นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 16 ม.ค. 2025 11:07 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การเดินทางด้วยสติ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 01 ก.ย. 2017 8:06 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4804
"โลกนี้ มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป
จะอยู่ที่โน่น ก็เปลี่ยนแปลง อยู่ที่นี่ หรือที่ไหน
ก็เปลี่ยนแปลง เพราะพวกเราทั้งหลาย
อยู่ได้ด้วย การเปลี่ยนแปลง
ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราก็อยู่ไม่ได้

หายใจออกมาแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นหายใจเข้า
แล้วก็หายใจออก ไม่เช่นนั้น เราก็อยู่ไม่ได้
ลมออกไปหมด ก็อยู่ไม่ได้ ลมเข้ามาแล้วไม่ออก
ก็อยู่ไม่ได้

เราทั้งหลาย อยู่ในโลกนี้ ก็เป็นของโลก
มันเป็นของของโลก ไม่ควรทำความน้อยใจ
ไม่ควรทำความเสียใจใดๆ เราต้องเป็น
ผู้มีจิตใจเข้มแข็ง

จะตกไปอยู่ที่ไหน ก็สร้างแต่คุณงามความดี
แม้หมดชีวิต ก็อย่าทิ้งคุณงามความดี"

-:-หลวงปู่ชา สุภทฺโท-:-






"นิสัยอันไม่ดีอีกอันหนึ่ง ของพวกเรา
คือ เป็นคนเลือกงาน ตีราคาของตัวสูงเกินไป
จนไม่มีงานจักทำเสียเลย อย่างนี้ไม่ดี

จงนึกว่า ไม่มีใครกระโดดขึ้นตึกได้
โดยไม่มีบันได ทุกคนต้องเดินขึ้นไปทีละขั้น
จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง"

-:-หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ-:-







"ถ้าอยู่กับใคร ที่เราไม่ค่อยชอบ
แต่ไม่มีทางเลือก เทคนิคอย่างหนึ่ง คือ
แผ่เมตตาให้กับตัวเอง ขอให้เป็นผู้ไม่มีเวร
ชื่นชมในความดีของตัวเอง เวลาเรารักตัวเอง
ก็พร้อมที่จะรักคนอื่น ให้อภัยคนอื่น"

-:-พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ-:-






การเจริญสติปัฏฐาน ๔
เป็นการแก้ปัญหาชีวิตตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสอน
ดังนั้นถ้าต้องการมีความสุข ต้องเดินไปตามมรรคมรรคา
เดินทางไปด้วยความถูกต้อง
เดินด้วยสติ ดำริชอบ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)





อย่าเหยียบคนต่ำอย่าล้ำคนสูง
“ดวงจิตไม่เป็นดีและไม่เป็นชั่ว
แต่เป็นผู้รู้ดีและรู้ชั่วเป็นผู้ละดีละชั่ว”

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร





เรื่อง"ถ้าพระในบ้านยังอด..พระในวัดก็กลืนไม่ลง"!! ..
คำพูดของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
มีคุณนายคนหนึ่งเป็นคนใจบุญสุนทาน..ตักบาตรทุกเช้า
ตักบาตรเสร็จแล้วก็แต่งสำรับกับข้าวอย่างบรรจงประณีตเพื่อเอาไปถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตด้วยความเคารพนับถือในพระจริยาวัตรของท่าน และชอบที่จะฟังท่านคุยเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง
เรียกว่า ตักบาตรเสร็จเมื่อไหร่..คุณนายต้องมาวัดทุกวัน ถวายอาหารเสร็จก็คุยกับสมเด็จฯ
วันหนึ่ง..หลังจากที่คุณนายกลับไปแล้ว พระหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของสมเด็จฯ ก็เข้าไปกราบเรียนว่า
"คุณนายคนนี้ใจบุญสุนทานจริงๆ..แต่เคยได้ยินว่าเป็นคนใจแคบ เหลือแม่อยู่คนเดียวก็ปล่อยให้อดๆ อยากๆ ไม่เอาใจใส่ เวลาพูดจากับแม่ก็ฟังไม่ได้หยาบคาย ขู่ตะคอก กระแทกกระทั้น ผิดกับตอนมาคุยกับสมเด็จฯ ที่วัด ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ"
วันหนึ่ง สมเด็จฯ มีกิจนิมนต์ไปทำบุญบ้าน ขากลับเดินผ่านหน้าบ้านคุณนายคนนั้น ท่านก็เลยแวะบ้านคุณนายก่อน
คุณนายดีใจมากที่สมเด็จฯ มาเยี่ยมถึงบ้าน ถือเป็นมงคลอย่างสูงที่พระชั้นสมเด็จฯ มาเยี่ยม จึงเรียกลูกหลานมากราบเท้าท่านเป็นการใหญ่ แล้วก็คุยกันถึงเรื่องต่างๆ มากมาย
ระหว่างนั้น สมเด็จฯ ถามคุณนายว่า
"พระในบ้าน..มีไหม?"
"มีเจ้าค่ะ..พระในบ้านมีหลายองค์..เป็นพระเก่าๆ ทั้งนั้น สมัยสุโขทัยก็มี เชียงแสนก็มี อาราธนาท่านสมเด็จฯ ขึ้นไปดูข้างบน"
สมเด็จฯ ก็เฉย แล้วถามต่อว่า
"ได้ทราบข่าวว่าคุณนายมีแม่อีกคน..เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนเสีย?"
คุณนายสะอึก..เสียวแปลบเข้าไปในหัวใจ จะตอบตามตรงก็กลัวว่าสมเด็จฯ จะเดินไปดู..เห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่แล้วท่านจะติเตียน
คุณนายอึกๆ อักๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า
"ตอนนี้ท่านไม่อยู่เจ้าค่ะ..ออกไปเยี่ยมญาติ..อีกนานถึงจะกลับ"
สมเด็จฯ นั่งนิ่งอยู่สักครู่แล้วจึงลากลับ
หลังจากวันนั้น คุณนายก็ยังคงไปวัดตามปกติ
วันหนึ่ง สมเด็จฯ เห็นว่า วันนี้คุณนายยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาร่าเริง อารมณ์ดีหลังจากได้ทำบุญทำทาน จึงถามว่า
"พระในบ้านของโยม..โยมดูแลเรียบร้อยแล้วหรือยัง?"
"เรียบร้อยเจ้าค่ะ! ดิฉันจุดธูปเทียน ถวายอาหาร บูชาเสร็จแล้วจึงมาที่วัด..ท่านไม่ต้องเป็นห่วง"
"อาตมาไม่ได้หมายถึงพระพุทธรูป..
พระในบ้านที่อาตมาถามถึงนี่เป็นพระที่ยังมีลมหายใจ..คือ แม่พระ..ผู้มีพระคุณสูงสุดแก่โยม
แม่ให้ชีวิตเรามาโดยเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก..เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนได้ดิบได้ดีทุกวันนี้
แม่เหน็ดเหนื่อย..ทุกข์ทรมานแสนสาหัส
แม่ทนหิวเพื่อให้ลูกอิ่ม
แม่ทนหนาวเพื่อให้ลูกอุ่น
แม่ไม่เคยนอน..ถ้าลูกของแม่ยังไม่หลับ
ยามลูกเจ็บป่วย..ร้องไห้ หัวใจแม่ก็เจ็บปวดและร้องไห้พร้อมกับลูกด้วย
แม่อยากเอาความเจ็บปวดทั้งหมดของลูกมาไว้ที่แม่
ถ้าทำได้..แม่ยอมตายเพื่อลูกได้
พระคุณของแม่นี้ใหญ่หลวงเกินกว่าจะคณานับ
เราต้องตอบแทนบุญคุณท่านบ้างนะโยม
เอาตาดู..หูใส่..เอาใจใส่ท่านบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้ท่านอดๆ อยากๆ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ดูแลท่านบ้าง
อาตมาได้ข่าวว่า คุณโยมเหลือแม่อยู่คนเดียวและไม่ค่อยสนใจความเป็นอยู่ของท่าน ปล่อยให้อยู่อย่างหงอยเหงา..ไม่สงสารท่านบ้างหรือโยม?
โยมจัดอาหารมาถวายพระได้ทุกวัน แต่พระในบ้านอีกองค์..โยมไม่เคยจัดให้
และตอนที่โยมจัดมาให้อาตมา สังเกตดู..โยมจัดมาให้อย่างดี..ประณีตบรรจง เมื่อก่อนอาตมาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ฉันของโยมตามปกติ แต่ตอนนี้บอกตรงๆ เลยว่า..กลืนไม่ค่อยลงมาหลายวันแล้ว!
อาตมาเป็นพระในวัด..ไม่ควรเอาเปรียบพระในบ้านของโยมเกินไป
ถ้าพระในบ้านยังอด พระในวัดก็กลืนไม่ลง!!
การทำบุญให้ได้บุญมากนะโยม..ต้องเลี้ยงพ่อแม่ให้อิ่มหนำสำราญเสียก่อน แล้วจึงถวายพระ"
คุณนายไม่พูดอะไรอีก..แล้วน้ำก็ค่อยๆ ไหลออกจากตา
.......................
บางคนกว่าจะรู้ว่าพ่อแม่เป็นพระในบ้านผู้ประเสริฐก็สาย..เมื่อท่านทั้งสองไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว..






" พระนิพพาน ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ต้องดับหมด ตายแต่สังขารร่างกาย จิตก็ไปต่อ จิตดับ วิญญาณดับ อย่าไปบอกว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ท่านเป็นพระอรหันต์ มันไม่ดี ไม่มีใครไปรู้กับท่านหรอก โลกวุ่นวาย ตัวท่านเท่านั้นที่รู้ ใครทำได้หาได้ก็ได้ดี "
หลวงปู่ประไพร สุภโร
วัดป่าไพรรัตนวณาราม บ้านหลุบหวาย ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี








ผู้ปฏิบัติธรรม ชอบมีความต้องการ ชอบมีความปราถนา

ให้ละความปรารถนานั้นเสีย

ความต้องการความปรารถนา

ถึงจะต้องการปรารถนาส่วนกุศลส่วนเป็นคุณธรรม

แต่ความปรารถนานั้นก็ยังเป็นความปรารถนาอยู่

ให้ละความปรารถนานั้นเสีย

ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านให้ละให้ปล่อยวาง

ไม่ได้สอนให้แสวงหาอะไรมาเพิ่มเติม

"จิตอันนี้" มันก็ "ปิดบังมรรคผลนิพพาน" ไว้

"ทำลายจิต" ลงไปอีก จิตแตกสลายออกไปแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน

ทำลายให้เป็นของว่าง ทำลายให้หมดให้สิ้น

หลวงปู่ แบน ธนากโร








ดินฟ้าอากาศไม่เป็นข้าศึกแก่ใจ ใจที่ขาดการสำรวมนี่แหละเป็นข้าศึกแก่เรา

เมื่อใจของเราได้รับการสำรวมดีแล้ว ศีลจึงไม่ต้องไปแสวงหา สมาธิก็ไม่ต้องไปแสวงหา ปัญญาก็ไม่ต้องไปแสวงหา เพราะเกิดขึ้นที่ใจ

เมื่อธรรมปรากฏขึ้นที่ใจ กิเลสจะสลายตัวในขณะนั้น

เมื่อใจเราเป็นธรรมขึ้นทั้งดวง เป็นธรรมขึ้นทั้งใจ กิเลสตัณหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจอยู่ไม่ได้

จิตว่างจากอารมณ์นั้นละ ทำให้เกิดความสว่างไสว องค์ปัญญาก็เกิดขึ้น
ในเมื่อองค์ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดหรือกิเลสตัณหา ยากที่จะซ่อนเร้นอยูในจิตที่สว่างไสว จิตก็สมบูรณ์เป็นธรรมขึ้นทั้งใจ

หลวงปู่ แบน ธนากโร








ความจริงกิเลสทั้งหลายมันจรเข้ามา ใจของเราออกไปสัมผัส กับกิเลสนั้นๆ ก็เกิดเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา

ใจของเราออกไปเจอ ไปกระทบ พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้มี สติ ให้สำรวมจิต สำรวมไว้ให้ดี

อย่าให้ใจของเราออกไปสัมผัสกับของร้อน สัมผัสกับฟืนกับไฟ

เมื่อสำรวมจิตไว้ดีแล้ว สิ่งที่เคยกระทบเป็นฟืนเป็นไฟ สิ่งนั้นเขาไม่แล่นมาหาใจ

สิ่งเหล่านี้เขาเป็นโลกเขาพร้อมที่จะสัมผัสใจที่แล่นออกไปนั้น

จะอยู่ในอริยะบทใดต้องให้มีความสำรวมใจ

เราจึงจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรม จึงเป็นผู้ปฏิบัติจิต

หลวงปู่ แบน ธนากโร







ศาสนาไม่ได้เสื่อมที่ไหนหรอก มันเสื่อมที่หัวใจคน บาปบุญคุณโทษมีอยู่ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลนั่นแหละ มรรคผลนิพพานก็มีอยู่อย่างเดิมน่ะแหละ ไม่มีใครยักย้ายไปไหน ไม่ได้ใหม่ ไม่ได้เก่า ไม่ได้เป็นของลึกลับ ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่ ศาสนาก็ยังมีอยู่ ผู้ไม่เชื่อบาป บาปก็มีอยู่ ผู้ไม่เชื่อบุญ บุญก็มีอยู่นั่นแหละ พระพุทธศาสนาไม่ได้ห่างหายไปจากสังสารที่ไหน พระพุทธศาสนาเป็นของคู่โลกคู่สังสาร ศาสนาไม่ได้เสื่อมไปไหน อยู่ในปัจจุบันนี่แหละ เรามันไม่เอากันเฉยๆ

พวกเรามักเข้าใจว่าพุทธศาสนาอยู่กับพระพุทธเจ้า อยู่กับครูบาอาจารย์ อยู่กับใจเรานี่แหละ กิเลสยังอยู่กับใจเราเลย แล้วธรรมจะไปอยู่ไหนถ้าไม่ได้อยู่ที่ใจ ถ้าศาสนาเป็นของล้าสมัย นรกสวรรค์ก็คงร้างแล้วล่ะ ก็มันนานแล้วนี่ พระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่กับผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้ใจเรารับให้ได้เถอะ แล้วเราจะเห็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ให้เห็นในภายในนี่

นรกยังมีตราบใดที่ยังมีมนุษย์ทำชั่ว สวรรค์ก็มีอยู่ตราบใดที่ยังมีคนทำดี มรรคผลนิพพานก็ยังมีตราบใดที่ยังมีคนปฏิบัติ พระพุทธศาสนาเป็นของคู่โลกคู่สงสาร แม้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสหรือไม่มาตรัสก็แล้วแต่ สัจธรรมก็ยังมีอยู่ อย่าไปเข้าใจว่าพุทธศาสนาหายไปไหน มันขึ้นอยู่กับใจเราทั้งนั้น ว่าใจเราจะละได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง

พวกเรามันเข้าใจเหมือนกาลเหมือนเวลา เอากาลไปจำกัดว่าศาสนาเป็นของเนิ่นนาน คงจะเสื่อมแล้วก็เลยไม่สนใจกัน ผู้ปฏิบัติก็มีน้อยลง ผู้เข้าถึงศาสนาก็แทบจะไม่มี ชาวพุทธอุบาสกอุบาสิกาก็แทบจะไม่เข้าถึงพระรัตนตรัย แล้วจะเข้าถึงมรรคผลได้ยังไง เราต้องปฏิบัติ เราจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าก็เข้าถึงทางนี้แหละ เราจะเข้าถึงธรรมถึงมรรคผลก็เข้าถึงทางนี้ ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติยังไงก็ไม่เสื่อมไปไหน

พระอาจารย์โสภา สมโณ
๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๙







เดี๋ยวนี้เรียก "คนตาย" ว่า "คนหมดบุญ" แล้ว
ไม่ใช่อย่างนั้น !!! คนที่ไม่ตาย แต่หมดบุญมีเยอะ
คือคนไม่รู้จักบุญ ใจมันเป็นบาปอยู่อย่างนั้น
จึงสะสมแต่บาปอยู่

-:- คติธรรมคำสอน -:-
หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี






คนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสติเตียนไว้
พวก ๑ มีตาดีอยู่ เหมือนกับคนตาบอดเสียแล้ว
พวกนี้อาศัยตา คือปัญญาที่รู้จริงเห็นจริงไม่มี
หลงไปตามสมมติที่ไม่จริง.
สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 154 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO