นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 17 ม.ค. 2025 1:41 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 22 ก.พ. 2018 8:09 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4804
ทุกข์นี้มันเหมือนไฟที่เผาร่างกาย ทุกข์ใจของเรานี้ มันทารุณรุนแรงกว่าไฟที่เผาร่างกายมากมายหลายร้อยเท่า แต่เรากลับมองไม่เห็นว่ามันเป็นภัยสำหรับเรา
เรากลับสร้างความทุกข์ให้กับเราอยู่เรื่อยๆ ทุกข์กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ มีใครมาบอกให้หยุดก็ไม่หยุดจะเอาแต่ใจของตนเอง อยากจะให้ได้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ ถ้าไม่ได้ก็ทุกข์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ นี่แหละคือ ความโง่เขลา เบาปัญญา อวิชา โมหะ ที่หลอกให้ใจผลิตความทุกข์เผาใจตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่เจริญปัญญา ไม่พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เห็นอริยสัจ ๔ เพราะไม่บำเพ็ญ ไม่เจริญสติ ไม่นั่งสมาธิ ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล
อยากจะได้สิ่งต่างๆ ตามความอยากของตน ความอยากในกามตัณหา วิภวตัณหา วภตัณหาเท่านั้น แล้วก็ไปสร้างทุกข์ให้กับตนไม่พอ ยังไปสร้างทุกข์ให้กับคนอื่นด้วย ไปเบียดเบียนคนอื่น ไปรังแกคนอื่น อันนี้ก็เป็นเพราะว่า ไม่สนใจเรื่องบุญ เรื่องกุศล เรื่องของการทำทาน รักษาศีล ภาวนา สนใจเเต่เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สนใจความสุขทางตาหูตาลิ้นจมูกกาย ใจก็เลยผลิตแต่ไฟนรกมาเผาตัวเองอยู่โดยไม่รู้สึกตัว จะเผาไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แต่ชาตินี้ชาติเดียว เผาแล้วนับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ไม่รู้กี่พระองค์ ก็ผ่านมาแล้วไม่ได้รับประโยชน์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเลย ก็ยังผลิตกามตัณหา วิภวตัณหา ภวตัณหา มาคอยเผาใจตนเอง และเผาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ไม่ปฏิบัติ ไม่เร่งความเพียร ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่ภาวนา
และให้ทำตามขั้นตามลำดับไม่ให้ติดอยู่ขั้นใดขั้นหนึ่ง ทำทานแล้วก็ต้องก้าวเข้าสู่ขั้นศีล ขั้นศีลแล้วก็ต้องก้าวเข้าสู่ขั้นภาวนา อย่าไปคิดว่า ทำทานแล้วพอแล้วได้ทำบุญแล้ว อันนี้เป็นเสี้ยวหนึ่งของบุญ เสี้ยวใหญ่ยังไม่ได้ทำกัน เสี้ยวใหญ่ก็คือการภาวนา ต้องภาวนาต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะหลุดพ้น จนกว่าจะทำลายกิเลสตัณหาอุปทาน ความยึดมั่นถือมั่นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เท่านั้น ถึงเรียกได้ว่า ได้ทำบุญเต็มที่ในโลกนี้แล้ว.
ส่วนหนึ่งจากเทศนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




..บางคนเกิดมาไม่รู้จักศาสนา เพราะชาติก่อนเขา
มีนิสัยมาจาก..สัตว์เดรัจฉาน
บางคนเกิดมาสร้างแต่..ความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
เพราะชาติก่อนเขา มีนิสัยมาจาก..นรกมาเกิด
บางคนเกิดมา..รู้จักเสียสละ ทำบุญให้ทาน
รักษาศีลภาวนา เพราะชาติก่อนเขามีนิสัย
มาจาก..สวรรค์มาเกิด บางคน..เกิดมายากจน
เพราะชาติก่อนเขา..ไม่เคยคิดเสียสละทรัพย์สิน
เงินทองข้าวของ ทำบุญให้ทานแก่ผู้อื่น
กรรมจึงจำแนก..ความเป็นอยู่ของแต่ละคน
ให้มีความเป็นอยู่..ที่แตกต่างกันไปต่างๆนานา..
.............................................................................
โอวาทคติธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
(หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป)
....................................................




ถาม : กราบเรียนถามเป็นกรณีศึกษาค่ะ กรณีคุณป้าที่ทุบรถจอดขวางทางเข้าบ้านที่เป็นข่าวอยู่ ควรใช้ธรรมะข้อใดในการแก้ปัญหาคะ
พระอาจารย์ : อ๋อ ก็ใช้กรรมไง ถือว่ามันเป็นกรรมของเราที่จะต้องเจอเหตุการณ์อย่างงี้ ก็ปล่อยมันไป ใช้ความเมตตา ก็คิดว่า เอ้า เขาไม่มีที่จอดรถ เขาอยากจะมาจอดรถตรงนี้ก็ปล่อยเขาจอดไป เราก็หาวิธีแก้ปัญหาแบบที่ไม่มีเรื่องก็คือ ถ้าเราไม่อยากให้เขาจอด เราก็ไปสร้างอะไรกั้นไว้ก็ได้นี่ ไปเอาถังน้ำมงถังน้ำมันหรืออะไรไปวางไว้ แต่อย่าไปทำร้ายของผู้อื่นเขา ทำให้ของเขาเสียหาย.
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต



การปล่อยวางความยึดมั่นในวัตถุและอารมณ์ต่าง ๆ
เป็นจุดมุ่งหมายของศาสนธรรมโดยแท้
แม้ธาตุขันธ์ยังต้องอาศัยสิ่งเหล่านั้นอยู่
ก็ไม่จำต้องยึดถือแบกหามเสียจนหนักอึ้งตลอดเวลา
จนหาความอิสระทางจิตใจไม่ได้
คนเราย่อมเป็นทุกข์กันตรงนี้
มิได้เป็นทุกข์เพราะความไม่มีกินมีใช้
แต่เป็นทุกข์เพราะมีมากน้อยเท่าไร
ก็ยึดมันอย่างเหนียวแน่นต่างหาก
ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าจะมีทางรู้และปล่อยวางภาระ
คือความยึดถือเหล่านี้ได้โดยลำดับและได้โดยเด็ดขาด
นอกนั้นแทบไม่มีและไม่มีทางปล่อยวางได้
นี่เป็นความจริงตามหลักธรรม
..........................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
คัดจากหนังสือ คำถาม คำตอบปัญหาธรรม




ถาม: ที่จะเจริญสมาธิวิปัสสนาเป็น ๒ ทางใช่ไหม
บางคนบอกว่าเป็นทางสมถะ บางคนว่าเป็นวิปัสสนา หรือใช้สลับกันได้?
.
ตอบ: ขณะใดเราต้องการสงบ ขณะนั้นเราทำสมถะ
ขณะใดที่จะพิจารณาด้วยปัญญาให้เกิดอุบายแยกแยะ
ทดสอบทั้งภายนอกภายใน เรียกว่าวิปัสสนา
.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
คัดจากหนังสือ ถามมา ตอบไป




จะบอกวิธีนั่งสมาธิให้ว่า
ทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงทรงนั่งขัดสมาธิ
ดูเผินๆ ก็ดูไม่สำคัญ จะนั่งอย่างไรก็ได้
แต่ถ้าจะนั่งเป็นชั่วโมงๆ ก็ควรจะนั่งขัดสมาธิบ้าง
เพราะทุกส่วนของร่างกายน้ำหนักลงเท่ากัน
เมื่อมีความปวดเจ็บก็จะปวดเจ็บไปทั่วๆ กัน
ไม่เจ็บปวดหนักในส่วนใดส่วนหนึ่ง นั่งนานๆ อาจเจ็บปวดมาก
เพราะการทำสมาธิภาวนา เป็นงานสำคัญมากสำหรับผู้มุ่งผลจริงจัง
การนั่งก็นานเป็นชั่วโมงๆ ถ้าจะมากังวลกับร่างกายมากนัก
ทางด้านจิตใจก็อ่อนแอแล้วแต่ทุกข์ทางกาย
เราต้องมุ่งไปที่จิตเป็นสำคัญ ให้จิตทำงานตามที่กำหนดไว้
และมีสติควบคุมในขณะทำสมาธิ
ไม่ใช่เที่ยวออกไปข้างนอกคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้
จิตที่มีสติบังคับเสมอจะอยู่กับตัว สงบ รู้ตัวได้ชัด
ยิ่งมีสติสืบต่อกันดีเพียงไร จิตก็ยิ่งเด่น
ดังนั้นต้องอย่าให้จิตวอกแวก
.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
คัดจากหนังสือ ถามมา ตอบไป




พวกเราที่ได้เข้าวัดเข้าวานี่ ก็ถือว่ามีอุปนิสัย
พวกที่เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ มีเต็มโลกไปหมดล่ะ
พวกไม่มีบาปมีบุญก็มีอยู่เต็ม
ให้รักษาสมบัติเก่าเรา อย่าให้มันเสื่อมไปทางอื่น...
ให้มันแจ้งเข้าๆ เร่งสร้างบารมี
เดี๋ยวถ้าเกิดใจเด็ดขึ้นมา ไปเลยเดี๋ยวนี้ก็ได้เช่นกันนะ
อย่าไปปราถนานะ เรื่องอื่นน่ะ มันช้า
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
เทศน์เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘




"..ให้พากันภาวนานะ
อย่าลืมพุทโธทุกอิริยาบท
ทานบารมีก็ทำมาจนเป็นนิสัยแล้ว
พากันไปแสวงบุญ
นั่งรถไปทำบุญ ๘ วัด ๙ วัด
เป็นชั่วโมงๆ ยังสู้อานิสงส์
การนั่งสมาธิภาวนา
แม้เพียง๕นาทีไม่ได้นะ
ยิ่งถ้าจิตสงบ
ชั่วขณะช้างวีหูงูแลบลิ้น
ยิ่งมีอานิสงส์ผลบุญมากนะ
เปรียบเทียบกันไม่ได้เลยนะ
บุญมากนะการภาวนา
ให้พากันภาวนาให้มากๆ.."
หลวงพ่อโสภา สมโณ
๘ มิถุนายน ๒๕๕๗





"ความเมตตานี้ทำให้สัตว์ไม่อยากทำร้ายมนุษย์
แล้วทำอย่างไรถึงจะมีเมตตา
ก็การ ให้อภัย เป็นทานนี้ไง
ทำให้เกิด ความเมตตา
การให้อภัยไม่คิดอิจฉา ริษยา อาฆาตร้ายต่อผู้อื่น ใครทำไม่ดีกับเราก็พยายามปล่อยวางให้ได้ พยายามรักทุกคนให้เสมอกันให้ได้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำแบบนี้เรื่อย ๆ ความเมตตาจะบังเกิดขึ้นเอง
คราวนี้ไปที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะถ้าเราไม่คิดร้ายใคร ใครก็ไม่คิดร้ายเราเช่นกัน..."
โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 201 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO