นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 16 ม.ค. 2025 10:56 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความยินดี
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 04 ก.ย. 2017 5:25 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4804
"ความยินดีตามมีตามได้ เป็นทรัพย์อันประเสริฐ"
-:- หลวงปู่เหรียญ วราโภ -:-





"อย่าไปสนใจคิดถึงกาลสถานที่
หรือบุคคลใดๆ ว่าเป็นภัย หรือเป็นคุณ
ให้เสียเวลา หรือล่าช้าไปเปล่า
โดยไม่เกิดประโยชน์อะไร
ยิ่งกว่าการคิดเรื่องกิเลส กับธรรม
ซึ่งมีอยู่ที่ใจ"

-:-พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ-:-






การทำงานคือการปฏิบัติธรรม

นอกจากงานประจำวันที่เรียกว่ากิจวัตรแล้ว หลวงพ่อชามักพาพระเณรทำงานพิเศษต่าง ๆ เช่น งานก่อสร้าง หรือซ่อมแซมเสนาสนะ ทั้งนี้ก็มีเหตุผลหลายประการ คือ เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถหรือเปลี่ยนบรรยากาศ และเพื่อท่านจะได้คอยสังเกตว่าพระเณรสามารถเจริญสติในขณะทำงานได้หรือไม่ อีกประการหนึ่งก็คือเป็นความจำเป็นด้วย เนื่องจากวัดมีปัจจัยไม่เพียงพอที่จะจ้างคนนอกมาช่วยทำ ต้องอาศัยพระเณรช่วยกันคนละไม้ละมือ ซึ่งเป็นการสร้างความสามัคคีขึ้นในหมู่คณะ ต่อมาในสมัยหลัง ๆ พระเณรมีจำนวนมากขึ้น ผู้มาบวชใหม่บางครั้งก็ยังคึกคะนอง จะปล่อยให้ภาวนาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ออกแรงเจริญสติในการทำงานบ้าง

บางครั้งหลวงพ่อชาพาทำงานจนดึกดื่น เช่น ตอนสร้างโบสถ์ จุดตะเกียงทำกันถึงห้าทุ่มหกทุ่มเกือบทุกวัน ญาติโยมบางคนถึงกับล้อเลียนว่า พระวัดหนองป่าพงเป็นพระกรรมกร ไม่ใช่พระกรรมฐาน บางรูปก็บ่นที่ต้องทำงานหนัก

หลวงพ่อชากล่าวถึงการปฏิบัติธรรมในการทำงานว่า

“นี่แหละการปฏิบัติ ทำงานไปก็ดูจิตของท่านซิ มันเป็นอย่างไรเมื่อพามันทำอย่างงี้ ไม่ใช่จะหลบอยู่เรื่อย ต้องออกมาต่อสู้กับมัน มันเป็นอย่างไรเราจะได้รู้ ต่อไปผมจะพาไปในเมืองกรุงมันจะยิ่งร้ายกว่านี้ เรามาฝึก เมื่อฝึกแล้วก็ต้องขึ้นเวทีซิ จะมาตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์ไม่ได้ และก็ดูผลมันซิ ทำแล้วสร้างแล้วผมก็มิได้พักอาศัย อันนี้ก็ทำเพื่อพวกท่านนั่นแหละ ต่อไปก็จะเห็นผลหรอก อย่าเพิ่งติอย่าเพิ่งชม ทำไปก่อน”

ท่านก็เตือนอย่างนี้ รูปไหนพอใจก็อยู่ได้ รูปไหนไม่พอใจก็หนีไป

พระอาจารย์เลี่ยมได้พูดถึงปฏิปทาในการทำงานของหลวงพ่อชาไว้อย่างชัดเจนว่า

“การทำกิจท่านเน้นให้เสียสละ หลักของการเสียสละเป็นทานของสงฆ์ เกิดขึ้นจากจิตใจที่กว้างขวางเห็นประโยชน์ส่วนรวม และการทำท่านจะไม่มีบอกให้หยุด หรือบอกว่าพอเถอะ เพราะคำว่าปฏิปทามันต้องปฏิบัติ คำว่าหยุดไม่มี ส่วนที่ว่ามันจะตึงไปหรือหย่อนไปนั้นก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องสอดแทรกสติของเราเข้าไป เพื่อให้มันเป็นการปฏิบัติที่สม่ำเสมอ

ปัจจุบันหลวงพ่อเลี่ยมเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง และมีสมณศักดิ์เป็นเจ้าคณะพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชภาวนาวิกรม อุดมธรรมสิทธิ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

เพิ่มเติม : งานต่างๆที่ทำกัน หากสิ่งใดขัดต่อพระธรรมวินัย เช่นการขุดดิน ตัดต้นไม้ ก็จะมีญาติโยมที่ศรัทธาอาสามาช่วย หรือผ้าขาว คอยทำให้

พระหนองป่าพงจะทำเฉพาะในส่วนที่ไม่ขัดต่อพระวินัย
(ขอบพระคุณคำแนะนำจากคุณ ภูดิศ อาสนมณี คุยเรื่องหุ้น)
********
เรื่อง : หนังสืออุปลมณี หน้าที่ ๓๑๕-๓๑๖







นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่

วันหนึ่งหลวงพ่อพาพระเณรขนดินขึ้นไปใส่สนามหญ้ารอบโบสถ์ พอดีขณะที่ท่านกำลังยืนสั่งงานอยู่นั้น มีหนุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งมาเที่ยวชมวัด เดินมาพบท่านเข้า พวกเขาเข้ามายืนใกล้ ๆ ท่านทำท่าทางแบบฝรั่งวัยรุ่นกิริยาไม่สู้จะอ่อนน้อมเท่าไรนัก หนึ่งในคณะของเขา ถามท่านหลายอย่างและท้ายที่สุดเขาจึงถามท่านทำนองรุกไล่ว่า

“ทำไมท่านไม่พาพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาทำงานอยู่เรื่อย”

หลวงพ่อชาตอบออกไปทันควันว่า

“นั่งมากมันขี้ไม่ออกว่ะ”

พวกนั้นรู้สึกงุนงงต่อคำตอบของท่าน ทันทีท่านก็ยกไม้เท้าขึ้นชี้ไปยังคนถามปัญหา และสั่งสอนว่า...

“ที่ถูกนั้น นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง ทำประโยชน์บ้าง และทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที อย่างนี้จึงจะถูก กลับไปเรียนมาใหม่ นี้ยังอ่อนอยู่มาก

เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริง อย่าพูด มันจะขายขี้หน้าตัวเอง”

********
เรื่อง : หนังสืออุปลมณี หน้าที่ ๓๑๗






"..คนที่ไม่เข้าวัด หรือไม่ปฏิบัติธรรมจำนวนมากมองว่า คนเข้าวัดเป็นคนเต่าล้านปีบ้าง งมงายบ้าง มัวแต่หาสิ่งเลื่อนลอยบ้าง คนที่คิดอย่างนี้มักจะเชื่อว่าสิ่งที่วัดไม่ได้ นับไม่ได้ ไม่มียี่ห้อ อวดคนอื่นไม่ได้ เป็นของลมๆ แล้งๆ ต้องเป็นสิ่งที่จับต้องได้ มีราคาในตลาด จึงจะเป็นของจริง เงินทอง บ้านช่อง รถยนต์ เครื่องเพชร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แหละคือของจริงของเขา

แต่ทำไมของจริง เหล่านั้นหายไปได้ ทำไมอยู่ดีๆ หนี้ต่างประเทศของนักธุรกิจสามารถเพิ่มขึ้นเท่าตัว ภายในไม่กี่วัน ทำไมรถยนต์ที่เจ้าของรัก และ หวงแหนเหลือเกิน ธนาคารยึดได้ ทำไมคนดังของสังคมหยุดทำงานหรือหมดอำนาจ เมื่อตายไปก็แทบจะไม่มีใครเอ่ยถึง ทรัพย์สมบัติเงินทอง อำนาจ ชื่อเสียง ฯลฯ ต่างหาก ที่นักปราชญ์มองว่าเป็นของมายา เหมือนความฝัน

ถึงแม้ว่าวัตถุจะฝืดเคือง ปัจจัยสี่ต้องดิ้นรนมากกว่าแต่ก่อน ผู้เจริญด้วยนามธรรมก็ยังยิ้มได้ (ยิ้มจากใจ ไม่ใช่แค่บริหาร กล้ามเนื้อใบหน้าเพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง) เพราะแหล่งความสุขของเขายังไม่ถูกทำลาย เศรษฐกิจดีใจเขาไม่ฟู เศรษฐกิจแย่ ใจเขาไม่แฟบ จะมีปัญหาบ้างก็ทำใจได้ เพราะสิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมทำมาตลอดก็คือทำใจ

ภาวนาก็คือการทำใจนั่นเอง ทำใจให้มีกำลังพอที่จะอยู่กับความจริง พุทธศาสนาสอนว่าความสงบเกิดจาก การรู้เห็นความจริงในทุกเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้น นักปฏิบัติพยายามสำรวมไม่ให้จิตวิ่งเตลิดตามสิ่งน่าปรารถนา ไม่ให้มุทะลุผลักไส หรือปฏิเสธสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา เพียงแต่ให้พยายามรู้เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น รู้ความเกิดของมัน รู้ความดับของมัน รู้คุณ รู้โทษของมัน รู้ วิธีที่จะไม่ตกเป็นทาสของมัน อยู่กับความจริง ปฏิบัติต่อความจริงของชีวิตในทุกขณะ ไม่กลัวความจริง ไม่หันหลังให้ความจริง หรือพยายามกลบเกลื่อนความจริงด้วยกามารมณ์ .."

พระธรรมเทศนา พระอาจารย์ชยสาโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 159 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO