Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ธรรมเข้าถึงใจ

เสาร์ 16 ก.ย. 2017 5:55 am

"พระ ไม่ใช่ว่าจะดีไปทุกองค์
นักการเมือง ก็ใช่ว่าจะดีไปทุกคน
รวมไปถึงข้าราชการ ใช่ว่าจะมีแต่คนดี

ทุกๆ สังคม ทุกๆ วงการ
ย่อมมีทั้งคนดี คนชั่ว คนเลว อยู่รวมกัน
แต่ทุกวันนี้ ดูๆ แล้ว คนชั่วจะมีมากกว่าคนดี

พระอย่างกู อาจจะไม่ดีกว่าพระองค์อื่นๆ นัก
เพียงแต่กู ไม่เก็บสะสมทรัพย์สิน เงินทอง
ที่ญาติโยมถวายมา กูก็ไปทำบุญ
สร้างสาธารณประโยชน์ อีกทอดหนึ่ง"

-:- หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ -:-





"ผู้มีสติปัญญา
ย่อมหาความสงบสุขแก่ใจ
ด้วยอภัยทาน"
-:-หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป-:-






...ตอนได้ยินแต่ชื่อนี้
ยังไม่ได้รับประโยชน์อะไร

ได้ยินแต่ชื่อว่าศีล
แต่ยังไม่ได้รักษา
ก็ยังไม่ได้เห็นประโยชน์

ได้ยินแต่ชื่อของสมาธิ
ยังไม่ได้นั่งสมาธิให้ใจสงบ
ก็ยังไม่เห็นประโยชน์ของสมาธิ

ได้ยินแต่ชื่อปัญญา
แต่ยังไม่เคยเห็นปัญญา
ตอนที่มาฆ่ากิเลสให้ตาย
.
...พอมีปัญญา เห็นว่า
"ทุกข์เกิดจากความอยาก"
ก็หยุดมันได้เท่านั้น
ตอนนั้น ทุกข์นี้หายไปหมดเลย
เบาอกเบาใจ สบายอกสบายใจ
.
.."ต้องปฏิบัติถึงจะเห็นผล"..

..........................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 15/9/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





“ธรรมเข้าถึงใจ”
..ถ้าหากได้ดูดดื่มรสชาติของธรรมะดูสักหน่อย จึงจะรู้ ถ้าพูดให้ฟังก็ฟังอยู่หละ เราไม่ได้ดูดดื่มเอง เราก็ไม่รู้ชัด อย่างเขาเล่าลือกันว่า ผลไม้เมืองนั้นเมืองนี้ มีรสชาติเอร็ดอร่อย เป็นแบบนั้นวิธีนี้ เราฟังแล้ว เรายังไม่ได้ลิ้มรสดู เราก็ไม่รู้ชัดหละ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง เวลาได้กินเข้าไป ลิ้มรสดูแล้ว โอ ! มันใช่จริง ๆ นะ ดีจริง ๆ จึงจะพูดได้
..ลักษณะของธรรมะก็ทำนองเดียวกัน ใจมันต้องได้สัมผัสกับธรรมะก่อน อย่างศีล ๆ ภายใน ว่ามีรสชาติเพียงไหน เราอ่านได้ ความสงบมีรสชาติขนาดไหน เราอ่านได้ สมาธิขั้นต่ำ ขั้นสูง หรือขั้นกลาง มีรสชาติอย่างไหน เราอ่านได้ เหมือนรสชาติต่าง ๆ ที่มาผ่านทางลิ้นเรานี้ อันไหนเผ็ด อันไหนเค็ม อันไหนเปรี้ยว อันไหนหวาน เราจำได้ อย่างมาทางจมูก อันไหนหอม อันไหนไม่หอม รู้หมด มาทางร่างกาย ตอนไหนร้อนหรือเย็น รู้จักหมด มาทางตา รูปดีไม่ดีเรารู้จักหมด สวยไม่สวย มาทางหู รู้หมด นี้มาทางใจก็รู้เหมือนกัน ถ้าธรรมะเข้าสู่ใจ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ





เดี๋ยวนี้ดูสิโลกมันร้อนมากนะ พอได้เข้าหาพระหาเจ้า พอได้เห็น
ครูบาอาจารย์ จิตใจมันก็สบาย
ดูซิ คนได้เข้าหาครูบาอาจารย์ มันก็สบายเย็นใจ
แค่เห็นวัดเท่านั้นแหละ เห็นกริยามารยาทของครูบาอาจารย์ จิตมันก็สงบสบาย

ถ้าได้ออกไปทางโลก เดี๋ยวก็วิ่งกลับมาทางธรรมอีก เป็นอยู่อย่างนั้นสังเกตดูซิ
ถ้าใจมันไม่ร้อน ไม่วิ่งกลับมาหรอก

หลวงปู่ลี กุสลธโร





"ที่เราหลงทุกวันนี้ ก็เพราะหนังห่อกระดูกนี่แหละ หนังห่อกระดูกอันนี้แหละทำให้จิตของเรามืด ทำให้จิตของเราหนา"

...หลวงปู่แบน ธนากโร






"ภัย ๔ อย่างของผู้ภาวนา"

๑.ความดื้อดึง ไม่อดทนเชื่อฟังต่อโอวาทที่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนและนำเปรียบด้วยภัย คือ คลื่น

๒.ความเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่หลับแก่นอน ไม่บำเพ็ญเพียร เปรียบด้วยกับ จระเข้

๓.กามคุณ ๕ อย่าง...รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เปรียบด้วยภัย คือ วังน้ำวน

๔.มาตุคาม ที่พระพุทธเจ้าสอนพระอานนท์ไว้ก่อนจะเสด็จปรินิพพานว่า...ควรหลีกเลี่ยงไม่พบปะด้วย...หากจำต้องพบปะก็ไม่ควรพูดด้วย...หากจำต้องพูดด้วย ก็ต้องพูดด้วยความสำรวมมีสติ...ท่านเปรียบด้วยภัย คือ ปลาร้าย

....หลวงปู่ชอบ ฐานสโม





คำถาม : หลวงปู่เจ้าค่ะ ขอเรียนถามข้อสงสัยในสมาธิ พอจิตดิฉันเข้าสู่ภวังค์จะเหมือนร่างกายหล่นจากที่สูงๆ มากลึกสุดประมาณ แต่มิได้เป็นบ่อยนะเจ้าค่ะ นานๆถึงจะเป็นทำให้ดิฉันสงสัยว่าคืออะไร กราบขอหลวงปู่ช่วยให้ความกระจ่างแก่ผู้ด้อยความรู้ด้วยเจ้าค่ะ
คำตอบ : เรื่องการภาวนานั้นเป็นของดีแล้ว เพราะมีความปิติและพอใจในธรรมที่ปรากฏ เป็นอย่างนั้นด้วยอำนาจของปิติธรรม นักภาวนาก็ต้องเจออย่างนั้น บางทีปรากฏว่าเหาะเหินเดินอากาศหรือเดินจงกรมในอากาศ หรือขัดสมาธิในอากาศหรือพลิกคว่ำพลิกหงายในอากาศ เป็นการแสดงปาฎิหาริย์ไปในตัวก็มีสารพัดจะเป็นไป แต่เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา เมื่อถอนออกมาแล้วจงพิจารณาว่า ธรรมอันละเอียดถึงเพียงนี้ก็ยังอยู่ใต้อนิจจังความไม่เที่ยง ขอให้น้อมลงอย่างนั้นอย่าสำคัญว่าเป็นตัวตน เรา เขา สัตว์ บุคคลใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อไม่สำคัญในส่วนนี้จิตก็สูงขึ้นไปกว่าเดิมอีกในตัวแล้ว
จงพยายามทำบ่อยๆ เทอญ และอีกประการหนึ่งให้พิจารณาเห็น อนิจจังพร้อมกับลมหายใจออกเข้า พร้อมทั้งเห็นทุกข์เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนกลมกลืนกันในขณะเดียว ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลัง พร้อมกับลมออกเข้า แม้ศีล สมาธิ ปัญญาที่เรียกว่าไตรสิขา ก็รวมพลุกันอยู่ ณ ที่นั้นเอง จะบัญญัติหรือไม่บัญญัติก็เป็นจริงอยู่อย่างนั้นเอง เมื่อเห็นชัดในส่วนนี้พร้อมทั้งชำนาญและเห็นเนืองๆ อยู่ ความระอาในวัฎฎะสงสารที่เคยหลงมาแล้วก็จะรู้ตามเป็นจริง จะได้ไม่ทะยานอยากในโลกทั้งปวง
เพราะโลกทั้งปวงมีแต่เกิดขึ้นและแปรดับ และมีทุกข์ไม่ใช่ตัวตนดังที่ว่ามาแล้วนั้น จะได้สิ้นความสงสัยในปัญหาของเจ้าตัวที่เคยสร้างขึ้นจะแก้ไม่ยาก โลกคืออะไร.... วัตถุภายนอกคืออะไร..... ที่สร้างขึ้นด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลมก็ดี หรือความนึกคิดแห่งสุข ทุกข์ อุเบกขาก็ดี เกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนและดับไปเสมอกันทั้งนั้น เมื่อลูกไม้ของโลกมีเพียงเท่านี้แล้วนั้น เราก็ไม่มีหนทางจะไปสงสัยอะไรอีก มีแต่รู้ตามเป็นจริง ปฎิบัติตามเป็นจริงพ้นจากความสงสัยตามเป็นจริงเท่านั้น ความดีใจเสียใจในโลกทั้งปวงก็ห้ามเบรคลง ปัญญาก็เกิดขึ้นเหนือความหลงของตนไปซะ เรียกว่ารู้เท่าทุกข์รู้เท่าสังขารแล้ว จิตก็โอนไปเอนไปโน้มไปในพระนิพพาน คืนกลับความหลงของเจ้าตัวแบบเย็นๆ เท่านั้นเอง
ด้วยเดชพระพุทธศาสนา พวกเราทั้งหลาย จงรู้ตามความเป็นจริงในสังขารทั้งปวง พร้อมกับลมออกเข้าในปัจจุบันยิ่งๆ ขึ้นไป หลุดพ้นจากความหลงในปัจจุบันตามเป็นจริงอยู่ทุกเมื่อเทอญ ปัญหาของธรรมแท้ไม่มาก ที่มันมากวนเวียนก็เพราะกิเลสของเราทรงอำนาจ เมื่อปัญญาทรงอำนาจแล้วความสงสัยของเราก็หายไปไม่ขบถคืนเลย จะว่ารู้แจ้งโลกก็ได้ จะว่ารู้แจ้งสังขารก็ได้ จะว่ารู้ทันความหลงของเจ้าตัวก็ได้

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพคีรี (ภูจ้อก้อ)บ้านแวง ต.หนองสูงใต้ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร







กามารมณ์ภายในใจของสามัญชนเราไม่ว่าพระหรือฆราวาส เป็นสิ่งละเอียดและแก้ได้ยาก แต่ติดง่ายมาแต่กาลไหน ๆ บรรดากิเลสก็ตัวกามารมณ์นี่แลที่แสนอ้อยอิ่งยิ่งกว่าเพลงลูกทุ่งลูกกรุงเป็นไหน ๆ สัตวโลกไม่เลือกหน้าจึงติดกัน ผู้ฆ่าตัวกามารมณ์นี้ได้แล้ว เช่นพระอนาคามีเป็นต้น ท่านจึงไม่กลับมาเกิดอีก นิพพานข้างหน้าเลย คือเลื่อนชั้นขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงนิพพานเป็นที่สุด นอกนั้นยังวกกลับมาหาเจ้ากามารมณ์กันทั้งนั้น เพราะเจ้ากามนี้คือแม่เหล็กเครื่องดึงดูดใจของสัตวโลกให้ติดจมอยู่ในสามภพไม่มีจบสิ้นลงได้ง่าย ๆ
.
การพิจารณาแก้กิเลสตัวนี้ ท่านสอนให้พิจารณากรรมฐานห้าตลอดอาการสามสิบสองของร่างกายทั้งกายภายนอกและกายภายใน คือร่างกายเขาร่างกายเรา โดยความเป็นอสุภะอสุภัง ปฏิกูลโสโครกไม่สวยไม่งามตามความเป็นจริงที่มีอยู่ในกายอันนี้ ราคะตัณหากามารมณ์จะค่อยเบาลง ใจจะพอมีทางสงบได้ไม่เพ้อฝันอยู่ทั้งวันทั้งคืน

.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
คัดจากหนังสือ เมตตาธรรม






พระพุทธองค์ ท่านเปรียบเทียบจิตใจคนเราทั่วไปว่าเหมือนกระแสน้ำ ไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ ไหลจากภูเขาที่ราบสูง ไปยังลำคลองแม่น้ำ รวมกันยังที่มหาสมุทร จิตใจก็เหมือนกัน ก็จะไหลลงไปยังที่ต่ำ ที่กิเลสตันหา อาสวะ ความรักโลภโกรธหลง ดึงไปรวมกัน ไปยังทะเลทุกข์ เวียนว่ายตายเกิด สำหรับนักประพฤติปฏิบัติธรรม ถ้าต้องการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น หลุดพ้นจากทะเลทุกข์ ต้องทวนกระแสจิตใจ ทวนความขี้เกียจขี้คร้าน ทวนความหิว ความอยาก ความง่วง ทวนกระแสทุกอย่างที่ดึงจิตใจลงไปทางต่ำ เมื่อจิตใจมีกำลังมากขึ้น กำลังสติปัญญาเพิ่มมากขึ้น ถึงขั้นมหาสติ มหาปัญญา มีความรู้ความ ความเห็นตามธรรมะ ไม่ใช่เห็นแบบทั่วๆไป ต้องรู้ยิ่งและเห็นจริงเท่านั้น เมื่อนั้นละ จึงจะนำเอาไปใช้ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจดได้

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
(พระเทพวิสุทธิมงคล)
วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง)
ศรีสมเด็จ ร้อยเอ็ด







"จิตสุดท้าย"

ถาม : จิตสุดท้ายก่อนตายหมายถึงว่าก่อนเราสิ้นลมเราคิดถึงเรื่องบุญหรือบาปก็จะไปเกิดตามสิ่งนั้นก่อน หรือว่าเอาบุญและบาปที่ทำมาบวกลบคูณหารกันแล้วถึงสรุปเป็นไปเกิดตามนั้นคะ

พระอาจารย์ : คือจิตของเรานี้มันเป็นจิตสุดท้ายตลอดเวลา ตอนนี้มันเป็นอะไร ก็ถ้าตายตอนนี้มันก็เป็นอย่างนั้นทันที มันบวกลบคูณหารมันบาลานซ์บัญชี มันทำของมันอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่จะมารอทำตอนที่ตาย ถ้าจิตมันคิดดีมันก็ไม่ไปคิดร้าย ถ้าจิตคิดร้ายมันอยู่ดีๆ มันจะไปคิดดีมันย่อมเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ที่การฝึกของเรา ตอนนี้ถ้าเราฝึกให้มันคิดดี มันก็จะคิดดี ตอนตายมันก็จะคิดดีมันไม่มีทางที่จะไปคิดร้ายหรอก ถ้าตอนนี้เราคิดร้าย ตอนตายมันก็คิดร้าย มันจะไปคิดดีได้ยังไง ขนาดตอนเป็นยังไม่คิดดี แล้วตอนตายจะไปคิดดีได้ไง

ฉะนั้น จิตสุดท้ายก็คือจิตปัจจุบันนี่แหละ จิตเราตอนนี้เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละ ตอนนี้เราเป็นยังไง เวลาตาย เราตายในอดีตหรือตายในอนาคต เราก็ตายในปัจจุบันใช่ไหม อดีตไม่มี อนาคตไม่มี มีปัจจุบันเท่านั้นเอง และอาการของจิตที่เป็นปัจจุบันก็คืออาการสุดท้ายของจิตนั่นแหละ ฉะนั้นพยายามทำจิตปัจจุบันให้เป็นจิตที่ดี จิตที่สงบ จิตที่นิ่ง เวลาตายมันก็จะเป็นอย่างนั้นไป ถ้าเวลาปัจจุบันมันวุ่นวายฟุ้งซ่านเครียดกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ เวลาตายมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ มันจะไปเป็นอย่างอื่นได้ยังไง.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ตอบกระทู้