๑.มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ๒. มีความแปรปรวนในท่ามกลาง ค่อยๆ เสื่อม ๓. มีความตายในที่สุด
ขณะที่ทรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความวุ่นวาย เมื่อคิดเพียงเท่านี้ กำลังใจก็ตัดกิเลสเป็นพระอรหันต์ทันที ไม่ยากเลยลองสักวันก็ได้ เอาแค่วันเดียว นะ ท่านก็เป็นพระอรหันต์ พอวันที่ ๘ ท่านก็ไม่ไปหาอาจารย์อีก
พระทั้งหลายก็ถามว่า คุณ..วันนี้ ไม่ไปหาอาจารย์หรือ ท่านบอกว่า กิจที่ ผมจะต้องไปหาอาจารย์ไม่มีแล้วครับ พระทั้งหลายที่เป็นปุถุชน ถ้าพระอรหันต์ ท่านไม่ว่าเพราะท่านทราบ เพราะพระ อรหันต์ย่อมรู้ในพระอรหันต์
ถ้าคนที่ไม่เป็นพระอรหันต์จะรู้ ความเป็นอรหันต์ของบุคคลอื่นไม่ได้ พระอรหันต์ย่อมเข้าใจในพระอรหันต์ ทีนี้พระที่ไม่ใช่พระอรหันต์ที่เป็นปุถุชน ก็กล่าวโจษหาว่า พระองค์นี้แสดงตน และประกาศตนว่า เป็นพระอรหันต์โดย ที่ตนเองไม่เป็น ก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า
ในเมื่อไปฟ้องพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าไม่เรียกสอบสวน ท่านบอกว่า "ลูกตถาคตหมดกิเลสแล้ว" หมดสภาวะ ที่ต้องไปหาอาจารย์เขาแล้ว เขาเป็น พระอรหันต์แล้ว
ฉะนั้นถ้าใครอยากจะเป็นพระอรหันต์ ก็เอาเครื่องแต่งตัวไปใส่โพรงไม้ไว้นะ แต่ระวังนะถ้าผ้าใหม่ๆ อย่าไปใส่นะ มันหายนะต้องผ้าเก่าๆ ถ้าจะให้ดีละก็ เอาไปแขวนแล้วเอาทองใส่ไปด้วย
แล้วบอกฉันด้วยนะว่าเอาไปใส่โพรง ไหนนะ (หัวเราะ) จะได้รู้ตัวอนัตตา (หัวเราะ) วันนี้ไปใส่ พรุ่งนี้ไปใหม่ หาย ไปแล้ว เป็นอนัตตาไปแล้ว (หัวเราะ)
ก็เป็นอันว่าขอบรรดาญาติโยม พุทธบริษัท "ถ้าหวังนิพพานจริงๆ ให้ เข้าใจตัวทุกข์ตัวเดียวพอ" .. (พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน) ที่มาจาก.. ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๗๐ หน้าที่ ๑๙-๒๑
คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "ทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ได้
.. พอกำลังจิตของบรรดาท่านพุทธ บริษัทเข้าถึง "พระสกิทาคามีก็ดี เข้าถึง พระโสดาบันก็ดี" ตอนนี้เราก็ไม่ต้องพูด กันถึงพระอนาคามี เพราะเท่านี้มัน เหลือแหล่แล้ว เหลือแหล่ตรงไหนละ
ถ้ายังนั่งอยู่ได้ ถ้าจิตหวังอารมณ์ได้ อย่างนี้ พอป่วยเข้านิดเดียว "กำลังแห่ง ธรรมะที่ได้มาเก็บเล็กเก็บน้อยทั้งหมด มันจะรวมตัว" พอรวมตัวแล้วมันจะมี ความรู้สึกขึ้นอย่างหนึ่งว่า
เวลานี้เราป่วย การป่วยนี่อาจจะตาย ตายนี่เราเอาอะไรไปไม่ได้เลย สามีที่รัก ภรรยาที่รัก บุตรธิดาที่รัก ทรัพย์สินที่รัก พ่อแม่ที่รัก ไม่มีใครเขาไปกับเรา "เรา ผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้ไป"
แล้วการไปคราวนี้ก็ไม่ได้ยกขันธ์ ๕ ไปด้วย ขันธ์ ๕ คือร่างกายมันต้องสลายตัว แล้วถ้าหากว่าเราจะต้องพอใจในความเกิด ต่อไป มันก็มีความทุกข์อย่างนี้ "เราจะมี ความปรารถนาเพื่อความเกิดเพื่อ ประโยชน์อะไร"
กำลังใจมันจะมีความรู้สึกอยู่สองอย่าง อารมณ์อย่างหนึ่งมันจะวางเฉยๆ "เอ...มัน จะตายก็ช่าง ฉันไม่สนใจ ร่างกายไม่มี ความหมาย" นี่อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง ก็จะคิดว่า "เอาถ้าตายคราวนี้ฉันไป นิพพาน "
อารมณ์สองประการนี้มีผลเสมอกัน คือไปนิพพานเหมือนกันหมด นี่ตอนนั้นนะ อาตมาคิดว่าถ้าจิตใจของท่านจับอยู่แค่นี้ เวลาตายไปนิพพานทุกคน เพราะกำลัง มันเข้มแข็งนะ
เพราะถ้าขึ้นต้นพระโสดาบันได้แล้ว เราก็พูดถึงอรหันต์หรือนิพพานกันปกติ จุดนั้นมันเอาแน่ คือมันเกาะไม่ปล่อย แล้ว เวลาที่ป่วยไข้ไม่สบายนี่กรรมที่เป็นกุศล ทั้งหมดมันจะรวมตัวทั้งหมด กำลังจะสูง มาก ..
(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน) ที่มาจาก.. ธัมมวิโมกข์ เล่มที่ ๔๓๒ หน้าที่ ๔๖
คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "อัตตนา โจทยัตตานัง
.. เมื่อไรถ้าเรายังไม่มีโอกาสเข้าไป อยู่ที่นิพพานแน่นอน คือตายแล้วเข้าไป อยู่ที่นิพพาน "จงอย่าคิดว่าเราดี" จงจำ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนไว้ว่า
"จงกล่าวโทษโจทย์ความผิดตนเอง ไว้เสมอ" เมื่อมองหาผิดก็จะค่อยๆ หมด ความผิด เพราะกลัวจะผิด เมื่อกลัวผิด มันก็จะไม่ผิด เมื่อไม่ผิดก็เหลือแต่ถูก ตัวถูกคือ "ตัวบริสุทธิ์"
ที่ท่านเรียกว่า "อริยะ" คือ "สะอาดที่สุด" ถ้ากาย วาจา ใจ สะอาดสิ้นเชิง เมื่อนั้น "ก็จะเลิกทรนง" เมื่อหมดทนง "อารมณ์ ก็สบาย" เมื่ออารมณ์สบายแสดงว่า "ใจสะอาด" แต่อย่าลืมว่า "ถ้ายังไม่ตาย ไปนอนที่นิพพานเป็นปกติ จงอย่าคิด ว่าเราดี" ..
(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน) ที่มาจาก.. ธัมมวิโมกข์ เล่มที่ ๔๒๐ หน้าที่ ๕๙
หลวงพ่อวัดท่าซุงตอบปัญหาธรรม ทำสมาธิอย่างเดียว 100 ปีก็ไม่ได้มรรคผล
ผู้ถาม :: หลวงพ่อขอรับ ผมทำสมาธิทุกวัน ๆ ละ หนึ่ง ชั่วโมง มาเป็นเวลา ๒๐ ปีแล้วครับ มันไม่ไปเหนือ ไปใต้เลย ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร หรือมีกรรมเวร ประเภทไหนมาปิดบัง ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยแก้ไข หน่อยเถิดขอรับ? หลวงพ่อ :: สมาธินี่ถ้าทำเฉย ๆ ก็ไม่ไปไหนนะ มันก็อยู่แค่ ฌาน ถึงฌานหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่ากลัว จะไม่ถึงฌาน น่ากลัว ตะเกียกตะกายอยู่ข้างฌาน มันขึ้นฌานไม่ไหว ไต่บันไดแกร๊ก ๆ แต่ความจริง ถ้าเรื่องสมาธิจริง ๆ นะ ถ้าหากว่าได้จริง ๆ ก็อยู่แค่ ฌาน ๔ ฌาน ๔ แล้วก็ไม่ไปไหนละ ก็ทรงตัวบ้าง เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ไปข้างหน้า ๑ ก้าว ถอยหลัง ๕ ก้าว ทีนี้ผลการปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่ได้ มุ่งสมาธิ ต้องหวังตัด สังโยชน์ ถ้าจะบอกว่า วิปัสสนาญาณก็จะมากเกินไป ความจริงถ้ามุ่ง ตัดสังโยชน์ ก็ต้องดูอารมณ์ใจตัวตัด ไม่ใช่ดูสมาธิ อันดับแรก ความโลภ อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่น มีในเราหรือเปล่า เบาลงไปไหม ประการที่ ๒ ความโกรธ เบาไหม ประการที่ ๓ ความหลง เบาลงไหม สิ่งที่มี ความสำคัญคือ 1. ลืมความตายหรือเปล่า 2. เคารพพระไตรสรณคมน์จริงจังไหม 3. มีศีล ๕ บริสุทธิ์ไหม 4. หวังพระนิพพานจริงจังหรือเปล่า...? เขาดูตรงนี้นะ มุ่งเอาสมาธิกลุ้มใจตาย มันไม่มีการทรงตัว เวลาใดร่างกายดีไม่มีอารมณ์กลุ้ม สมาธิก็ทรงตัวใช่ไหม... ร่างกายอ่อนเพลียหน่อย สมาธิก็ทรุดตัว เอาแต่สมาธิ ไปไม่รอด ผู้ถาม :: เมื่อภาวนาไปไม่ได้ อย่างนี้จะมีโอกาสบรรลุธรรม เบื้องสูงหรือเปล่าครับ? หลวงพ่อ :: ทะลุธรรมแน่ จุดหมายปลายทางเขาคือสังโยชน์ ผู้ถาม :: ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าตั้งใจว่า ตายเมื่อไหร่ไปนิพพานเมื่อนั้น พอจะไปได้ไหมครับ หลวงพ่อ? หลวงพ่อ :: พอเห็นทาง...แต่ไม่เข้าทาง ผู้ถาม :: ๒๐ ปีแล้วนะครับ หลวงพ่อ :: ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ ถ้าเข้าทางจริงต้องคิดว่า ๑.ชีวิตนี้จะต้องตาย ตัวสักกายทิฏฐินะ ๒.วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ๓.มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และก็ ๔.มีจิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน อันนี้ถึงจะได้ อันนี้ถึงจะเข้าทางหรือเข้าเขตเลย
ธรรมที่ได้ยินได้เห็นได้ฟังมายังเป็นธรรมนอกอยู่ ธรรมใดที่เกิดจากความรู้ของตัวเอง แม้เท่าเมล็ดงาก็มีรสชาด จึงว่ารสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง
หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
ธรรมชาติของความมืด ความมืดมันกะไปหาสู่ที่มืด คั่นพวกหากินอยู่ทางมืด คั่นเห็นไฟหลงไฟ แล่นเข้าไปใส่ไฟ ตายเบิดจ้อย แม่นตั๊วะบ่? เห็นบ่? แมงเม่ามันสำคัญว่าไฟเป็นแสง อันนี่เฮาเห็นของสวยของงามติดใจ เข้าไปบ่อนตายทั้งนั้น ไปติดดี ดีกับซั่ว มันอยู่นำกัน มันตาย เพิ่นจั่งพยายามให้ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย กับใจ
หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
|