ภาวนาอย่าเกียจคร้าน
นอนกินถ่ายกาม ไม่เห็นเกียจคร้าน
วันๆมัวเมาแต่แก้ไขร่างกาย
ไม่หาหนทางแก้ไขใจ
ใจอยู่กับบุญ ใจอยู่กับธรรม
ใจอยู่กับการทำความดี
ต้องให้เป็นอย่างนี้
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
เรื่อง "ตั้งสัจจะถือเนสัชชิ ภาวนาสละเป็นสละตาย"
(ธรรมประวัติ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)
ในพรรษาแรกของการบวช ท่าน(หลวงปู่เจี๊ยะ)เกิดความขี้เกียจและมักจะหลบนอน พอมาถึงกลางพรรษาท่านก็มานึกตำหนิตัวเอง ว่าเรากินข้าวชาวบ้านแล้ว ทำไมถึงมาขี้เกียจอย่างนี้ มันเหมาะสมแล้วหรือสำหรับนักบวชที่สละบ้านเรือนออกมา แต่ก่อนทำงานหนักๆ แจวเรือทั้งวันยังทำได้ พระแบบเรานี้จะต่างอะไรกับฆราวาสหัวดำๆ เราทำแบบนี้ควรแล้วหรือที่ให้ญาติโยมเขากราบไหว้บูชา ท่านจึงด่าตัวเองดังๆในใจว่า
“ไอ้ห่า...มึงเป็นพระให้เขากราบไหว้ แล้วมึงภาวนานั่งสู้โยมแก่ๆไม่ได้ แล้วมึงจะบวชมาทำไม” ในพรรษาที่ ๒ หลวงปู่เจี๊ยะได้ถือธุดงค์ปฏิบัติว่าด้วยการไม่นอน คือบำเพ็ญความเพียรไม่นอนในตอนกลางคืนเลย ตลอดช่วงเวลาเข้าพรรษา ๓ เดือน แต่พักผ่อนเล็กน้อยในเวลากลางวัน ท่านได้ตั้งหน้าประกอบความเพียร ทั้งเดินจงกรม และนั่งสมาธิภาวนา และได้ตั้งสัจจะว่า
“ข้าพเจ้าจะถือ "เนสัชชิ" คือ การไม่นอนตลอดทั้งพรรษา ในเวลาค่ำคืนไม่นอน ด้วยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ถ้าแม้นว่าข้าพเจ้าไม่ทำตามสัจจะนี้ ขอให้ข้าพเจ้าถูกฟ้าผ่าตาย ถูกไฟไหม้ตาย ถูกแผ่นดินสูบ ถูกน้ำท่วมตาย”
จากนั้นท่านได้ภาวนาอยู่ไม่รู้คำว่าหยุดถอย จนกระทั่งในพรรษาที่ ๓ เกิดจิตรวมครั้งใหญ่ใต้ต้นกระบก ปรากฏประหนึ่งว่า แผ่นดินแผ่นฟ้าละลายหมด กายกับใจนี้ขาดออกจากกัน เหมือนโลกนี้ขาดพรึบลงไปไม่มีอะไรเหลือเลยเหลือแต่ความบริสุทธิ์ของใจดวงเดียว ท่านถึงกับอุทานภายในใจว่า
“นี่แหละชีวิตอันประเสริฐ เราได้พานพบแล้ว”
ที่มา:ธรรมประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ
...พระพุทธเจ้าเลยสอนให้พวกเรา ถ้าอยากจะไม่ทุกข์กับสิ่งต่างๆที่เรามาเกี่ยวข้องด้วย เราต้องเข้าใจธรรมชาติของเขา ธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ที่เราเกี่ยวข้องด้วยนี้สรุปได้ ๓ อัน ก็คือ ๑.ร่างกาย ๒.ความรู้สึกเวทนา ๓.อารมณ์ที่มีอยู่ในใจของเรา ไอ้ ๓ ตัวนี้มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีขึ้นมีลง มีเกิดมีดับ . ดังนั้น วิธีที่จะทำให้ไม่ทุกข์กับไอ้ ๓ ตัวนี้ก็คือ อย่าไปอยาก อย่าไปอยากให้มันเที่ยง อย่าไปอยากให้มันเป็นไปตามความต้องการของเรา อย่าไปมีความอยากกับมัน มันจะแก่ก็ให้มันแก่ไป มันจะเจ็บก็ให้มันเจ็บไป มันจะตายก็ให้มันตายไป
. เพราะทำอะไรไม่ได้ เปลี่ยนมันได้หรือเปล่า บอกให้มันไม่แก่ได้ไหม บอกให้มันไม่เจ็บได้ไหม บอกให้มันไม่ตายได้ไหม..ไม่ได้.. แล้วไปบอกมันทำไม ไปอยากทำไม
. เมื่อเช้านี้ก็มีแม่คนหนึ่งมาใส่บาตร ทุกข์เพราะว่าลูกต้องไปผ่าตัดเป็นมะเร็ง ไม่สบายใจ แล้วทำอะไรได้หรือเปล่า..ไม่ได้..แต่ทำไมไม่สบายใจ "เพราะอยาก" ..อยากให้หาย อยากให้ปลอดภัย แล้วจะปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ก็ไม่มีใครรู้ใช่ไหม แต่ถ้าไม่ช้าก็เร็ว ต้องรู้อยู่ว่า "มันไม่ปลอดภัยทั้งนั้นแหละร่างกาย" มัน ถ้าตอนนี้รักษามันอาจจะหายก็ได้ แต่ไม่ช้าก็เร็วพอหายแล้ว เดี๋ยวมันก็ต้องไปเจออีกแหละ มันก็มีโรคใหม่หรือโรคชนิดเก่ากลับมาหาอีกแหละ แล้วในที่สุดมันก็ต้องตายไปกันทุกคน
. "แต่ไม่ยอมรับความจริงอันนี้" ไม่เห็นความจริง ไม่มองความจริง อยู่ที่ความอยาก อยากให้หาย อยากให้ไม่เจ็บ อยากให้อยู่ไปนานๆ ..ก็เลยเกิดความไม่สบายใจ "เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา". ............................................... .
คัดลอกการสนทนาธรรม ธรรมะบนเขา 6/6/2562 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
"ความโลภ มันมิใช่อยู่ที่วัตถุ แต่อยู่ที่ใจ คือ ความอยาก วัตถุมันจะมีมากสักเท่าไร แต่ความอยากมันไม่พอ มันก็ไม่พออยู่ดี นั่นเอง"
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|