พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
จันทร์ 26 ก.พ. 2018 5:15 am
" ความสงบให้มันเพียงพอ"
.
มีแต่ความมืดกับสว่าง มันเป็นอยู่อย่างนี้
ปีนั้นเดือนนี้ทางโลกเขาใส่ชื่อสมมุติไปหมด
อัตภาพร่างกายของเรานั้นมีแต่ชื่อเรียกไปหมด
ถ้าเป็นขี้ก็เต็มตัวไปหมด ขี้หัวขี้กลากขี้ไคล สุดท้ายก็เป็นดินเป็นน้ำไป
มาหลงของสมมุติใช้ตกแต่งตัวเอง
พิจารณาเข้าไป แล้วก็แก้ไขเข้าไป จิตใจของเราให้มันรู้จริงเห็นจริง
ให้จิตมันรวมดู นี่จิตของหมู่พวกมันไม่รวมสักที
พอไปนั่งภาวนาก็มีแต่ปลงความคิดของตัวเองอยู่อย่างนั้นนะ
เพราะอยากได้อันนั้น อยากเห็นอันนี้ อยากเห็นกายทิพย์ อยากเห็นหูทิพย์ไปนั่น
โอ๊ย มันเกินพระพุทธเจ้าท่าน ในตำราไม่มีนะที่ท่านบรรลุ
แต่กิเลสตัณหาก็ยังปลดเปลื้องออกจากใจไม่ได้
ยังมีความร้อนความกังวลอยู่ในหัวใจอย่างนั้น
ความร้อนมันก็เป็นกิเลสนั่นแหละ ความรัก ความชังนั้น
ถ้าไม่มีมันก็ไม่ร้อนใจนะ ต้องแก้ให้มันถึงฐานของมัน
ต้องพิจารณาให้ถึงฐานของมัน ความสงบก็ให้มีเพียงพอ
โดยมากครูบาอาจารย์ท่านฝึกครั้งแรก มีแต่ฝึกให้เกิดความสงบเสียก่อน
ถ้าจิตมันรวมลงได้แล้ว มันเป็นไปเองเลย
ปัญญามันเกิดขึ้นเองเลย นั่นถึงจะเป็นวิปัสสนา
เราไปคิดเองค้นเอง มันเลยเป็นสัญญาไปหมดนั่นแหละ
ค้นก็ค้นไปกับสัญญานั่นแหละ ได้ยินมาจากครูบาอาจารย์อย่างนั้น
ท่านเห็นอย่างนั้นที่จริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ
แต่จำเอามาจากสัญญาของเราเอง แล้วก็พูดไปคิดไป
ถ้าตัวจริงแท้ๆ ปัญญามันเกิดขึ้นกับตัวเราเองนะ
ถึงจะเห็นตัวจริงนั่นแหละ ธรรมของพระพุทธเจ้า...
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
อยากรู้จักคนดีหรือคนชั่ว
เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
แต่งกายดี วาจาดี กิริยามารยาทดี
ขี้คด ขี้โกง ก็เยอะแยะ พูดจาดี
แล้วเราอยากรู้ตัวเองเป็นคนดี ไม่ดี ไปดูตรงไหน?
ไปดูกาย วาจา อย่างนั้นเหรอ
อยากรู้ว่าเราเป็นคนดีน่ะ มีลักษณะอย่างไร
เอ๋า! ใครรู้คนดีบอกมาซิ
คนดีเป็นลักษณะยังไง?
คนดีของพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
แม้เรานี้ล่ะ จะต้องดูเรา
ลักษณะของคนดีน่ะ
"ขึ้นชื่อว่าความชั่วทำได้ยาก"
ลักษณะของคนดีนั่น
ถ่าเจ้ายังมักเฮ็ดชั่วอยู่ จ้างกะบ่แมนคนดี
#ไตรสรณคมน์
#ละชั่ว_ทำดี_ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว
#เบิ่งเจ้าของ_เบิ่งใจเจ้าของ
หลวงปู่พล ยโสธโร
วัดภูหล่มขุม
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เล่าเรื่อง สามเณรระลึกชาติ คนตายแล้วไปไหน?
“นี่สามเณรที่ระลึกชาติเล่าให้เราฟังในวันเผาศพหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สามเณรแกไม่อยากเล่าเรื่องที่แกระลึกชาติได้ แกบอกว่าถ้าเล่าให้ใครฟังทีไร เป็นไข้ทุกที แกว่าอย่างนั้นนะ แกเข็ด พอเล่าเรื่องชาติหลังย้อนหลังแล้วเป็นไข้ทุกทีไม่เคยพลาด ที่นี่เราอยู่กับสามเณร เอ้า! เราบอก คราวนี้ไม่ให้ไข้ เราก็ว่าอย่างนั้นแหละ เอ้า! เล่ามาให้หมดนะคราวนี้ เรารับรองว่าไม่ให้เป็นไข้ แกก็มาเล่ากับเรานี่ ไม่เป็นไข้ แล้ว ก็ไม่เป็นไข้จริงๆนะ แปลกอยู่นะ สามเณรเล่ากับเราหนเดียว กับเรารายเดียวนี่ไม่เป็นไข้ พอมาถึงเราก็ซักถามกันถึงเรื่องตายแล้วไปไหน
แกเล่าว่า ตอนนั้นเป็นพระ ไปภาวนาในป่า พอดีมาเป็นไข้ป่าตาย พอตายแล้ว แกก็แบกกลดสะพายบาตร ยืนดูเขาเผาศพตัวแกเอง คนมากันเต็มหมด มาเผาศพแก แกก็ยืนดูศพแกอยู่ สะพายบาตรแบกกลดอยู่ดูเขาเผาศพแกเอง เขาไม่สนใจกับแกเลย คนเป็นร้อยๆ เต็มอยู่นั่น เขาไม่สนใจกับแกสักคนเดียวเลย ยืนดูเขาเอาศพของแกไป พอเผาเสร็จแล้วแกก็เดินออกไปทางด้านตะวันออก ศพแกนี่ถูกเผาเป็นเถ้าเป็นถ่านขนาดนี้แล้วจะหวังเอาอะไรอีก แกก็เดินจากไปแล้ว ไม่ห่วงใยแล้ว แล้วก็เดินไปเรื่อย พอเดินมาถึงศาลาใหญ่หลังหนึ่ง ศาลานั้นใหญ่มากทีเดียว นี่เห็นมั๊ย สามเณรนี้เล่าให้ฟังนะ
คนตายแล้ว ไปไหนกัน คนตายแล้วก็จะไปรวมกันศาลาใหญ่หลังหนึ่ง ศาลาหลังนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ยมบาลอะไรเหล่านี้เต็มอยู่นั่น มีสมุดบัญชีเป็นสองกอง กองใหญ่เบ้อเร่อเทียว กองหนึ่งเล็ก แล้วกองหนึ่งใหญ่ กองใหญ่สำหรับบัญชีคนทำชั่ว กองเล็กสำหรับบัญชีคนทำดี พวกนักโทษเยอะ นักโทษนี่ทำกรรมหนัก ทำกรรมเบา กรรมอะไรก็ตาม เขาแยกไว้เป็นประเภทๆ เต็มศาลา
ทีนี้ยมบาลเขาจะเรียกชื่อ พอเรียกชื่อนายนั้นๆ เรียกชื่อปั๊บต้องมาถึงปุ๊บเลย อำนาจแห่งกรรมมันบีบบังคับขนาดนั้น จะอืดอาดไม่ได้ พอเรียกชื่อปั๊บจะมาปุ๊บๆเลย มีกี่คนโทษประเภทนี้ ยมบาลจะเต็มศาลา แต่จะมีหัวหน้ายมบาล ๒นายเท่านั้นแหละ หัวหน้ายมบาลน่ากลัวมากนะ นายหนึ่งนำหน้า นายหนึ่งตามหลัง พอเรียกชื่อเสร็จแล้วก็ไล่ลงไล่ลง พวกนี้ลงไปแล้วก็เรียกพวกนั้นมาอีกเป็นคณะๆ จนกระทั่งหมด
พอลงไปหมดแล้วก็ยังเหลือแต่ยายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ศาลานั่น ยายคนนั้นเป็นคนเหมือนคนวัดเรานี่แหละ เหมือนคนแต่งตัวไปวัดเรานี่ไปถือศีลปฏิบัติธรรม มีผ้าเฉวียงบ่านุ่งผ้าซิ่นเราธรรมดาแต่งตัวไปวัดนี่ ยายแกนั่งอยู่ทางโน่น ยมบาลเขาเรียกยายว่าคุณแม่นะ สำหรับยายคนนี้ ยมบาลเขาเรียกคุณแม่ นอกนั้นเขาเรียกนายนั้นนายนี้ๆ ลงเลยๆ นี่เขาเรียกยายที่ปฏิบัติธรรมว่าคุณแม่
พอพวกนักโทษที่ทำบาปกรรมลงจากศาลาไปหมดแล้ว ยมบาลเขาเรียกเชิญคุณแม่มาที่นี่ ถ้าคุณแม่อยากไปสวรรค์ให้ลงที่นี่เลย คุณแม่จะไปสวรรค์ชั้นไหนให้ลงไปทางนี้ แล้วจากนั้นก็มีรถที่จะมารับคุณแม่ จะเป็นรถ ลงไปจอดที่สระน้ำนี้ แล้วคุณแม่ก็ไปเปลื้องผ้านี้ออก ลงจากสระนี้แล้วก็เดินบุกน้ำไป รถจะมาทางฟากสระน้ำทางนั้น แล้วคุณแม่ก็ขึ้นรถ รถจะประดับตบแต่งใหม่หมด เครื่องประดับประดาตบแต่งเขาจัดเอามาพร้อมรถเลย พอคุณแม่ไปแล้วลงน้ำนี่ปั๊บ รถก็เป็นรถทิพย์เลย ก็ลอยขึ้น เขาก็เชิญเลย จูงขึ้น แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เหาะบึ่งขึ้นเหมือนสำลี รถทิพย์ รถทิพย์พูดอะไรพูดไม่ได้แต่มันประจักษ์กับตาอยู่ว่างั้น เป็นสีงามอร่ามตาอะไรนี้เราพูดไม่ถูก รถทิพย์ แต่ก็ไม่ได้ถามว่ารถทิพย์นี้มาจากสวรรค์ชั้นไหนจะไปชั้นไหน เป็นแต่เพียงว่ายายคนนี้ลงรถแล้วก็กลายเป็นผู้หญิงสาวสวยสะอาดสะอ้านจะได้ขึ้นไปสวรรค์ จากนั้นรถทิพย์ก็เหาะไป
ยังเหลือแต่พระภิกษุรูปเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั่นนะสิ คือพระที่ตายไป เจ้าหน้าที่ยมบาลเหล่านั้นเขาก็ไม่ได้มาสนใจกับพระภิกษุรูปนี้ พอเขาส่งยายคนนั้นเสร็จแล้วเขาก็ทำงานของเขาอยู่บนโต๊ะ
แล้วพระภิกษุก็ถามยมบาลว่า “จะให้อาตมาไปไหน ไม่เห็นเรียกชื่ออาตมาเลย”
ยมบาลพูด “โห ท่านน่ะ ถ้าตั้งใจจะไปเกิดเมืองมนุษย์ก็ให้เดินกลับหลัง เดินย้อนหลังไปทางนี้ ถ้าท่านจะไปสวรรค์ก็ให้ลงไปนี้ ท่านไปได้ทั้งไปสวรรค์ ไปได้ทั้งเมืองมนุษย์ ถ้าท่านจะไปสวรรค์ก็ให้ลงนี้ เหมือนกับยายคนนั้นลงแล้วรถทิพย์จะมารับเอง”
“อาตมาเองไม่ได้ปรารถนาที่จะไปสวรรค์หรือเมืองมนุษย์ อาตมาไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ อาตมาหิวน้ำ อาตมาจะไปหาน้ำ อาตมาจะฉันน้ำก่อน” แล้วก็ลงจากนั้นก็เดินเรื่อยไปๆ เดินมาจนถึงบ้านหลังหนึ่ง บ้านนี้อยู่ริมทุ่งนา ถามเขาว่า อาตมาขอบิณฑบาตฉันน้ำได้มั๊ย เขาก็บอกว่าให้ท่านเดินต่อไปอีกบ้านหลังหนึ่ง เขาจะตักน้ำเตรียมใว้ให้ ให้ท่านเดินไปที่นั่นไปรออยู่บ้านหลังนั้น เขาชี้บอกเห็นบ้านชัดๆ อยู่บ้านหลังนั้น บ้านหลังนั้นจะเกิดเข้าใจหรือเปล่า พอเดินไปถึงที่นั่น จะตักน้ำมาฉัน ก็รู้สึกเคลิ้มๆจะหลับ รู้สึกเหนื่อยเพลียมาก เคลิ้มๆ แล้วหลับไปเลย เลยยังไม่ทันได้ฉันน้ำ
พอตื่นขึ้นมาที่ไหนได้ เกิดแล้ว รู้สึกตัวก็ขยับอะไรไม่ได้ มาเกิดในท้องคน พอเป็นเด็กโตขึ้นหน่อยก็ไม่ยอมใส่เสื้อผ้า ไปหาเศษผ้ามาห่ม ผ้าสีเหลืองนะ แล้วพอพูดได้ก็บอกคนนั้นไม่ใช่พ่อ คนนี้ไม่ใช่แม่ พ่อแม่อยู่หมู่บ้านนั้น ตำบลนั้น บ้านเดิมอยู่บ้านโคกเลาะ เขาพูดชื่อสถานที่ถูกหมดนะ พอโตขึ้นแกก็บวชเป็นสามเณร เห็นมั๊ยสามเณรระลึกชาติ
คำว่าระลึกชาติได้นี้กับพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้มันต่างกันนะ การระลึกนั้น ระลึกนี้ รู้นั้น รู้นี้ มันอาจเคลื่อนคลาดเพราะคนกระเสือกกระสนกระวนกระวาย ไม่ได้เหมือนพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าที่ระลึกชาติย้อนหลัง เช่น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ เฉพาะชาติของพระองค์นี้มีกี่ภพกี่ชาติทรงทราบได้ตลอดทั่วถึง ตลอดถึงภพชาติของสัตว์ทั้งหลายรู้ได้หมดด้วยพระญาณหยั่งทราบ ไม่ได้ด้วยการสลบไสลเหมือนอย่างโลกทั้งหลายเขาเป็นกัน คนนั้นตายฟื้นกลับคืนมาแล้วระลึกชาติได้อย่างนั้นอย่างนี้แล้วมาฮือกันเป็นบ้าไป
พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระญาณหยั่งทราบ ประกาศธรรมสอนโลกมานี้กี่ปีแล้ว ไม่เห็นตื่นกันบ้าง มันเป็นบ้าหรือยังไงมนุษย์เรานี่มันอยากว่าอย่างงั้นนะเรา ไปตื่นกับเรื่องแบบบ้าอย่างงั้น พวกคนสลบไสลตายฟื้นกลับคืนมาแล้วมาระลึกชาติได้ แล้วตื่นกันฮือฮาๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นคนสลบไสล ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นอรรถเป็นธรรมเป็นศาสดาเอกของโลก รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลาย ประกาศธรรมสอนไว้ทำไมถึงไม่ตื่นกันบ้าง
ให้พากันตื่นนะ ไม่ตื่นไม่ได้นะ ใครทำบาปทำกรรมจะจมจริงๆนะ ฟังซิว่านรกเดือดพล่านๆ ไม่มีวัน มีคืน มีปี มีเดือน มีแต่เผาใหม่สดๆร้อนๆอย่างนั้นตลอดเวลา พวกนรกนี้ก็อัดแน่นๆ เพราะมนุษย์ทั้งหลายที่ทำแต่กรรมชั่วนั่นซิ ทางสวรรค์นี้เบาบางมาก น้อยคนจะได้ไปนะ ทางนรกนี้แน่นหนามากทีเดียว”
“ธรรมลีนี้พอบวชแล้ววิ่งตามเรา เกาะติดเลยนะ ไล่อย่างไรก็ไม่ไป วันนั้นวันเผาศพหลวงปู่มั่นวันนั้นบวชพระกันเยอะนะ วันเผาศพหลวงปู่มั่นมีพระบวชกันเยอะ ธรรมลีบวชวันนั้น พอบวชแล้วเกาะติดเลย ไล่อย่างไรก็ไม่ไป อย่างไรกันนี่ เป็นอย่างนั้นมาตลอดนะ ไปไหนเกาะติดๆ ไล่ไปไหนไม่ไป เราอยู่คนเดียวเราจะไปคนเดียว เพราะนิสัยเราชอบคนเดียว
อันนั้นชอบติด เลยติดกันเรื่อยเกาะติดไปไปถึงบ้านชะโนดดง ไปถึงชะโนดดงเราเข้าไปอยู่ในป่าช้า ไล่ธรรมลีอยู่ในทุ่งนา เราเข้าไปอยู่กลางป่าช้า ธรรมลีกลัวผี เราไม่รู้ ถ้ารู้ว่าธรรมลีกลัวผีจะไล่เข้ากลางป่าช้า เราจะออกมาอยู่ข้างนอก พอเผลอเราเปิดหนีเลย มันก็สู้บุญไม่ได้นะ ธรรมลีนี้ละ ชะโนดนู่นไกลนะ เพราะเราชอบไปแต่เราคนเดียว คือมันสะดวกสบายทุกอย่างแต่ไหนแต่ไรมาเราไปเที่ยวกรรมฐานเราไปแต่องค์เดียว เราไม่ไปกับใครละ เที่ยวกรรมฐานไม่มีใครติดตามเลยตอนเราเที่ยว
ตอนเผาศพพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นบวชกันเยอะ ธรรมลีบวชแล้วติดตาม ไล่ไม่กลับนะ อย่างนั้นละเศรษฐีธรรมนะนั่น ธรรมลีเศรษฐีธรรมนะ เอาจริงเอาจังมาก ติดเรามาตลอดนะธรรมลี ติดมาตลอด”
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
คุณหมออมรา มลิลา ซึ่งเป็นศิษย์ฆราวาสคนสำคัญของท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ได้เมตตาเล่าชีวิตในวัยเด็กเล็ก ของท่านพระอาจารย์สิงห์ทองไว้เพิ่มเติมดังนี้
"ท่านอาจารย์สิงห์ทองเป็นคนจริง สมัยวัยเด็กสัก ๒ ขวบ เมื่อเด็กๆ ความที่ท่านซนมาก เวลาที่ญาติผู้ใหญ่เค้ากินข้าวกัน ท่านก็จะไปทำจนกระทั่งเขากินข้าวไม่ได้ คุณโยมแม่ก็เลยเอาเชือกผูกขา แล้วก็ผูกกับเสาเอาไว้ ท่านก็โก่งจู๋ท่าน แล้วก็ฉี่จนกระทั่งมันเข้าไปในสำรับกับข้าว ท่านร้ายอย่างนั้น อันนี้คุณโยมแม่เล่า เพราะว่าตอนที่พยาบาลคุณโยมแม่ คุณโยมแม่ก็จะเล่าให้ฟังถึงว่า โอ๊ย ! ท่านซนยังไงบ้าง
เราต้องถือตามข้อเท็จจริง คือเราถืออย่างนี้ ตอนที่เขาเขียนประวัติหลวงปู่ชา สุภทฺโทกันน่ะ ที่ท่านพูดถึงที่สู้กับกามราคะ และที่ท่านบอกองคชาติท่านนั่นมาก ท่านต้องถลกผ้าสบงขึ้น แล้วพวกคนที่ทำหนังสือ ก็จะไม่ยอมใส่ตรงนั้น ท่านบอกว่า "ถ้าตัดทิ้งก็ไม่ต้องทำ ถ้าทำก็ต้องทำอย่างนี้" เพราะว่าท่านบอกว่า ลูกศิษย์ที่กำลังเผชิญอย่างนี้จะได้เข้าใจว่า #พ่อแม่ครูอาจารย์เนี่ยก็เป็นคนธรรมดาอย่างนี้ #แล้วก็ผ่านมาเหมือนกัน #จะได้มีกำลังใจ เพราะฉะนั้นเราถึงได้บอกว่า คนเราบางคนเนี่ย ใครๆ ก็ว่า อู๊ย ! มันบวชไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ แต่ก็ดูอย่างท่านอาจารย์สิงห์ทองสิ ก็จะได้เห็นภาพ ถ้าเผื่อ โอ้โห ! ท่านเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้นะ ทุกคนก็เลย โอ๊ย ! เราไม่มีวาสนา ไม่ใช่ว่าไปประมาทล่วงเกิน แต่ว่า เราให้เห็นไงว่า คนคนหนึ่ง เวลามันพลิกนี่ มันพลิกยังไง"
จากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
มูลนิธิพระสงบ มนสฺสนฺโต
ซาบซึ้งในคุณครูบาอาจารย์
ทราบว่าท่านให้คำแนะนำ เรื่องการปฏิบัติภาวนาได้ถูกต้องแม่นยำ ไม่ผิดเพี้ยน จากหลักความจริง ตามธรรมคำสอนของพระหลวงตามหาบัวทุกอย่าง
ท่านจะพูดเสมอว่า “พระหลวงตาสอนให้แม่ปฏิบัติมาอย่างนี้ ถ้าเป็นคำพูดของพระหลวงตาแล้ว ยิ่งการปฏิบัติภาวนาจะคลาดเคลื่อนไปไม่ได้เลย…”
ท่านบอกสมัยก่อนปฏิบัติอยู่ที่บ้านเวลามีปัญหาติดขัดด้านการภาวนา ก็อาศัยกราบเรียนพระหลวงตาตอนไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ขณะคุณแม่ใส่บาตร พระหลวงตาจะเมตตาถาม “ภาวนาเป็นยังไง” คุณแม่จึงกราบเรียนพระหลวงตา ท่านก็จะแนะนำอย่างต่อเนื่อง ช่วยแก้ปัญหาการปฏิบัติภาวนาให้ท่านตลอด
คุณแม่จันดี เล่าว่า “การปฏิบัติภาวนาถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะสอนจะช้าได้
เพราะช่วงปฏิบัติภาวนา เรารู้เห็นอะไร มันก็ชวนให้หลงให้ติด เพราะเป็นความอัศจรรย์ ที่เราเกิดมาไม่เคยพบ – เห็นเลยในชีวิต และไม่มีแสดงอยู่ที่ไหนในโลกนอกจากผู้ภาวนา แต่ละรายจะรู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง รู้ขึ้นในใจของตัวเอง
เป็นสันทิฏฐิโกประกาศป้างขึ้นที่หัวใจ ไม่ต้องถามใคร…ไม่ต้องให้ใครมาโกหกเราได้ พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ลี้ลับ ไม่ปิดบัง เปิดเผยเสมอ มีอยู่ตลอดกาล…ธรรมความจริง ธรรมไม่ตาย เปิดเผยสง่างาม อยู่ทุกกาล ทุกสมัยตลอดมา และตลอดไป…เป็นแต่ ผู้คนจะมีจิตยินดี และต้องการหรือไม่”
ได้ยินคุณแม่ท่านเล่า จำได้เป็นข้อความบางตอน ที่อยากสื่อธรรม เพื่อเป็นบารมีธรรมของผู้นำเสนอสื่อธรรมเข้าสู่ใจ ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ
มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”
คุณแม่จันดี ตอบ
“แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”
ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า “จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน(พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า(คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพ – เทวดา”
คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”
พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่(คุณยาย)ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว
ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุก ๆ เรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม – ปฏิบัติตาม
ท่าน (ถ้าว่าอาหารท่านก็ปรุงไว้ให้เสร็จแล้ว เราลูกศิษย์ ตั้งใจกินอย่างเดียว
อิ่มแล้วจะรู้เอง…)
คุณแม่จันดี ท่านเมตตาเล่า การปฏิบัติของท่านที่ยากลำบาก แม้จะไม่ได้ขึ้นภูเขา เข้าป่า แต่ธรรมที่ท่านได้มา ก็แลกด้วยชีวิต
ความตอนหนึ่งที่ประกาศขึ้นในจิตท่านว่า“ให้เอาชีวิตแลกธรรม” ตอนนั้นพระหลวงตาก็บอกให้ท่านเร่ง “มึงอย่าเสียดายชีวิตนะ เร่งเลย ๆ ผ่านไปอีกระยะหนึ่งพระหลวงตาเข้ามาฝ่ายผู้หญิง ถามท่านว่า “เป็นยังไงจิต” คุณแม่บอกอยากกราบเรียนท่านตามจิตเป็นอยู่ แต่รั้งไว้ไม่พูดหมด ตอบเพียงว่า “จิตช่วงนี้ไม่กลัวตายจิตกล้ามาก สภาวธรรมความเกิด – ดับเร็วมากเหมือนฟ้าแลบ” พระหลวงตาร้องขึ้นเสียงดัง “โอ้จิตถึงขนาดนี้แล้ว เร่งเลย ๆ ๆ ๆ ไม่นาน อีกไม่นาน (ท่านย้ำ) เร่งเลย ๆ ๆ ๆ”
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2535 ในคืนนั้นฟ้าครึ้ม ลมแรง คุณแม่จันดีเป็นห่วงพี่สาว (คุณยายตัน) ท่านเดินไปดูพี่สาวที่แคร่ และปิดผ้าม่านให้เพราะลมแรง กลัวว่าฝนตกจะเปียก(พี่สาวที่ภาวนาอยู่) จึงกลับมาที่กุฏิ ท่านกราบพระนั่งภาวนา ท่านบอกจิตท่านแปลก ๆ นั่งถึงเวลา 5 ทุ่ม (รู้ขึ้นในจิต)
“เกิดสภาวะโลกธาตุหวั่นไหว ก้นท่านลอยขึ้นจากพื้นสูงประมาณ 1 ศอก ทุก ๆ อย่าง เกิดขึ้น พร้อม ๆ กัน เสียงประกาศก้องขึ้นในจิต ขณะนั้นว่า อายะตะนะ นั้นมีอยู่ แต่ไม่มี ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์นั้นแหละ คือที่สุด แห่งทุกข์ ขณะเดียวกัน อวิชชาได้กระเด็นขาดออกจากจิต ทุก ๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ไม่มีก่อน ไม่มีหลัง
ท่านบอก
“แต่เวลาพูดจำเป็นต้องเรียบเรียงเรื่องให้คนฟังเข้าใจ ไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบกับสิ่งที่มีอยู่ในโลก เพราะเป็นของเหนือโลก”…
คืนนั้น ท่านกราบนอบน้อมถึงคุณพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ถึงคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ท่านบอกในขณะจิตนั้นพระอรหันต์ทุก ๆ ๆ องค์ ได้มาช่วยหนุนจิตโดยเฉพาะพระหลวงตาทั้งเป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายในสายโลหิต(เลือด) เดียวกันในชาติปัจจุบัน คืนนั้นท่านไม่นอนทั้งคืน…
พบพระหลวงตาอีกครั้ง กราบเรียนท่านถึงสภาวธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น…พอจบ”
พระหลวงตาพูดขึ้น “อ้ายหมดห่วงแล้ว”(พี่หมดห่วงน้องแล้ว)…
********************
คุณแม่จันดี โลหิตดี
ธรรมทาน นิพพานะปัจจะโยโหตุ
“ . .มัจจุราช..มันไล่เข้าๆแล้วนะ มันบีบเข้าๆอยู่นั่น
คนเรานี้มันก็เท่านั้น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดๆ อยู่อย่างนั้น
มีแต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านไม่อุปทาน ความยึดมั่น
ฟังไปก็ไม่เอาไปพิจารณา ไปกำกับจิตของเจ้าของ มันก็ไม่เกิดผลนะ มันเอาแต่ความจำ ความจริงมันไม่เกิดกับใจเจ้าของ . ."
.............................................................................
โอวาทธรรมคำสอน พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ลี กุสลธโร
ความโกรธตัวนี้มันเผาผู้เป็นเจ้าของก่อน มันไม่ไปเผาคนอื่น
ถ้าผู้มีธรรมในใจแล้ว เขาไม่สนใจแล้ว เขาสบายแล้ว
บ้าก็อยู่ที่ปากเขา จะดีก็อยู่ที่ปากของเขา
เราจะไปสนใจอะไร ผู้เห็นอรรถเห็นธรรมเป็นอย่างนั้น
- โอวาทธรรม หลวงปู่ลี กุสลธโร -
วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
"ชาวบ้านใส่บาตร เขาก็หวังบุญ
เป็นพระใหม่ มีอะไรไปให้เขาล่ะ?
ถ้าไม่มีอะไรไปให้เขา ก็สำรวมระวังเจ้าของให้ดี
เขาเอาข้าวมาแลกบุญ เราเป็นเนื้อนาบุญอยู่หรือเปล่า?
เดินบิณฑบาตไป ก็อย่าไปคิดนั่นคิดนี่นอกลู่นอกทาง
ถ้าไม่รู้จะสำรวมยังไง ให้นับก้าวไปก็ได้
ออกจากวัดไปถึงบ้านนาสีนวลกี่ก้าว? กลับมาวัดกี่ก้าว?
สำรวมเจ้าของไม่ดี ก็เป็นหนี้ข้าวชาวบ้านเขาทุกคำกลืน..."
โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร
"..พูดถึงการภาวนาก็ไม่ต้องมีพิธีอะไร
ไม่ต้องมีธูป ไม่ต้องมีเทียน ไม่ต้องมีขันธ์ 5 ขันธ์ 8
ไม่ต้องมีการอาราธนา เรื่องพิธีรีตองเป็นเครื่องกังวล
ถ้าหากมีแล้วยึดถือในพิธีนั้น มันเป็นเครื่องกังวลในพิธี
ในเมื่อผลของการกระทำยังไม่ได้ผลเต็มที่ ก็ไปคิดว่า
เจ้าของยังบกพร่องในพิธีการยังไม่ทำ ไม่ถูก
ถ้าหากว่าทำผลปรากฏขึ้นเป็นที่น่าพอใจ
ก็ไปยึดถือพิธีการอย่างนั้น อย่างนั้นถูกต้อง..."
โอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร
"ไม่ใช่แค่พวกเราๆมาร่วมงานกันมากนะ เทพเทวดาก็มาอนุโมทนาบุญ มาร่วมงานกันมากมายเหมือนกัน เททองหล่อพระก็ได้บุญอยู่ แต่ต้องหลอมใจเราให้เป็นพระด้วยนะ..."
โอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่แบน ธนากโร
เนื่องในงานบุญเททองหล่อองค์พระบูรพาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตและ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ณ วัดเขาคิชฌกูฏพระภาวนา จ.จันทบุรี
24 กุมภาพันธ์ 2561
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.