พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
เสาร์ 19 พ.ค. 2018 5:24 am
ไปเอาบุญ แต่ไม่เจอบุญ
"..บางทีก็พากันไปแสวงหาบุญกัน ไปรถบัสคันใหญ่ ๆ สองคันสามคัน พากันไป ไปกันบางทีทะเลาะกันเสียบนรถก็มี บางทีกินเหล้าเมากันบนรถก็มี" ถามว่าไปทำไม ไปแสวงบุญกัน "ไปแสวงหาบุญ ไปเอาบุญ แต่ไม่ละบาป ก็ไม่เจอบุญกันสักที มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ
อันนี้มันอยู่อย่างนี้(ของวางอยู่) มันจะสะดุดเท้าเราใช่ไหมให้มองดูใกล้ ๆ มองดูตัวเรา พระพุทธเจ้าท่าน ให้มองดูตัวเรา ให้สติสัมปชัญญะอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ท่านสอนอย่างนี้
บาปกรรมทำชั่วทั้งหลาย มันเกิดขึ้นทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ บ่อเกิดของบาปบุญคุณโทษ ก็คือกาย วาจา ใจ เราเอากาย วาจาใจมาด้วยหรือเปล่าวันนี้ หรือเอาไว้ที่บ้าน นี่ต้องดูอย่างนี้ ดูใกล้ ๆอย่า ไปดูไกล เราดูกายของเรานี่ ดูวาจา ดูใจของเรา ดูว่า ศีลของเราบกพร่องหรือไม่อย่างนี้ ไม่ค่อยจะเห็นมี.."
หลวงพ่อชา สุภัทโท
...ผู้ที่ต้องการเจริญทางวิปัสสนานี้
ต้องดึงจิตเข้าไปสู่ ความสงบ
ที่เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ"
.
คือ..สักแต่ว่ารู้
แล้วก็.. "ไม่มีอะไรให้รับรู้"..
มีแต่อุเบกขา มีแต่ความว่าง
สมาธิแบบนี้แหละเป็นประโยชน์
.
เพราะว่าจะทำให้จิตใจมีกำลัง
เพราะว่าเวลาอยู่ในสมาธิแบบนี้
จิตสามารถที่จะกดตัณหาต่างๆ
ไม่ให้ออกมาทำงานได้
......................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 27/9/2558
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
...จิตที่ได้รับการฝึกฝนอบรมดีแล้ว
นำความสุขมาให้อย่างยิ่ง
จิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรม
นำความทุกข์มาให้อย่างยิ่ง
.
สุขทุกข์อยู่ที่จิต
อยู่ที่การอบรมหรือไม่ได้อบรม
อบรมจิตแล้วจิตจะเชื่อง
จิตจะว่างนอนสอนง่าย
จิตจะไม่ดื้อ
จิตจะไม่ไปสร้างปัญหาต่างๆ
.
ถ้าไม่ได้รับการอบรม
จิตจะเป็นจิตที่ดื้อด้าน
จะไปสร้างปัญหาต่างๆ
นี่แหละคือหลักของการปฎิบัติ
.
การปฏิบัติก็คือ
การฝึกอบรมใจของพวกเรา
ที่ตอนนี้ยังเป็นเหมือนสัตว์ป่าเหมือนม้าป่า
ม้าป่านี่ถ้าไปขี่มันมันจะพยศ
มันจะถีบจะเตะ จะพยายามทำให้
คนขี่นั้นตกลงจากหลังม้าให้ได้
.
เพราะมันไม่ต้องการให้ใคร
มาควบคุมบังคับมัน แต่ถ้าหลังจากได้
ควบคุมบังคับมันได้แล้ว มันยอมแพ้
แล้วมันก็จะเชื่อง
มันก็จะให้คนขี่ ขี่อย่างสบาย
คนขี่สั่งให้ไปไหนมันก็ไปตามคำสั่ง
.
จิตของพวกเราก็เป็นเหมือน
สัตว์ป่าที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนอบรม
"จึงต้องทรมานจิต ต้องควบคุมบังคับจิต"
ให้มันอยู่ภายใต้คำสั่งของสติให้ได้
ให้อยู่ภายใต้คำสั่งของ "สติ ปัญญา".
..................................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา20/12/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
...จิตของพระอนาคามีนี้
มันละเอียดขั้นรูปฌาน อรูปฌาน
จิตที่ได้ตัดกามราคะไปนี้
มันจะละเอียดในระดับ
รูปฌานและอรูปฌานโดยอัตโนมัติ
.
จิตที่หยาบเพราะกามารมณ์
กามารมณ์มันทำให้จิตหยาบ
พอทำลายกามารมณ์ได้
จิตมันก็จะละเอียดไป เข้าใจไหม
.
กามารมณ์เหมือน
คนเอาไม้ไปกวนน้ำให้มันขุ่น
พอเราเอาไม้ออกไป
น้ำมันก็ใส น้ำมันก็นิ่งขึ้นมา
จิตถ้าไม่มีกามารมณ์ มันก็นิ่ง
มันก็จะเป็นรูปฌาน อรูปฌานไป
.
แล้วมันเป็นรูปฌานแบบถาวรคือ
ไม่ต้องมาเข้าฌาน
เหมือนกับคนที่นั่งเข้าฌาน
อยู่ข้างนอกมันก็สามารถที่จะ นิ่ง
เหมือนกับเป็นอรูปฌานได้
.
เพราะไม่มีตัวที่จะมาทำให้
ใจมันว้าวุ่น มันขุ่นขึ้นมา
"ใจมันนิ่ง มันเย็น".
...........................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 14/2/2557
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
...วิธีเข้าสมาธิก็ให้หยุดความคิดนี่
ด้วยการใช้คำบริกรรมพุทโธๆ ไป
อย่าไปคิดถึงเรื่องอะไร
นั่งแล้วหลับตาแล้วก็พุทโธๆ ไป
แล้วเดี๋ยวมันก็เข้าสู่ฌานที่ ๑ ที่ ๒
ที่ ๓ ที่ ๔ เอง โดยเราไม่ต้องไปรู้ว่า
ฌานที่ ๑ เป็นยังไง ที่ ๒ เป็นยังไง
ที่ ๓ เป็นยังไง ขอให้มันถึงที่ ๔ ก็พอ
.
ที่ ๔ ก็คือ จิตจะนิ่ง จะสงบ
จะเบา จะมีความสุขมาก
จะเป็นอุเบกขา
จะไม่มีความรักชังกลัวหลงอยู่
.
เวลาถึงฌานขั้นที่ ๔
ก็ให้อยู่ตรงนั้น แช่ไว้นานๆ
อย่าไปดึงมันออกมา
อย่าไปดึงออกมาพิจารณาปัญญา
ยังไม่ใช่เวลา
.
เวลาจะพิจารณาปัญญา
ต้องรอให้ออกจากฌานก่อน
ออกจากสมาธิก่อน
เวลาเข้าสมาธินี้ไม่ต้องการพิจารณา
ต้องการให้มันแช่อยู่ในฌานนานๆ
.
เพื่อจะได้มีกำลังมากๆ
สิ่งที่เราต้องการก็คืออุเบกขา
ความไม่รักไม่ชังไม่กลัวไม่หลงอันนี้
ถ้าเราแช่นานๆ มันก็จะติดมากับใจเรา
.
เวลาเราออกจากสมาธิ
เวลาเราเห็นอะไร
เราก็จะไม่รักไม่ชังไม่กลัวไม่หลง
แล้วเราก็จะสู้กับกิเลสได้
เวลาจะอยากได้อะไร มันก็ไม่อยาก
เพราะมันไม่รัก ที่มันอยากเพราะมันรัก
ถ้าชอบอะไรมันก็อยากจะได้ขึ้นมา
ถ้าชังก็อยากจะให้มันหายไป
.
แต่ถ้าเรามีอุเบกขา
มันก็จะเฉยๆ อยู่กับสิ่งต่างๆ ได้
อยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบได้
แล้วก็สิ่งที่เราชอบ เราก็
ไม่มีมันก็ได้ ..ไม่เดือดร้อน.
.........................................
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 14/12/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
"ปลงให้เป็น เย็นให้ได้ ใจก็สุข
เย็นที่เรา เขาก็สุข เรื่องก็หาย
ปลงให้ไว ใจก็สงบ เรื่องก็คลาย
ปลงให้ได้ ปล่อยให้ไว ใจก็เย็น"
-:- ท่านพุทธทาสภิกขุ -:-
“อย่ารักใครมากจนเกินไป
อย่าเกลียดใครมากจนเกินไป
อย่าชังใครมากจนเกินไป
เพราะอีกไม่นาน
ทุกคนจะต้องตายจากกัน”
-:- หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก -:-
“คนเรา ถึงจะอยู่ด้วยกัน
ก็มีความเห็นไม่เหมือนกันหรอก
แม้จะเป็นพี่น้องคลานตามกันมา
ความรู้สึกนึกคิด ก็ไม่ตรงกัน
แต่เราก็นิ่งเฉยเสียแล้ว
ปัญหาก็จบ ไม่ต้องไปขัดกัน
ทุกวันก็อยู่กันอย่างร่มเย็น
ทำใจนะโยม นักปฏิบัติต้องทำใจ
ทำใจตรงนี้ได้ก็สบาย
ปลดทิฏฐิมานะได้ อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
ถ้าปลงไม่ตก ก็นึกเสียว่าเป็นกรรมก็แล้วกัน”
-:- หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ -:-
อย่าทำอารมณ์ให้วุ่นวาย อย่าใจน้อย
อย่าคิดมาก จงคิดไว้เสมอว่า เราต้องตาย
อย่าห่วงคนอื่นมากเกินกว่ากฏของกรรม
จงนึกถึงความตาย ทุกลมหายใจเข้าออก
อย่าทะเยอทะยาน เรื่องยศศักดิ์
ถึงเวลามันได้ ถึงเวลามันมี
ทำใจให้สบายจะมีความสุข
เรื่องลูก ก็ขอให้ตั้งอารมณ์ไว้ในฐานะพ่อแม่ที่ดี
แต่อย่าดิ้นรนเกินพอดี จะเป็นทางตัดนิพพาน
ให้ไกลออกไป”
-:- พระราชพรหมยาน -:-
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.