"เรื่องของใจ มันพาให้วุ่น คิดโน่นคิดนี่ ไปคิด ไปติด กับคนนั้นคนนี้ มันเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ดูหัวใจตัวเอง
ถ้าดูหัวใจตัวเองแล้ว จะไม่เป็นอย่างนั้น นี่คิดดูสิ ดีก็อยู่ที่ปากเขา ชั่วก็อยู่ที่ปากเขา เขาติฉินนินทา ก็อยู่ที่ปากเขาโน่น เราไม่เอามาเป็นอารมณ์ ก็ไม่มีอะไรๆ ล่ะ
คนที่มีธรรม เป็นอย่างนั้นนะ มีแต่คนไม่มีธรรมนั่นล่ะ ที่วิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา หากอบรมแล้ว จิตมันจะลงพรึ่บเลย ได้กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบครูบาอาจารย์เท่านั้น"
หลวงปู่ลี กุสลธโร
"คำว่าปล่อยวาง ไม่ได้หมายถึง ไม่ได้ทำอะไร คำว่าปล่อยวาง ให้เราปล่อยวาง ที่จิตที่ใจ แต่ธุระหน้าที่การงานของเรา ให้ขยันมากๆ ขยันมากกว่าเก่า
เราทำเพื่อเสียสละ เพราะว่าคนเรา มันเห็นแก่ตัว มันติดสุข ติดขี้เกียจ ติดสบาย ติดขี้คร้าน เราต้องทำงาน เพื่อเสียสละ"
หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
"คุณจะจนหรือจะรวย ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณยังอยากได้อีกเท่าไหร่ ถึงจะรวย
คุณมีแสนล้าน คุณอยากได้อีกแสนล้าน คุณก็จนแสนล้าน
คุณมีหนึ่งร้อย คุณไม่ขาด คุณไม่อยาก คุณก็รวย"
หลวงปู่หา สุภโร
เรื่อง "หลวงปู่เสาร์สอนเรื่องนิมิตภาวนา" เมื่อหลวงพ่อไปเล่าเรื่องภาวนาให้ท่านฟัง ถ้าสิ่งใดที่มันถูกต้อง ท่านบอกว่า เร่งเข้าๆๆ แล้วจะไม่อธิบาย แต่ถ้าหากว่ามันไม่ถูกต้อง เช่น อย่างใครทำสมาธิภาวนามาแล้วมันคล้ายๆ กับว่า พอจิตสว่าง รู้เห็นนิมิตขึ้นมาแล้วก็น้อมเอานิมิตเข้ามา พอนิมิตเข้ามาถึงตัวถึงใจแล้ว มันรู้สึกว่าอึดอัดใจเหมือนหัวใจถูกบีบแล้ว สมาธิที่สว่างมืดไปเลย
อันนี้ท่านบอกว่า อย่าทำอย่างนั้น มันไม่ถูกต้อง เมื่อเกิดนิมิตขึ้นมา ถ้าหากว่าไปเล่าให้อาจารย์องค์ใดฟัง ถ้าท่านแนะนำว่าให้น้อมให้เอานิมิตนั้นเข้ามาหาตัว อันนี้เป็นการสอนผิด แต่ถ้าว่าท่านผู้ใดพอบอกไปว่า ภาวนาเห็นนิมิต ท่านแนะนำให้กำหนดรู้จิตเฉยอยู่ คล้ายๆ กับว่าไม่สนใจกับนิมิตนั้น แล้วนิมิตนั้นจะแสดงปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงไปในแง่ต่างๆ เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะดี มีสมาธิมั่นคง เราจะอาศัยความเปลี่ยนแปลงของมโนภาพอันเป็นของนิมิตนั้น เป็นเครื่องเตือนใจให้เรารู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นิมิตที่เปลี่ยนแปลงเป็นปฏิภาคนิมิต
ถ้าหากว่าเป็นนิมิตที่ปรากฏแล้วมันหยุดนิ่ง ไม่ไหวติง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ บางทีสมาธิของเรามันแน่วแน่ ความทรงจำมันฝังลึกลงไปในส่วนลึกของจิตไปถึงจิตใต้สำนึก เมื่อออกจากที่นั่งสมาธิมาแล้ว เราไม่ได้นึกถึงเหมือนกับคล้ายๆ มองเห็นนิมิตนั้นอยู่ นึกถึงมันก็เห็น ไม่นึกถึงมันก็เห็น มันติดตาติดใจอยู่อย่างนั้น อันนี้เรียกว่า อุคคหนิมิต
ว่ากันง่ายๆ ถ้าจิตของเรามองเพ่งอยู่ที่ภาพนิ่ง เป็น อุคคหนิมิต ถ้าจิตเพ่งรู้ความเปลี่ยนแปลงของนิมิตนั้น เป็น ปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตเป็นสมาธิขั้นสมถกรรมฐาน แต่ปฏิภาคนิมิตนั้นเป็นสมาธิขั้นวิปัสสนา เพราะจิตกำหนดรู้ความเปลี่ยนแปลง อันนี้ถ้าหากว่าใครภาวนาได้นิมิตอย่างนี้ ไปแล้วให้ท่านอาจารย์เสาร์ฟัง ท่านจะบอกว่า เอ้อ ! ดีแล้ว เร่งเข้าๆๆ แต่ถ้าใครไปบอกว่า ในเมื่อเห็นนิมิตแล้ว ผมหรือดิฉันน้อมเข้ามาในจิตในใจ แต่ทำไมเมื่อนิมิตเข้ามาถึงจิตถึงใจแล้ว จิตที่สว่างไสวปลอดโปร่ง รู้ ตื่น เบิกบาน มันมืดมิดลงไปแล้วเหมือนกับหัวใจถูกบีบ หลังจากนั้น จิตของเราไม่เป็นตัวของตัว คล้ายๆ กับว่าอำนาจสิ่งที่เข้ามานั้นมันครอบไปหมด ถ้าไปเล่าให้ฟังอย่างนี้
ท่านจะบอกว่าทำอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง เมื่อเห็นนิมิตแล้วให้กำหนดรู้เฉยๆ อย่าน้อมเข้ามา ถ้าน้อมเข้ามาแล้ว นิมิตเข้ามาในตัว มันจะกลายเป็นการทรงวิญญาณ อันนี้เป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดมาแนะนำเราว่า ทำสมาธิแล้วให้น้อมจิตไปรับเอาอำนาจเบื้องบน หรือเห็นนิมิตแล้วให้น้อมเข้ามาในตัว อันนี้อย่าไปเอา มันไม่ถูกต้อง ในสายหลวงปู่เสาร์นี้ ท่านสอนให้ภาวนาพุทโธ
(เล่าโดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
"สอนไผ บอกไผ กะบ่ดีเท่า บอกตั๋วเก่า สอนตั๋วเก่านิ เตือนสติตั๋วนินักๆ ไผบอกสอนก้าเปิ้น(คนอื่น) จ๋นลืมดูตั๋วเก่า สอนตั๋วเก่าบ่ได้นั่นนะทิฐิมานะตั๋วใหญ่มันขบหัวกิ๋นหัว ระวังหื้อดี " โอวาทธรรม หลวงปู่ครูบาดวงดี ยติโก
...พวกเราก็เป็นพวกเดียวกับ พระอริยสงฆ์สาวก เพียงแต่ว่า ตอนนี้เรายังไม่ได้สร้างกำลังใจ ให้มีเท่ากับพระอริยสงฆ์สาวก . ถ้าสร้างกำลังใจให้มีเท่ากับ พระอริยสงฆ์สาวกแล้ว คือสร้างวิริยะให้เต็มร้อย สร้างสติให้เต็มร้อย สร้างสมาธิให้เต็มร้อย สร้างปัญญาให้เต็มร้อยแล้ว . รับรองได้ว่า "ใจจะมีกำลัง" มากกว่ากิเลสตัณหา" . จะหลุดพ้นจากการเวียนว่าย ตายเกิดได้อย่างแน่นอน เพราะการออกจากการ เวียนว่ายตายเกิด ก็เป็นเหมือนการชักเย่อกัน ฝ่ายหนึ่งจะดึงให้วนอยู่ใน วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด อีกฝ่ายหนึ่งจะดึงให้ออกจาก การเวียนว่ายตายเกิด . ฝ่ายไหนมีกำลังมากกว่า ฝ่ายนั้นก็จะเป็นฝ่ายชนะ. .................................. . คัดลอก(กำลังใจ61)กัณฑ์457 ธรรมะบนเขา 6/5/2556 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำแพงแก้วเจ็ดชั้น
ที่อาตมาให้สวด พุทธัง สัตตะรัตตะนัง ปะการัง อัมหากัง สะระณัง คัจฉามิ
สัตตะ รัตตะนังนี่เป็นกำแพงแก้ว สัตตะเขาแปลว่าเจ็ด
สัตตะรัตตะนัง ปะการัง อัมหากัง
ปราการ ปราการคือกำแพงรอบล้อมครอบจักรวาล นี่ศัตรูหมู่มารทั้งหลายอย่าให้มากล้ำกรายเข้ามา แม้กระทั่งหลับนอนก็ดี ขอให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ปราศจากอันตรายทั้งหลาย นี่เรียกว่าเสกกำแพงเจ็ดชั้น ข้อต่อไปก็ ธัมมัง สัตตะรัตตะนัง พระธรรมเป็นกำแพงแก้วอีก สังฆัง สัตตะรัตตะนัง พระอริยสงฆ์เจ้าเป็นกำแพงอีก
นี่เราไปอยู่ในหมู่บ้านไหนก็ดี ขนของไปธุดงค์อยู่ในป่าในดอน หรือผ่านไปอยู่บ้านอื่นวัดอื่นก็ดี เราก็เจริญอย่างที่ว่ามานี่ อะหัง อันว่าข้าพเจ้านี่ก่อน แล้วพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วมาพุทธัง สัตตะรัตตะนัง ปะการัง อัมหากัง สะระณัง กำแพงแก้วเจ็ดชั้น ล้อมรอบเรา เชิญคำสอนของพระพุทธเจ้านี่ ให้เป็นกำแพงกั้นเราอันตรายไม่เข้ามาใกล้ เสือสางกลางดง ภูติผีปีศาจไม่กล้าเข้ามา พอเราเสกอ่านกำแพงแก้ว แล้วเชิญกำแพงแก้วพระพุทธเจ้ามาแล้ว พุทธัง สัตตะรัตตะนัง กำแพงเจ็ดชั้น ธัมมัง สัตตะรัตตะนัง อีก พระธรรมเจ้าเจ็ดชั้นอีก สังฆัง สัตตะรัตตะนัง พระอริยเจ้าเจ็ดชั้นอีกป้องกันรอบล้อมจักรวาล เวลานั่ง เวลานอน เวลาตื่นขึ้นอีก ไปทำมาหากินอีก ให้ท่องบ่นคาถานี้ก่อน
(ตัวคาถามีดังนี้
พุทธัง สัตตะรัตตะนัง ปะการัง อัมหากัง สะระณังคัจฉามิ สุสุ ระระ ธาธา โสโส นโมพุทธายะ
ธัมมัง สัตตะรัตตะนัง ปะการัง อัมหากัง สะระณังคัจฉามิ สุสุ ระระ ธาธา โสโส นโมพุทธายะ
สังฆัง สัตตะรัตตะนัง ปะการัง อัมหากัง สะระณังคัจฉามิ สุสุ ระระ ธาธา โสโส นโมพุทธายะ)
บทสวดมรดกธรรม พระครูปราโมทย์ธรรมธาดา หลวงปู่หลอด ปโมทิโต วัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนา)
|