"ให้นึก ให้เจริญอยู่ ทุกลมหายใจว่า เราต้องตาย ตัวเราของเรา ไม่มี มีแต่ตาย อย่าได้พากันประมาท ผู้ใด ไม่นึกถึงความตาย ที่จะมาถึง ชื่อว่า เป็นผู้ประมาท” -:- หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร -:-
เมื่อบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ เป็นปกติมารยาทได้แล้ว ถึงจะประพฤติคุณธรรมอย่างอื่น ก็มักยั่งยืน ไม่ผันแปร นี้แลเป็นประโยชน์แห่งการบัญญัติศีลขึ้น. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
"...คนที่จะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นจากกรรมได้ ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดใจถือใจเป็นสำคัญ จะมาเกิดก็เพราะใจ เกิดแล้วจะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ถ้าใจไม่เป็นทุกข์ ใจไม่ยึดถือ ปล่อยทิ้งเสีย กายอันนี้ก็ไปตามเรื่องของกาย ใจก็เป็นตามเรื่องของใจ หมดเรื่องหมดราวกันที..." โอวาทธรรมคำสอน.. องค์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
จิตว่าง "... คำว่าจิตว่างอยู่ลึก ๆ คือ จิตหลุดพ้น อันนี้เป็นจิตหลุดพ้นจากอารมณ์สัญญา หรืออารมณ์ภายนอก แต่ถ้าหากจิตนั้นมีการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ก็มิใช่เป็นจิตหลุดพ้นจากอารมณ์ แต่เป็นจิตหลุดพ้นจากกิเลส แต่ถ้ามันว่าง ๆ มันก็หลุดพ้นอยู่เฉพาะในขณะที่อยู่ว่าง ๆ ถ้าว่าง ๆ แล้วออกมารู้อะไร ไม่มีอาการของกิเลสเกิดขึ้น ความยินดีไม่มี ความยินร้ายไม่มี ความรัก ความชังไม่มี ความยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์ไม่มี อันนี้มันก็เป็นจิตหลุดพ้น แต่ถ้าออกมาแล้ว มันก็เกิดมีกิเลสความยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์อยู่ รูปยังเป็นของเรา เวทนายังเป็นของเราในความรู้สึกอยู่ อันนั้นจิตมันหลุดเฉพาะในขณะที่อยู่ว่าง ๆ เป็นวิกขัมพนปหาน ข่มกิเลสด้วยกำลังฌานคือ สมาธิ แต่เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็มีกิเลสอยู่อย่างเก่า ทีนี้ถ้าเราทำจิตได้อย่างนี้แล้ว เราทำบ่อย ๆ ความว่างนี้มันจะสะสมกำลังขึ้นมา แล้วมันจะเป็นความว่างตลอดกาล แต่ความว่างของจิตในขั้นนี้ มันมีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะที่ ๑ ความว่างจากอารมณ์ คือ ไม่มีอารมณ์รู้สึก นึกคิด จิตไปตกกระแสอยู่ในความว่าง แล้วก็ว่างอยู่เฉย ๆ ว่างอีกอย่างหนึ่งนั้น ในเมื่อจิตว่างแล้วเกิดความรู้ขึ้นมา แต่ไม่ยืดถือ ไม่ติดในสิ่งนั้น อันนี้คือความว่างจากกิเลสคือความยึดถือในอารมณ์ เป็นการปล่อยวางอารมณ์ของจิต พึงเข้าใจความว่างของจิตในลักษณะ ๒ อย่างดังที่กล่าวมา ..." โอวาทธรรมคำสอน.. องค์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
"...อาการบังคับตัวเอง ให้กำหนดลมหายใจ ข้อนี้เป็น ศีล การกำหนดลมหายใจได้และติดต่อกันไป จนจิตสงบ ข้อนี้เรียกว่า สมาธิ การพิจารณากำหนดรู้ลมหายใจว่า ไม่เที่ยง ทนได้ยาก ข้อนี้เรียกว่า ปัญญา..." โอวาทธรรมคำสอน.. พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
|