นาคเสนนั้นมาบวช. เมื่อนาคเสนนั้นบวชแล้ว ท่านจงพ้นจากทัณฑกรรม." พระโรหณะผู้มีอายุก็รับคำของพระเถรเจ้าแล้ว. ฝ่ายมหาเสนเทพบุตร ได้จุติจากเทวโลก, ถือปฏิสนธิในครรภ์ แห่งภริยาของโสณุตตรพราหมณ์. ขณะถือปฏิสนธินั้นได้มีอัศจรรย์ปรากฏ สามประการ: คือเครื่องอาวุธทั้งหลายส่องแสงโพลงขึ้นประการหนึ่ง, ข้าวกล้า ที่ยังไม่ออกรวงก็ออกรวงสุกประการหนึ่ง, มหาเมฆบันดาลเมฆให้ฝนห่าใหญ่ ตกลงมาประการหนึ่ง. ฝ่ายพระโรหณะผู้มีอายุ จำเดิมแต่มหาเสนเทพบุตรถือปฏิสนธิมาได้ เข้าไปบิณฑบาตที่ตระกูลนั้นมิได้ขาด ถึงเจ็ดปีกับสิบเดือน, ก็ไม่ได้ข้าวสวย แม้สักทรพีหนึ่ง, ไม่ได้ข้าวต้มแม้สักกระบวยหนึ่ง, ไม่ได้รับใครไหว้ใครประณม มือหรือแสดงอาการเคารพอย่างอื่น แม้สักวันเดียว; กลับได้แต่คำด่าว่าเสียดสี ไม่มีใครที่จะกล่าวโดยดี แม้แต่เพียงว่าโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า ดังนี้ ใน วันหนึ่ง. วันนั้นโสณุตตรพราหมณ์กลับมาจากที่ทำงานภายนอกบ้าน, พบ พระเถรเจ้าเดินสวนทางมาจึงถามว่า "บรรพชิต, วันนี้ท่านได้ไปเรือนของเรา แล้วหรือ ?" ท่านตอบว่า "เออ พราหมณ์, วันนี้เราได้ไปเรือนของท่านแล้ว." พราหมณ์ถามว่า "ท่านได้อะไร ๆ บ้างหรือเปล่า ?"- ท่านตอบว่า "เออ พราหมณ์, วันนี้เราได้." พราหมณ์ได้ยินท่านบอกว่าได้ ดังนั้น, สำคัญว่าท่านได้อะไรไปจาก เรือนของตน, มีความเสียใจ, กลับไปถึงเรือนถามว่า "วันนี้เจ้าได้ให้อะไร ๆ แก่ บรรพชิตนั้นหรือ ?" คนในเรือนตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้ให้อะไรเลย." ครั้นวันรุ่งขึ้นพราหมณ์ นั่งคอยอยู่ที่ประตูเรือน ด้วยหวังจะยกโทษพระเถรเจ้าด้วยมุสาวาท, พอเห็น พระเถรเจ้าไปถึง, จึงกล่าวท้วงว่า "เมื่อวานนี้ท่านไม่ได้อะไรในเรือนของเรา สักหน่อย พูดได้ว่าตัวได้. การพูดมุสาควรแก่ท่านหรือ ?"
พระเถรเจ้าตอบว่า "ดูก่อนพราหมณ์ เราไม่ได้แม้แต่เพียงคำว่า 'โปรด สัตว์ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า' ดังนี้ ในเรือนของท่านถึงเจ็ดปีกับสิบเดือนแล้ว พึ่งได้ คำเช่นนั้นเมื่อวานนี้เอง; เช่นนี้ เราจึงได้บอกแก่ท่านว่าเราได้ ด้วยหมายเอา การกล่าวปราศรัยด้วยวาจานั้น." พราหมณ์นึกว่า "บรรพชิตพวกนี้ได้รับแต่เพียงการกล่าวปราศรัยด้วย วาจา ยังพูดสรรเสริญในท่ามกลางประชาชนว่าตนได้รับ, ถ้าได้ของเคี้ยวของ กินอะไร ๆ อย่างอื่นอีกแล้ว, เหตุไฉนจะไม่พูดสรรเสริญ?" จึงมีความเลื่อมใส สั่งคนให้แบ่งข้าวที่จัดไว้เพื่อตัว ถวายพระเถรเจ้าทรพีหนึ่ง ทั้งกับข้าวพอสม ควรกันแล้ว, ได้พูดว่า "ท่านจักได้อาหารนี้เสมอเป็นนิตย์ จำเดิมแต่วันรุ่งขึ้น." เมื่อพระเถรเจ้าไปถึง; พราหมณ์ได้เห็นอาการสงบเสงี่ยมเรียบร้อยของท่าน เข้า, ก็ยิ่งเลื่อมใสมากขึ้น, จึงอาราธนาพระเถรเจ้าให้ทำภัตกิจในเรือนของตน เป็นนิตย์. พระเถรเจ้ารับอาราธนาด้วยดุษณีภาพ (นิ่งอยู่) แล้ว; ตั้งแต่นั้นมา ทำภัตตกิจเสร็จแล้ว, เมื่อจะไป, ได้กล่าวพระพุทธวจนะน้อยหนึ่ง ๆ แล้ว จึงไปเสมอทุกวัน ๆ. ฝ่ายนางพราหมณี ครั้นล่วงสิบเดือนคลอดบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อนาค เสน. นาคเสนนั้นเติบใหญ่ขึ้นโดยลำดับกาล จนมีอายุได้เจ็ดขวบ; บิดาจึง กล่าวกะเขาว่า "พ่อนาคเสน, บัดนี้เจ้าควรจะเรียนวิทยาในตระกูลพราหมณ์นี้ แล้ว." นาคเสนถามว่า "วิทยาอะไรพ่อ ชื่อว่าวิทยาในตระกูลพราหมณ์นี้ ?" บิดาบอกว่า "ไตรเพทแล, พ่อนาคเสน, ชื่อว่าวิทยา; ศิลปศาสตร์ที่ เหลือจากนั้น ชื่อว่าศิลปศาสตร์." นาคเสนก็รับว่าจะเรียน. โสณุตตรพราหมณ์ จึงให้ทรัพย์พันกษาปณ์แก่พราหมณ์ผู้จะเป็นครู เป็นส่วนสำหรับบูชาครูแล้ว, ให้ตั้งเตียงสองตัวให้ชิดกัน ในห้องภายในปราสาทแห่งหนึ่งแล้ว กำชับสั่ง พราหมณ์ผู้เป็นครูว่า "ขอท่านจงให้เด็กผู้นี้ท่องมนต์เถิด"
พราหมณ์ผู้เป็นครูพูดว่า "ถ้าอย่างนั้น พ่อหนูเรียนมนต์เถิด;" ดังนี้แล้ว, ก็สาธยายขึ้น. นาคเสนว่าตามครั้งเดียว, ไตรเพทก็ขึ้นใจขึ้นปากกำหนดจำได้ แม่นยำ, ทำในใจตรึกตรองได้ดีโดยคล่องแคล่ว, เกิดปัญญาดุจดวงตาเห็นใน ไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิคัณฑุศาสตร์และ' คัมภีร์เกฏุภศาสตร์ พร้อมทั้ง อักษรประเภท พร้อมทั้งคัมภีร์อิติหาสศาสตร์ครบทั้งห้าอย่าง, ว่าขึ้นอย่างหนึ่ง แล้วก็เข้าใจความแห่งพากย์นั้น ๆ พร้อมทั้งไวยากรณ์. ชำนิชำนาญในคัมภีร์ โลกายตศาสตร์ และมหาปุริสลักษณพยากรณศาสตร์ ครบทุกอย่างแล้ว, จึง ถามบิดาว่า "พ่อ, ในตระกูลพราหมณ์นี้ ยังมีข้อที่จะต้องศึกษายิ่งกว่านี้อีก หรือมีแต่เพียงเท่านี้." เมื่อบิดาบอกว่า "ข้อที่จะต้องศึกษายิ่งกว่านี้อีกไม่มี แล้ว ข้อที่ต้องศึกษานั้นมีเพียงเท่านี้," แล้วจึงสอบความรู้ต่ออาจารย์เสร็จ แล้ว, กลับลงมาจากปราสาท, อันวาสนาคือกุศลที่ได้เคยอบรมมาแต่ปางก่อน เข้าเตือนใจบันดาลให้หลีกเข้าไปอยู่ ณ ที่สงัดแล้ว, พิจารณาดูเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดแห่งศิลปศาสตร์ของตน, ไม่แลเห็นแก่นสารในเบื้องต้น ในท่ามกลางหรือในที่สุดนั้น แม้สักหน่อยหนึ่งแล้ว, จึงมีความเดือดร้อนเสียใจ ว่า "ไตรเพทเหล่านี้เปล่าจากประโยชน์เทียวหนอ, ไตรเพทเหล่านี้เป็นแต่ของ จะต้องท่องเพ้อเปล่า ๆ เทียวหนอไม่มีแก่นสาร หาแก่นสารมิได้เลย." ในสมัยนั้น พระโรหณะผู้มีอายุนั่งอยู่ที่วัตตนิยเสนาสน์ ทราบปริวิตก แห่งจิตของนาคเสนด้วยวารจิตของตนแล้ว, ครองผ้าตามสมณวัตรแล้ว, ถือ บาตรจีวรอันตรธานจากวัตตนิยเสนาสน์, มาปรากฏที่หน้าบ้านกชังคลคาม. นาคเสนยืนอยู่ที่ซุ้มประตูแลเห็นพระเถรเจ้ามาอยู่แต่ไกล, ก็มีใจยินดี ร่าเริงบันเทิงปีติโสมนัส, ดำรงว่า "บางทีบรรพชิตรูปนี้จะรู้วิทยาที่เป็นแก่นสาร บ้างกระมัง," จึงเข้าไปใกล้แล้ว, ถามว่า "ท่านผู้นิรทุกข์, ท่านเป็นอะไร จึงโกน ศีรษะและนุ่งห่มผ้าย้อมด้วยน้ำฝาดเช่นนี้ ?" ร. "เราเป็นบรรพชิต." น. "ท่านเป็นบรรพชิต. ด้วยเหตุอย่างไร ?"
|