"...อย่าไปให้ความสำคัญกับของขลังภายนอก ยิ่งกว่าทำจิตของเราให้เป็นพระ ตัวเรานั่นแหละเป็นแก้วสารพัดนึก..." . หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
ภรรยาตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเปรตมาขอบุญขณะสามีเจริญพระกรรมฐาน
"..เวลาทำบุญให้คนตาย เคยพบเห็นบ่อยเวลาพระจะสวดมนต์ ลูกหลานหรือเจ้าภาพก็จะไปเคาะโลงบอก "ฟังสวดมนต์นะ" เวลาพระจะให้ศีลก็ไปเคาะโลงบอก "รับศีลนะ" พอเอาอาหารไปวางก็เคาะโลงบอก "กินข้าวนะ"
ความจริงคนตายแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะกินของที่เอาไปวางให้กิน ผีมีสิทธิ์โมทนาในผลบุญที่มีผู้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านั้น เราจะทำอย่างไรผู้ตายจึงได้รับ ในชาดกมีเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่างคือ มีอุบาสกคนหนึ่งนั่งเจริญพระกรรมฐานในที่สงัด ปรากฏว่าภรรยาที่ตายไปแล้วมาแสดงตัว มีแต่ซี่โครงขึ้นเป็นแถวและผ้าผ่อนท่อนสไบไม่มีนุ่ง ท่านผู้นี้จึงถามว่า "เธอเป็นใคร" ตอบว่า "ฉันเป็นภรรยาของท่านเมื่อตายไปแล้ว อาศัยที่จิตเป็นอกุศล ขณะมีชีวิตอยู่เป็นคนไม่ทำบุญทำทานและก็เป็นคนใจร้าย จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นเปรต เวลานี้มีความหิวโหยมาก หนาวก็หนาว ร้อนก็ร้อน มีทั้งหนาวและร้อนเพราะไม่มีผ้าปิดกายและหิวอาหารมาก เพราะไม่มีอะไรจะกิน"
ท่านสามีก็บอกว่า "ไปบ้านสิมีของกินมากมาย เลือกกินเอาตามชอบใจเหมือนกับสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่" ผีเปรตจึงบอกว่า "สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านจะเอามาวางไว้ในมือของเรา มันก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินที่จะใช้ในวัตถุ" ท่านสามีจึงถามว่า "ถ้าฉันต้องการจะสงเคราะห์เธอ ทำอย่างไรเธอจึงจะได้ล่ะ" เธอก็บอกว่า "ขอให้ท่านนำเอาของไปถวายแก่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านใดท่านหนึ่ง คือต้องการให้มีผ้าก็ขอให้นำผ้าไปถวาย ต้องการให้มีร่างกายสมบูรณ์ ร่างกายเป็นทิพย์ก็นำอาหารไปถวาย และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ฉัน ฉันจึงจะได้"
ท่านสามีจึงนำของไปถวายแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้เธอ พอรุ่งขึ้นอีกคืนหนึ่งเธอก็มาแสดงตนใหม่ตอนที่ท่านสามีนั่งเจริญพระกรรมฐาน มาคราวนี้เป็นนางฟ้าสวยแจ๋ว ใสสว่าง มีวิมานทองคำมาปรากฏชัด ท่านสามีจำไม่ได้จึงถามว่า "เธอเป็นนางฟ้าเพราะบำเพ็ญบารมีอะไร ร่างกายจึงประดับประดาไปด้วยเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ สวยสดงดงามมีแสงสว่างไปทั่วทิศ และก็มีวิมานทองคำ" นางฟ้าองค์นั้นก็ตอบว่า "ท่านจำไม่ได้หรือ เมื่อคืนที่แล้วที่ผ่านมาน่ะ" ก็เป็นอันว่าผลที่ผู้ตายจะพึงได้รับ ต้องได้จากการโมทนาในบุญกุศลที่อุทิศไปให้ ไม่ใช่ได้จากการไปเคาะโลงหรือได้จากการเอาของไปให้เฉยๆ.."
จากหนังสือตายแล้วไปไหน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
ในปี 2533 มีสองสามีภรรยา ภรรยาเป็นคนชอบทำบุญศรัทธาครูบาอาจารย์ ฝ่ายสามีไม่มีศรัทธา มาทำบุญกับภรรยาเพราะความจำเป็น ตำหนิครูบาอาจารย์ทุกองค์ ตั้งแต่หลวงตามหาบัว หลวงปู่หลุย หลวงปู่ชอบ
ฝ่ายภรรยาได้อ่านประวัติหลวงปู่ชอบศรัทธามาก จึงให้สามีมาส่งที่วัดป่าโคกมน สามีพามาส่งที่วัดป่าโคกมนถึง 2 ครั้งก็ไม่พบหลวงปู่
ครั้งที่ 3 สามีจึงพูดกับภรรยาว่า ถ้าไม่เจอครั้งนี้จะไม่พามาอีก ถ้าหลวงปู่เธอเก่งจริงเหมือนในหนังสือก็แสดงฤทธิ์ให้ดูสิ
วันนั้นหลวงปู่ชอบท่านสั่งให้พระเณรขนเสื่อและหมอนเข้าไปนอนในห้องน้ำข้างศาลาโรงรถ (ห้องน้ำหลวงปู่ชอบจะใหญ่ เวลานอนจะเย็น)
ประมาณ 15 นาทีสองสามีภรรยาก็มาถึงวัดป่าโคกมนและเดินมาเคาะห้องเสียงดังก๊อกๆๆ
หลวงปู่ชอบท่านมองไปที่พระและเณรท่านก็ยิ้ม แล้วใช้ผ้าห่มคลุมตัวทั้งหมด
พระจึงเดินมาเปิดประตู สองสามีภรรยาจึงถามพระท่านว่าหลวงปู่อยู่ไหม
พระตอบว่าหลวงปู่นอนเล่นอยู่ในห้องน้ำสองสามีภรรยาจึงขอเข้าไปกราบหลวงปู่ แต่เมื่อเข้ามาในห้องน้ำก็เห็นหลวงปู่นอนคลุมตัวอยู่
จึงสนทนากับพระผ่านไปประมาณ 15 นาที ก่อนจะกลับสองสามีภรรยาอยากเห็นหลวงปู่
พระอุปัฎฐาก(พระดูแล)จึงพูดกับหลวงปู่ว่า ขอโอกาสครับผมโยมอยากเห็นหน้าบ่เคยเห็นครับ
หลวงปู่ท่านก็เงียบไม่ตอบรับ
พระอุปัฎฐาก(พระดูแล)จึงดึงผ้าห่มหลวงปู่ลงมาถึงคอ ก็ไม่เห็นหลวงปู่ เห็นรูปร่างคนในผ้าห่มแต่ส่วนหัวไม่มี
พระอุปัฎฐาก(พระดูแล)จึงนึกถึงคำหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เคยพูดให้ฟังว่า ท่านเคยขอให้หลวงปู่ชอบหายตัวให้ดู หลวงปู่ชอบเอาผ้าห่มคลุมตัว และหลวงปู่เปลี่ยนดึงผ้าห่มออก หลวงปู่ชอบหายไป เหลือแต่ที่นอนว่าเปล่า
พระอุปัฎฐากจึงคิดว่าหลวงปู่ท่านคงต้องการแสดงฤทิ์กระมังจึงตัดสินใจดึงผ้าลงมาถึงเอวก็ไม่เห็นหลวงปู่อีก เห็นแต่รูปร่างขาแต่ส่วนบนไม่มี
สองสามีภรรยาร้องเสียงหลงตกใจไม่เคยเห็นแบบนี้
พระอุปัฎฐากจึงสินใจดึงผ้าห่มออกทั้งหมด หลวงปู่หายไปเหลือแต่ที่นอนว่างเปล่า
สองสามีภรรยาต่างคนต่างร้องให้ และพระเณรก็ต่างอัศจรรย์ใจ
พระอุปัฎฐากจึงเอามือลูบที่นอน ถามว่ามีใครเห็นหลวงปู่ไหม พระเณรที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างก็แปลกใจหลวงปู่หายไปไหน หรือว่าเดินไปเดินเล่น ก็ไม่น่าใช่เพราะหลวงปู่เป็นอัมพฤษเดินไม่ได้
พระอุปัฎฐากจึงเอาห่มคลุมไว้เหมือนเดิม ก็เห็นเป็นรูปร่างหลวงปู่นอนอยู่ ผ่านไปประมาณ 1 นาที หลวงปู่ชอบท่านก็ดึงผ้าห่มลงมาถึงคอและท่านก็ยิ้มให้กับสองสามีภรรยา
สองสามีภรรยาผวาเข้าไปกอดเอวหลวงปู่ชอบต่างคนต่างร้องให้เสียงดัง หลวงปู่ชอบท่านก็ใช้มือลูบหัวศรีษะฝ่ายสามีเบาๆ
และได้สอนสองสามีภรรยาว่า งูเห่าตัวน้อยๆอย่าไปประมาทในพิษมัน เพียงแต่ว่ามันสิกัดหรือบ่กัดท่อนั้น แต่อย่าให้มันกัด บาปกรรมก็คือกัน เห็นพระเณรก็อย่าไปประมาท ถึงแม้พระเณรสิบวชได้มื้อสองมือกะอย่าไปประมาท
ฝ่ายสามีจึงว่า ผมเชื่อแล้วว่าผู้ปฎิบัติธรรมสามารถทำได้จริง ผมได้ประมาทครูบาอาจารย์แต่ภรรยาผมศรัทธา ผมขอขมาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านจึงรับอโหสิกรรม
เมื่อสองสามีภรรยากลับไปแล้วพระอุปัฎฐากจึงถามหลวงปู่ชอบว่า ทำไมหลวงปู่ถึงได้แสดงฤทธิ์
หลวงปู่ตอบว่า คนบางคนต้องใช้ฤทธิ์เดชเพื่อดึงศรัทธาเพื่อปราบทิฎฐิมัน ฤทธิ์ของพวกนี้ไม่ใช่ของที่จะมาทำอวดโลก แต่ว่าทำเพราะว่ามีเหตุและผลเพื่อโปรดคนนั้นนั้นโดยเฉพาะ
ตั้งแต่นั้นมาสองสามีภรรยาก็เข้าวัดประจำ
โอวาทธรรม หลวงปู่ชอบ ปราบมิจฉาทิฎฐิด้วยฤทธิ์
"เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนี้ เราต้องใจเย็น คอยดูผลตลอดชีวิต อย่าดูในระยะสั้นๆ ต้องดูไปเรื่อยๆ ในระยะยาว อย่าใจร้อน" หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
.....คนอื่นจะพูดอย่างไร จะดีจะชั่วก็ช่างหัวมัน แต่เราต้องตั้งมั่นในความดี เครดิตเราก็ดี เราไม่ใช่เรียนปริญญาทางโลกอย่างเดียว เราต้องมีปริญญาทางจิตใจ ยิ่งเรียนมาก ยิ่งเสียสละมาก ทำอย่างนี้เรียกว่า "ปฏิบัติธรรม"....
______________________________
คัดลอกมาจากหนังสือเกสรธรรม : หน้าที่ ๑๒๙ หลวงพ่อกัณหา_สุขกาโม วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม บ้านบุเจ้าคุณ ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
|