ลูกหลานเอ๊ย.. เมื่อเจ้ากรรมนายเวรมาตามทวงหนี้ อย่าหลบหนี เพราะถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้น อย่าเคืองขุ่น อย่าหุนหันพลันแล่น . จงตั้งสติดำริแต่เรื่องดีๆ ดวงจิตจงมีแต่มหากุศล อ่อนน้อมอ่อนโยน สื่อสารต่อรองกับเขาว่าเราจะรับโทษได้แบบไหน ? แค่ไหน ? อย่างไร ? จะผ่อนใช้ หรือรับเต็มที่ในคราวเดียว . แล้วกระทำตามสัจจะที่รับปากเขาไว้ ไม่บิดพลิ้ว ดำรงชีวิตทุกขณะด้วยอารมณ์เยือกเย็นผ่องใส เจ้ากรรมนายเวรก็จะเห็นใจเรามากขึ้น.. นึกถึงหลวงปู่ใหญ่ไว้ให้มั่น หลวงปู่เป็นตัวกลางให้ได้.. นะลูกหลานเอ๊ย๚ ------------------- #หลวงปู่เทพโลกอุดร. .
...นี่คือบุคคลกลุ่มที่ ๑ ที่พระองค์ทรงพิจารณาว่า เป็นผู้ที่จะ ได้รับประโยชน์อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว
.จึงทรงมุ่งไปสอนพวกที่เป็นนักบวช.. “ ที่มี..ศีลที่บริสุทธิ์ และมีฌานระดับรูปฌาน ๔ ขึ้นไป คือ...มีอัปปนาสมาธิ มีอุเบกขา”
.พอได้รับปัญญาก็สามารถ ใช้อุเบกขานี้ ควบคู่กับปัญญา “มาฝืนความอยาก มาตัดความอยากทั้ง 3 “นี้ได้
.หลังจากทรงสอนรายละเอียดลึกซึ้ง เข้าไปอีกครั้งสองครั้ง พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์กัน พร้อมกันทั้ง 5 รูปเลย นี่คืออานุภาพของพระธรรมอันประเสริฐ ของพระพุทธเจ้า
.ที่สามารถ.. “พลิกจิตของปุถุชน ให้กลายเป็น..พระอรหันตสาวก..ขึ้นมาได้". ............................... ธรรมะหน้ากุฏิ 18 พฤษภาคม 2563 พระอาจาร์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
“สิ้นโลก-เหลือธรรม” ธรรมกัณฑ์สุดท้าย...ที่ พ่อแม่ครูอาจารย์ พระครูจิตฺตภาวนานุสิฐ (หลวงปู่สมหมาย จิตตปาโล) พระผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตา และ บารมีธรรมได้แสดงไว้ให้เราท่านทั้งหลาย ได้เห็นร่างของหลวงปู่ได้สลายคืนสู่ธรรมชาติอันเป็นสิ่งที่เราทั้งหลายต้อง พบและเจอกันทุกคนไม่ช้าก็เร็ว
ณ.วัดผาสุขคามเขต บ้านผาสุก ตำบลหนองกุงแก้ว อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู
“สิ้นโลก-เหลือธรรม” ด้วยประการฉะนี้
“…โลกเป็นของเกิด-ดับอยู่ทุกขณะ ธรรมอุบัติขึ้นมาให้รู้แจ้งเห็นจริงในโลกนั้นๆ แล้วตั้งอยู่มั่นคงถาวรต่อไป เรียกว่า โลกเกิด-ดับ ธรรมเกิดขึ้นตั้งอยู่ถาวร เป็นนิจจังเพราะไม่ตั้งอยู่ในสังขตธรรม
ธรรมเป็นของไม่มีตัวตน แต่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้ที่หัวใจของคน คนรู้แล้วตั้งมั่นตลอดกาล ถึงคนจะไม่รู้เท่าทันแต่ธรรมนั้น ก็ยังตั้งอยู่เป็นนิจกาล เป็นแต่ไม่มีใครรู้ใครสอนธรรมนั้น ออกมาแสดงแก่คนทั้งหลาย ถึงแม้พระพุทธองค์จะนิพพานไปแล้ว แต่ธรรมนั้นก็ยังตั้งอยู่คู่ฟ้าแผ่นดิน จึงเรียกว่า อมตะ
โลกเป็นของฉิบหายดังกล่าวมาแล้ว เพราะตั้งอยู่ใน สังขตธรรม มีอันต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา ธรรมที่พระองค์ทรงสอนให้รู้แจ้งเห็นจริง เข้าถึงหัวใจคนเป็นของไม่มีตัวตน เป็นอนิจจังไม่ได้ตั้งอยู่เป็นกลางๆ ถึงบุคคลนั้นจะตายไป แต่ธรรม ก็ยังมีอยู่เช่นนั้นจึงเรียกว่า “สิ้นโลก-เหลือธรรม” ด้วยประการฉะนี้…”
คัดลอกจากหนังสือ “สิ้นโลก-เหลือธรรม” ฉบับสมบูรณ์ พระราชนิโรธรังสี (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
เรื่อง "โทษของกามราคะ"
“ที่จริงทุกวันนี้โทษของกามปรากฏให้เห็นมิได้ว่างเว้น รุนแรงและหนักนักหนา ผู้ที่พัวพันในกามอย่างเต็มที่ อีกนัยหนึ่งก็คือผู้มีความใคร่รุนแรง เปรียบได้ดังคบพาลร้ายไว้ใกล้ชิด ย่อมพ้นไม่ได้จากโทษของกาม หรือของความใคร่ ที่เปรียบได้ดั่งโทษของพาลร้าย ย่อมพาให้ทำความผิดร้ายได้แน่นอน ไม่ผิดจากที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงภาษิตไว้ว่า
“คบพาลพาลพาไปหาผิด”
การข่มขืนเกิดขึ้นได้
แม้ระหว่างลูกกับแม่
พ่อกับลูก
ครูกับศิษย์
เพื่อนกับเพื่อน
ซึ่งเป็นเรื่องน่าสลดสังเวชทั้งสิ้น
น่าอายอย่างยิ่งสำหรับเราทั้งหลายที่มีบุญ ได้เกิดเป็นมนุษย์ผู้พบพระพุทธศาสนา ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงให้ความสำคัญแก่การควรไม่พัวพันในกามควรไถ่ถอนความประพฤติพัวพันในกาม ซึ่งเป็นสิ่งเลว สิ่งชั่ว เป็นธรรมเลว เป็นธรรมชั่ว
โทษของกาม ที่เรียกได้ว่ากิเลสกาม เป็นตัณหา เป็นความใคร่ เมื่อกามเป็นกิเลสด้วยตนเอง การไม่หนีให้พ้นจากกาม ก็คือการไม่หนีให้พ้นกิเลสสำคัญ กิเลสร้ายแรง โทษของกามที่เป็นนามธรรมมีอยู่ในจิตใจ ยังจิตใจให้เร่าร้อนรุนแรง มีอำนาจบังคับให้แสดงออกทางกายเป็นรูปธรรมได้ด้วย
ดังปรากฏเป็นการฆ่า การข่มขืน และผลร้ายของกามที่เกิดจากนามธรรมก็ตาม หรือเกิดจากรูปธรรมก็ตาม หนักหนาเสมอกัน เพียงแต่เกิดในความรู้สึกทางจิตใจเผารนให้ร้อนแรง ขนาดทำให้แสวงทางดับความร้อนแรงยิ่งเพลิงเผา จนไม่รู้ถูกไม่รู้ผิด ไม่รู้ดีไม่รู้ชั่ว
การฆ่าการข่มขืนเกิดขึ้นเพราะความเผาไหม้ของกามกิเลสในจิตใจและแทนที่จะใช้ธัมมะอันเป็นสิ่งเหมาะสมมีคุณค่าควรที่สุดแก่การดับเพลิงกาม กลับใช้น้ำมันอันเป็นเชื้อสำคัญที่สุดดับ การลงมือสนองความใคร่หรือกามกิเลสที่แผดเผาใจให้ร้อนแรง ด้วยการข่มขืนฆ่า คือการสาดน้ำมันเข้าดับไฟกิเลส คือกามกิเลส หรืออีกอย่างหนึ่งของคำนี้ก็คือ กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม ในความใคร่”
แสงส่องใจ อาสาฬหบูชา ๒๕๔๘ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร (พ.ศ. ๒๔๕๖ – ๒๕๕๖)
#รากเหง้าของความเป็นมนุษย์
"ทาน ศีล ภาวนา เป็นรากเหง้าของความ เป็นมนุษย์และเป็นรากเหง้าของพระศาสนา ที่มนุษย์ต้องคอยสั่งสมให้มาอยู่ในนิสัย"
#ทาน เป็นเครื่องแสดงน้ำใจ เพื่อสงเคราะห์ ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
#ศีล เป็นเครื่องปัดเป่าความคิดของผู้มีกิเลส
#ภาวนา อบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุ ผลและความถูกต้อง
"ผู้เป็นหัวหน้างาน หรือ มีภารกิจมาก ควรหัน มาฝึกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะการภาวนาช่วย แก้ความยุ่งยากลำบากใจทุกประเภทที่เป็นภาระหนัก หากปล่อยใจโดยไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง คงไม่ได้รับความสุข แม้จะมีสมบัติก่ายกอง.."
#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตตเถระ
#ทางเดินของจิตของใจ
"ตามปกติทางเดินของใจ" นั้น มี อยู่ ๒ ทาง "คือทางที่เป็นกุศล" คือทางดี "ทางที่เป็นอกุศล" คือทางไม่ดี นี้เป็นทางเดินของจิต "มันคิดไปในทางที่ดี" เช่น คิดว่าวันนี้เราได้รักษาศีล ได้เจริญ ได้รักษาศีล ได้ให้ทาน ได้เจริญเมตตาภาวนา นี่เรียกว่าจิตมันคิดไปในทางที่ดี เรียกว่ามีปัญญาประกอบไปด้วยความคิด
"บางครั้งมันก็คิดไปในทางที่เป็นอกุศล" คือคิดไปในทางที่ความชั่ว เช่น อย่างว่ามันอยากได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ตามความปรารถนา ใจนั้นมันก็ .. มันก็ย่อท้อไม่อยากกระทำความเพียร
เพราะฉะนั้น "ในการปฏิบัตินี้ ถ้าผู้ที่มีศรัทธา" คือความเชื่อมั่นในตัวของตัวเองแล้วบุคคลผู้นั้นก็จะตั้งใจปฏิบัติไปจนกระทั่งว่า ได้เห็นของจริงที่มันเกิดขึ้นในใจของเรา ได้แก่ สัจธรรมทั้งสี่ มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค .."
#หลวงปู่จันทร์ศรี_จนฺททีโป
"การให้อภัย ไม่คิดอิจฉา ริษยา อาฆาตร้ายต่อผู้อื่น ใครทำไม่ดี กับเรา พยายามปล่อยวางให้ได้ พยายามรักทุกคนให้เสมอกันให้ได้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำเเบบนี้เรื่อยๆ ความเมตตาจะบังเกิดขึ้นเอง คราวนี้ ไปที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะ ถ้าเราไม่คิดร้ายใคร ใครก็ไม่คิดร้าย เราเช่นกัน.. ” -------------------- #โอวาทธรรม #หลวงปู่กงมา_จิรปุญโญ #วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
คนเรานี่สู้กับกิเลสไม่ค่อยได้นะ กิเลสความ ตระหนี่เหนียวแน่นนี่ เหนียวที่สุดเลยถ้าพิจารณา ไม่ลงถึงธรรมเนี่ย ก็กลัวหมดกลัวไม่มีเงินใช้กลัว ไปหมดทุกอย่างแหละ มันเบรคเราไว้ ให้พิจารณา นะอันไหนเป็นทรัพย์ของใจ อันไหนทรัพย์ของกาย กายเราพอได้กินอยู่ ส่วนทรัพย์ของใจเราก็ต้อง เตรียมไว้ หมดลมเมื่อใดจะได้ติดตามเราไป พบหน้าชาติหน้า ไม่ต้องกังวล
โอวาทธรรม : หลวงปู่บุญทัน ฐิตสีโล วัดเขาเจริญธรรม จ.เพชรบูรณ์
...ดังนั้นพวกเราผู้ที่เป็นชาวพุทธนี้ "เราจะเป็นพุทธแบบไก่ หรือพุทธแบบมนุษย์" . ถ้าพุทธแบบไก่ก็คือ ไม่สนใจที่ จะเข้าหาพระธรรมอันประเสริฐ ไม่สนใจที่จะศึกษา ไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามพระธรรม คำสั่งคำสอนอันประเสริฐ . เรียกว่า.. เหมือนไก่ได้เพชรได้พลอยแล้ว "แต่..เขี่ยทิ้งไป" ไม่นำเอามาใช้ ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง . สำหรับพวกที่เป็นมนุษย์ พวกที่ฉลาด พวกที่รู้คุณค่าราคา ของ"โลกุตตรธรรม"ของพระพุทธเจ้า ก็จะศึกษาเพิ่มเติม . เพื่อให้รู้เรื่องราวพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า "อย่างสมบูรณ์" แล้วจะได้รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับ ความรู้ ที่ได้จากการศึกษามาต่อไป เพื่อจะได้สร้างประโยชน์ ให้กับตนเองต่อไป. ..................................... ธรรมะหน้ากุฏิ 12/5/2563 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
วิปัสสนากรรมฐาน
#วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานชนิดนี้เป็นอุบายให้เรืองปัญญา คือ เกิดปัญญาเห็นแจ้ง หมายความว่า เห็นปัจจุบัน เห็นรูปนาม เห็นพระไตรลักษณ์ และเห็น มรรค ผล นิพพาน
#วิปัสสนาฯ เป็นเรื่องของการศึกษาชีวิต เพื่อจะปลดเปลื้องความทุกข์นานาประการ ออกเสียจากชีวิต เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงว่าชีวิตมันคืออะไรกันแน่ปกติเราปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามความเคยชินของมัน ปีแล้วปีเล่า
#วิปัสสนาฯ เป็นเรื่องของการตีปัญหาซับซ้อนของชีวิต เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงของชีวิตตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำมา #วิปัสสนาฯ เป็นการเริ่มต้นในการปลดเปลื้องตัวเราให้พ้นจากความเป็นทาสของความเคยชิน ในตัวเรานั้น เรามีของดีที่มีคุณค่าอยู่แล้ว คือ สติสัมปชัญญะ แต่เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่เป็นของมีคุณค่าแก่ชีวิตหาประมาณมิได้ #วิปัสสนาฯ เป็นการระดมเอาสติทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเราเอาออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ #วิปัสสนาฯ คือการอัญเชิญสติที่ถูกทอดทิ้งขึ้นมานั่งบัลลังก์ของชีวิต เมื่อสติขึ้นมานั่งสู่บัลลังก์แล้ว จิตก็จะคลานมาหมอบ
พระเดชพระคุณพระธรรมสิงหบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
|