กรอบคืออะไรและเป็นอย่างไร หลวงพ่อชาท่านเคยเปรียบเทียบอุปมาไว้ดังนี้ สมมุติว่าเราเดินไปตามถนน สวนทางกับคนคนหนึ่ง พอเขาเห็นหน้าเราเขาก็ด่าด้วยภาษาที่หยาบคายเหลือเกิน ด่าจนเรารู้สึกทุกข์ใจ สะเทือนใจ จากนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกว่า "อย่าไปถือสาเขาเลย เขาเป็นโรคจิต" พอเรารู้ว่าเขาเป็นโรคจิต ความรู้สึกทุกข์ใจหายไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เกือบไม่มีเหลือเลย ทั้งๆ ที่เขาก็กำลังพูดอยู่ กำลังแสดงอาการอยู่เหมือนเดิม นอกตัวเราไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่กรอบความหมายที่สร้างไว้ให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกตัวและเข้าใจสิ่งนั้นเปลี่ยนไป สิ่งนั้นเลยหมดฤทธิ์ ทำให้จิตใจของเราเป็นปกติได้ นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ ชัดๆ
พระอาจารย์ชยสาโร
"ให้เรารู้จักฝืนตัวเอง ให้เสียสละความขี้เกียจ แล้วมีความเพียรที่จะนั่งสมาธิภาวนาซิ แล้วเราจะรู้ว่าธรรมะดีอย่างไร เหมือนนักกีฬา เห็นไหม เขาเสียสละเวลาและหยาดเหงื่อ ยอมเหน็ดยอมเหนื่อย เขาจึงมีพละกำลัง ... มีความสามารถแปลก ๆ ที่คนปกติเขาทำกันไม่ได้ ฉะนั้นให้เรารู้จักฝืนตนเองบ้าง อย่ายอมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลสอย่างเดียว"
หลวงพ่อสุธรรม สุธมฺโม
"คนเรานั้นโดยมากกายกับใจ มันไม่ค่อยจะตรงกัน บางคนทำทาน แต่ใจก็ยังโลภอยู่ เช่นคนที่ทำทาน เพราะปรารถนา อยากร่ำรวยเป็นเศรษฐี ทำบาทเดียว จะขอแลกเอาตั้งหมื่น ตั้งแสนก็มี บางคนรักษาศีล แต่ใจ ก็ยังโกรธเกลียดพยาบาท อิจฉาริษยาคนนั้น คนนี้อยู่ บางคนนั่งสมาธิภาวนา เพราะ อยากไปเกิดเป็นคนรูปสวย รูปงามก็มี บางคนก็อยากไปเกิด.. เป็นเทวดานางฟ้าอยู่บนสวรรค์ บางคนก็อยากจะเป็นนั่น เป็นนี่ ล้วนแต่ต้องการสิ่งตอบแทนทั้งนั้น บุญกุศลอย่างนี้ ก็ยังใช้ไม่ได้.. "
#ท่านพ่อลี_ธมฺมธโร
...การปฏิบัติธรรม ก็เพื่อเปลี่ยนสัญญาเดิม ที่มักจะ มองไปในทาง.."สมมุติ"
.มองว่าเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นเพื่อนเป็นศัตรู "ถ้ามองทางธรรมะ ก็จะเห็นว่าเป็นดินน้ำลมไฟ" เป็นอาการ ๓๒ เกิดแก่เจ็บตาย มาแล้วเดี๋ยวก็ไป . ......................................... จุลธรรมนำใจ 29 กัณฑ์ 441 ธรรมะบนเขา 30/6/2555 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
“ ชีวิตของฆราวาสเต็มไปด้วยทุกข์โทษ ต่างๆ นานา แต่คนส่วนมากก็ยังมองไม่เห็นตามสภาวะ ตามความเป็นจริง ที่เป็นดังนั้นก็เพราะอำนาจของตัวโมหะ เข้าไปปิดบังห่อหุ้มตัวปัญญาเอาไว้ ทำให้ลุ่มหลงเพลิดเพลินไปตามอารมณ์ ต่างๆ จนลืมตัวลืมตาย.. “
#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต
ถ้าอยากทุกข์. ก็ยึดไว้. ไม่อยากทุกข์. ก็วางไว้.
หลวงปู่คูณ สิริจันโท
#ให้สร้างความดีงามเสียแต่วันนี้
เราอย่าไปหวังการอุทิศส่วนกุศลจากญาติ ยิ่งไปกว่าหวังความดีงามจากตัวเรา ที่ทำเพื่อเรา
ชาตินี้เป็นชาติที่เลิศแล้ว เกิดในแดนมนุษย์ให้รีบเพียรปฏิบัติ พระพุทธองค์สอนบุญคือบุญ บาปคือบาป ตกนรกได้จริงๆ ศาสนานี้เป็นศาสนาที่แม่นยำมาก ไม่มีผิดเพี้ยน
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีเพิ่มเติม ให้พากันจดจำและพากันปฏิบัติ ยึดหลักพุทธศาสนาไว้ให้ดีก็แล้วกัน
-สิ่งที่ยึดถือได้คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ-
ผู้ใดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ได้โดยลำดับ
การจะพึ่งที่นั่นที่นี่ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์วิเศษ ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งพิงได้ เป็นสิ่งเหลวไหลทั้งนั้น ไม่ถูก
ขอให้ท่านทั้งหลายยึดพุทโธ คือพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาองค์เอก ธัมโม คือธรรมชั้นเอก สังโฆ คือสงฆ์สาวกผู้บริสุทธิ์แล้วเป็นชั้นเอก ไว้เป็นหลักของใจ เป็นสิ่งมงคลของชีวิต
-การรักษาสิ่งอื่นใดไม่ยากเท่ากับรักษาใจ-
รักษาใจยากที่สุด มันดีด มันดิ้น เหมือนช้างที่ไม่ฟังเสียงเจ้าของ อีกซ้ำจะฆ่าเจ้าของด้วยซ้ำไป เวลามันตกมัน โหดร้ายที่สุด มันไม่ได้ถือว่าเราเป็นเจ้าของ แต่มันถือว่าเราเป็นข้าศึกของมัน
เราอย่าไปชะล่าใจกับความโลภ เห็นไหม คนที่โลภมาก ก็เจอกรรมปัจจุบัน ดูสิมีความสุขไหม เวลาตายแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปอยู่เมืองผีไหน เมืองผีไหนเขาก็รังเกียจ เขาจะไม่ให้อยู่เมืองผีนั้นๆ สุดท้ายก็ตกนรก..
พระธรรมเทศนาโดย #พระธรรมวิสุทธิมงคล(#หลวงตามหาบัว #ญาณสมฺปนฺโน) วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) จ.อุดรธานี (พ.ศ. ๒๔๕๖ - ๒๕๕๔)
#หลวงปู่น้อยท่านว่าท่านอยู่กับหลวงตาตั้งแต่เป็นเณรจนบวชเป็นพระเป็นเวลาทั้งสิ้น6ปี #แล้วท่านก็ไปอยู่กับหลวงปู่ขาว
หลวงปู่คำพองท่านเล่าถึงเรื่องความตายไว้อย่างน่าฟังว่า
"ไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาถึงตัวเมื่อไหร่ คนแก่เจ็บออดๆ แอดๆ กับคนหนุ่มคนสาว คนหนุ่มสาว อาจจะตายก่อนก็ได้ ไม่มีใครรู้"
ท่านยังเล่าเรื่องสมัยที่ท่านอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย ว่า "สมัยนั้นหลวงปู่ขาว ท่านแก่มากแล้ว นอนอยู่แต่บนเตียงอาจารย์วัน อาจารย์จวน มาเยี่ยมท่านก็ขอให้ท่านอยู่เป็นมิ่งขวัญ ของลูกหลาน นานๆ หลวงปู่ขาวท่านก็บอกว่า "แล้วแต่ว่าเค้าจะให้อยู่ถึงเมื่อไหร่นะ" "
ท่านนิ่งซักพักมองหน้าลูกหลานในห้องแล้วว่า..
"แต่ปรากฎว่า ท่านอาจารย์วัน ท่านอาจารย์จวน ท่านเสียเพราะเครื่องบินตก ท่านเสียก่อนหลวงปู่ขาวเสียอีก นี่เห็นไหมความตายมันไม่แน่ไม่นอนเพราะฉะนั้นต้องพากันปฏิบัติให้มาก"
หลวงปู่ท่านสอนว่า " ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ถือศีล เอาให้ครบ วันนี้ไม่ครบ ถือศีลได้บางข้อ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตั้งใจใหม่เอาให้ครบ วันนี้ถือได้สามข้อ พรุ่งนี้ได้สี่ข้อ เมื่อรืนก็ได้แล้วครบห้าข้อเลย หรือตั้งใจถือเป็นเวลาก็ได้นะ เช่นตั้งใจว่าฉันจะรักษาศีลสามชั่วโมงต่อจากนี้ ฉันจะไม่ฆ่ายุง จากสามชั่วโมง เป็นห้าชั่วโมง เป็นสิบชั่วโมงเดี๋ยวก็เป็นวัน"
" ไม่มีใครรู้นะว่าจะตายเมื่อไหร่ ร่างกายก็ผุพัง ตายไปก็ออกจากร่างนี้ไปนะ จิตก็ย้ายไปอยู่ร่างใหม่ ก่อนจะออกก็ต้องสั่งสมบุญ เหมือนกับหาเงินไว้เยอะๆ จะได้บ้านใหม่สวยๆ"
#หลวงปู่คำพอง (น้อย) #ปัญญาวุโธ
#คนเราชอบยุ่ง #เรื่องที่ไม่ยุ่งทำไมไม่ทำ
ดูลมหายใจเข้าออก ได้ซื้อตรงไหน อยากให้ดุด่ากิเลสอยู่ในหัวใจบ้าง..
เวลาทานอาหาร ไม่เห็นบอกว่าปีหน้าชาติหน้าค่อยทาน แต่เวลาทำบุญ(ทำสมาธิ)ให้อาหารใจ ไปหาแต่นิพพานะปัจจะโยโหตุ อะนาคะเตกาเล
ทำอะไรนิดๆหน่อย นิพพานะปัจจะโยโหตุ อะนาคเตกาเล ปรารถนาเอาอนาคตโน้น.. อนาคตไม่แน่นอน.. พระพุทธเจ้าให้ดูปัจจุบัน ให้รีบทำปัจจุบัน ให้เห็นปัจจุบัน..
โอวาทธรรมคำสอน #หลวงปู่ทองอินทร์ #กตปุญฺโญ
#การเจริญสมาธิภาวนาแต่ละครั้งจะได้บารมีหลายอย่าง
เราเจริญอานาปานสติแรกๆ จิตไม่สงบก็ไม่เป็นไร หลวงพ่อ(ชา) ปลอบใจลูกศิษย์ใหม่อยู่เสมอว่า นั่งสมาธิแล้วจิตสงบเหมือนทานอาหารที่อร่อย
นั่งสมาธิภาวนาจิตไม่สงบเหมือนกับทานข้าวเปล่า แต่ทานข้าวเปล่าก็ยังดีกว่าไม่ทานอะไรเลย อย่างน้อยเราก็ได้เจริญขันติบารมี เนกขัมมบารมีหรืออธิษฐานบารมี
บารมีนี้มีหลายข้อ ตั้งใจนั่งสมาธิ ก็เป็นการเจริญด้วยสัจจะอธิษฐานบารมี เช่น นั่งสมาธิตั้งใจว่าเราจะไม่เปลี่ยนอิริยาบถตลอด ๔๕ นาที หรือตั้งใจว่าเราจะนั่งทุกวันไม่ต่ำกว่า ๒๐ นาทีหรือ ๓๐ นาที
ถึงแม้ว่าในขณะที่เรานั่งนิ่ง เราไม่สงบเย็น เราก็ได้ขั้นของบารมี อดทนต่อความคิดปรุงแต่ง จิตเมื่อวอกแวกแส่ส่ายไปหาอารมณ์ภายนอกก็ให้ดึงกลับมา
อารมณ์ทั้งหลายที่เราชอบคิดชอบปรุงแต่งนั้นเป็นโลก ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก คือการสร้างเนกขัมมบารมี เพราะคำว่าพุทโธ นั่นแหละคือธรรม
การดึงจิตออกจากโลกกลับมาสู่ธรรม เป็นเนกขัมมบารมี เป็นเหมือนการออกบวช ให้พวกเราหาโอกาสที่จะออกบวชทุกวัน คือ ออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตเป็นกุศล ปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีไม่งามนั้น เป็นการออกบวช
คัดตัดตอนจากเรื่อง เส้นทาง โดย #พระอาจารย์ชยสาโร
|