#ปล่อยจิตว่าง_แล้วจิตสบาย
"เพราะจิตเป็นหนึ่งไม่ขุ่นมัว ไม่มี อารมณ์มาฉาบทาดวงจิตแล้ว ดวงจิตใส ดวงจิตขาว จิตเย็น มี แต่ความสบาย รู้เท่าสังขาร รู้เท่า ความเป็นจริง จิตเราไม่หวั่นไหวต่อ สิ่งทั้งปวง ถึงมรณะจะมาถึงก็ตาม ทุกขเวทนา เจ็บปวด มาถึงก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น..."
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย
...ทำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ปลงเสีย “ ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็เกิด “
..เพราะของต่างๆในโลกนี้ มันก็ไม่มีอะไรที่ถาวร “ ชีวิตของเราก็ยังไม่ถาวรเลย “
..เรามากังวลกับเรื่องราวต่างๆทำไม พอเราตายไป เรื่องราวต่างๆ มันก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม
..โลกนี้มันไม่ได้มีไว้เพื่อ ให้เรามาสะสม มาห่วง มากังวล กับเรื่องราวต่างๆ
.."โลกนี้มีไว้เพื่อให้เรา ได้มาบำเพ็ญกิจ ที่จะต้องบำเพ็ญ" ก็คือ..”ชำระจิตใจของเรา “ เท่านั้นเอง
..ชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ “ ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ “. ....................................... จุลธรรมนำใจ4 กัณฑ์238 ธรรมะบนเขา 30/7/2549 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
"..ใจเป็นผู้หลง ใจเป็นผู้ปฏิบัติตนให้รู้ ใจเป็นผู้แก้ความลุ่มหลงของตน เมื่อได้แก้เต็มภูมิแล้วความลุ่มหลงนั้นก็หมดไป ทุกข์ก็ดับไป ความลุ่มหลงนั้นแลพาให้ก่อทุกข์ เมื่อทุกข์ดับไปแล้ว คำว่านิโรธก็แสดงขึ้นมาในขณะเดียวกัน แล้วอะไรที่ยังเหลืออยู่เวลาสมุทัยและทุกข์ดับไปแล้วนั้น ผู้ที่รู้ว่าทุกข์และสมุทัยดับไปนั้นแลคือผู้บริสุทธิ์ ผู้นี้ไม่ดับ ผู้นี้แลเป็น ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ สัจธรรมทั้งสี่เป็นเพียงกิริยาอาการดำเนินในขณะที่ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสกองทุกข์เท่านั้น
เพราะฉะนั้น เรื่องอรหัตมรรค อรหัตผล จึงเป็นธรรมที่คาบเกลียวกันอยู่ ยังไม่ละกิริยา ระหว่างมรรคกับผลวิ่งถึงกันในชั่วระยะจริมรรคจิต ตามปริยัติท่านว่าไว้ ชั่วจริมรรคจิต คือ ชั่วลัดมือเดียว ขณะเดียวเท่านั้น ขณะนั้นท่านว่ามรรคกับผลวิ่งถึงกัน ทำหน้าที่ต่อกันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นเรียกว่า นิพพานหนึ่ง ในขณะเดียวกันเรียกว่าถึงแดนแห่งความบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็ได้ และคำว่าแดนแห่งความบริสุทธิ์นี้ จะหมายถึงอะไร ถ้าไม่หมายถึงใจผู้เคยติดอยู่ในกองทุกข์ ได้พ้นจากแดนเเห่งความทุกข์ไปเท่านั้น.."
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๑
" บุญ นั้น ไม่ได้เกิดแต่การ บริจาคทานอย่างเดียว
บุญเกิดจาก การรักษาศีล บุญเกิดจาก การภาวนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญภาวนา เป็นบุญที่ สามารถทำได้ไม่เลือกบุคคล
ไม่ว่าจะเป็น คนแก่คนเฒ่า หรือเด็ก หญิงหรือชาย หรือคนเจ็บป่วยก็ตาม สามารถทำได้
คนที่มีสติปัญญา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นบุญแล้ว ทำการทำงานก็เป็นบุญ ทุกสาขาอาชีพที่เป็น อาชีพบริสุทธิ์ ถ้าเราระลึก "พุทโธ" คราวใด บุญก็เกิด ขึ้นคราวนั้น ไม่ต้องหาไกล
คนมีปัญญาไม่ต้องหาไกล หาอยู่ใน กาย หาอยู่ใน วาจา หาอยู่ใน จิต "
โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
" การรักษาศีลไม่ใช่เที่ยว ท่องจำตามตำราข้อนั้นข้อนี้
การรักษาศีล คือ การรักษา "จิต" ให้เป็นหนึ่งเดียว
ศีลทุกๆ ข้อรวมที่จิตดวงเดียว เมื่อเราสำรวมจิตดีแล้ว ศีลก็สมบูรณ์
สมาธิก็จะตามมา และ วิปัสสนาตัวปัญญา ก็จะตามมาเป็นลำดับ โดยไม่ต้องไปบังคับ "
โอวาทธรรม หลวงปู่พระมหาบุญมี สิริธโร
" ผู้ที่จะไม่ตกนรกและว่าย ข้ามมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ได้ ต้องรีบมีพุทโธในดวงจิต
เหตุนั้นขอให้รู้สึกตัว ขอให้ สะดุ้งจิตของตัวให้มากทีเดียว ค้นคว้า ค้นหาศีล หาที่พึ่ง
ระหว่างนี้พวกเรากำลังว่ายน้ำ มหาสมุทร สมุทรอย่างยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าสมุทรธรรมดาในโลกนะ
สมุทรในที่นี้ น้ำราคะ น้ำโทสะ น้ำโมหะ กำลังว่ายอยู่ในน้ำนั่น
หากว่ามีเครื่องเกาะ คือพุทโธ มีเครื่องเกาะ กระดิกไป กระดิกไป ในที่สุดถึงฝั่งได้
ส่วนคนไหนมีมัจฉริยะ ตะหนี่ ไม่มีที่พึ่ง ทานไม่มี ศีลไม่มี ภาวนาไม่มี ว่ายน้ำตามกำลัง ของตัว ไปไม่รอดหมด
เหนื่อยแล้วต้องจมน้ำตาย ชีวิตนั้นเป็นอาหาร ของเต่าของปลาไป "
โอวาทธรรม หลวงปู่หลุย จันทสาโร
"..ศีลธรรมของพระพุทธเจ้า เอาไปประพฤติปฏิบัติ ได้รับประโยชน์ทั้งนั้น
เหมือนกับยา จะสีวรรณะใด ฝรั่งดำ ฝรั่งขาว เขมร ไทย จะสีใดๆ ก็ช่าง
ยาเป็นประโยชน์ เวลาป่วยไข้ได้ทั้งนั้น ไม่เลือกสีสัน ไม่เลือกวรรณะ.."
โอวาทธรรม หลวงปู่แบน ธนากโร
“..เวลามีชีวิตอยู่อย่าได้ ประมาทนะ ให้พากัน สวดมนต์ให้พร ภาวนา จำศีล อย่าปล่อยอย่าวาง อันนี้ละเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตาย
ส่วนหน้าที่การงานสมบัติ เงินทองอะไรมากมายนั้น ก็จะทิ้งเกลื่อนอยู่ในโลกอันนี้ ไม่ไปกับเรา ส่วนไปกับเรา มีแต่บุญ
ให้พยายามสั่งสมบุญเสีย ตอนนี้อย่าพากันประมาท เวลาตายแล้วจะไม่มีอะไร เกาะ ไม่มีอะไรติด มีแต่บุญ กับบาปติดที่หัวใจ
เพราะฉะนั้น ให้สร้างบุญ ให้มากกว่าบาป ให้พยายาม ละบาป แล้วบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศลให้มากขึ้นโดยลำดับ
ตายแล้วใจก็เบาหวิว ใจมีบุญ มีกุศลนี้เบาหวิว ใจของคนมีศีล มีธรรมนี้ไปได้เบาหวิวๆ
ใจของคนมีแต่บาป หาบแต่กรรมนี้จมเลยๆ ให้พากันจำให้ดี..”
โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
#อาจาริโยวาท
หลวงปู่ดูลย์ ท่านเทศน์เอาไว้ว่า เพ่งเข้ามาดูข้างในรู้ข้างใน เป็นมรรค รู้นอกเป็นสมุทัย รู้ในแล้วมันมายกโทษตัวเอง เพ่งโทษตัวเอง แก้ไขแต่ตัวเอง ถ้ามองออกไปข้างนอก ไปมองเห็นความประพฤติคนอื่น ที่ไม่ถูกหูถูกตาเกะกะ ก็ยกโทษแต่คนอื่น
หลวงปู่ตื้อ นี่ไปเห็นต้นมะขามป้อม เอาตีนถีบ ต้นขนาดแขน ลูกมันดก ตีนถีบมันหล่นลงมาแล้วเก็บมาฉันเลย แต่ หลวงปู่มั่น บอกว่า ใครอย่าไปดูถูกท่านตื้อนะ "ท่านตื้อเป็นพระเถระ" อย่างนี้เป็นต้น
หัวใจโอวาทของ พระอาจารย์ฝั้น ท่านว่า "อย่าปล่อยให้จิตอยู่ว่าง" ความหมายของท่านคือ ๑. อย่าให้ว่างจากการกำหนดรู้ ๒. อย่าให้ว่างจากอารมณ์อันเป็นกุศล
ส่วนของ ท่านอาจารย์มั่น "อย่าไปว่าให้เขา ทัศนะของเขาเป็นอย่างนั้น" วิสัยของพระโสดาบัน ใครพูดมาฉันฟังได้หมด ดีฉันฟังได้ ชั่วฉันฟังได้ ฉันจะเอาหรือไม่เอานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เกร็ดธรรมจากหลวงปู่พุธ ฐานิโย
#บางท่านกล่าวว่าเราลงมือทำดีจะตายแต่ได้รับผลไม่คุ้มค่า
ข้อนี้ขอแซงว่า เราได้ระลึกถึงใจเราที่ได้ทำมาแล้ว นึกมาแล้ว ทุกขณะจิตหรือไม่ บางรายในอดีต เรานึกอิจฉาริษยาเขาด้วยใจล้วนๆ ก็มี ได้เปล่งวาจาออกมาบ้างก็มี แต่กายยังไม่ได้ลงมือทำก็ตาม ผลของการนึกอิจฉาริษยาเขา ก็สามารถตามมาหาเราได้ ผลที่วาจากล่าวอิจฉาเขาก็ดี ก็สามารถมาตัดรอนเราได้เป็นยุคๆ เป็นสมัยๆ
ผลของความชั่ว เหตุความชั่วที่เราได้ปลูกพืชไว้ในดวงใจ คือกิเลสในชาตินี้และชาติก่อนตั้งล้านๆ ล้านๆ ชาติที่ล่วงมาแล้ว มันไม่จบไม่เกษียณได้โดยง่ายเหมือนคดีดำคดีแดงในโรงในศาลภายนอก
-ธรรมดาคนเรา ไม่ว่าผู้เขียนอยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี ผู้อ่านผู้ฟังอยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี โดยมากแล้วมักจะไม่ทวนดูใจของตนเป็นส่วนมาก-
ใจท่านผู้อื่นเหลวไหลกว่าตนทั้งนั้น โทษท่านผู้อื่นเห็นง่าย ฝ่ายตนเห็นยาก หาโขนสวมหัวตนเองหาได้ง่าย สวมให้ท่านผู้อื่นนั้น ไม่อยากจะสวมให้โดยง่ายเพราะเกรงเสียเปรียบ
เพราะมีกิเลสเป็นเจ้าใหญ่นายโต เป็นนายคุมนักโทษอยู่ในหัวใจ หรือรอบเมืองใจ เส้นผมบังภูเขาก็ว่า ขนตาบังแผ่นดินก็เรียก...
#หลวงปู่หล้า #เขมปัตโต
#การพิจารณาจะให้ถอดถอนความรัก
นี้จึงต้องแยกดูให้เห็นชัดเจน ว่ามันน่ารักที่ตรงไหน น่าชอบใจที่ตรงไหน นี่คืออุบายของปัญญา คลี่คลายเข้าไปดูสิ่งนั้นๆ ให้เห็นชัดเจน หลายครั้งหลายหนจิตย่อมเกิดความซึ้ง ความเข้าใจด้วยอุบายของปัญญา แล้วถอดถอนตนเข้ามาได้โดยลำดับ ความรักก็เพลาลงไปผ่อนลงไป
ความรักความชัง เมื่อสิ่งหนึ่งผ่อน มันย่อมผ่อนไปตาม ๆ กัน ความเกลียดความโกรธก็ผ่อนไปตาม ๆ กัน จนผลสุดท้ายสิ่งที่ไปรัก ไปเกลียด ไปโกรธนั้น ก็เป็นสภาพแห่งความจริงอันหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไร นอกจากผู้นี้ไปเป็นเสียเอง
-ไปรักไปชอบไปเกลียดไปโกรธด้วยความโง่เง่าเขลาปัญญาของตนเท่านั้น-
จิตก็ทราบทั้งภายนอก ทราบทั้งตัวเป็นผู้ไปก่อเหตุ และทราบทั้งวิธีแก้ไขถอดถอนสิ่งเหล่านี้ จิตก็เริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็นปกติโดยลำดับ สิ่งกวนใจทั้งหลายเหล่านี้ก็มีน้อยลง เพราะการกลั่นกรองอยู่เสมอ
จนผลสุดท้ายสิ่งภายนอกถูกพินิจพิจารณา จนเข้าถึงขั้นความจริงแล้วปล่อยวางเข้ามาได้โดยลำดับ จนกระทั่งปล่อยวางได้โดยสิ้นเชิง เพราะอุบายของสติปัญญา ผู้พิจารณาแก้ไขถอดถอน จิตย่อมเข้าสู่ความเป็นตัวของตัวได้โดยลำดับ
#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน
“เราช่วยเขา ก็อย่าไปคิดว่า เขาจะตอบแทนบุญคุณของเรา อย่าไปคิดว่าเขาจะมาภักดีกับเรา หลายคนมีความทุกข์ เพราะคาดหวัง ว่าเขาจะต้องสำนึกในบุญคุณของเรา เขาจะต้องดีกับเรา
พอเขาไม่ดีกับเรา หรือเพราะเขา อาจสำนึกบุญคุณแต่ไม่มาก อย่างที่เราต้องการ เราก็มีความทุกข์ รู้สึกว่าทำไมเขาไม่ตอบแทน บุญคุณของเราเลย
ให้เงินเขาไป หรือให้ยืมเงินแล้ว เขาก็ไม่สนใจที่จะมาตอบแทนบุญคุณของเรา หรือไม่ดีกับเรา ก็เลยเกิดความบาดหมาง เกิดความคับแค้นใจ กลายเป็นว่า ทำความดี หรือแม้ช่วยเขาแล้วเกิดความทุกข์ใจในภายหลัง อันนี้เพราะ ไปคาดหวังให้เขาทำดีกับเรา ให้เขาภักดีกับเรา
แต่ถ้าเราลองมานึก เออ... เขาก็เหมือนกับแมวนะ เราให้อาหารเขา เขากินอาหารแล้ว เขาก็ไป ไม่รู้สึกภักดีอะไรกับเรา ถ้าเราช่วยคนเหมือนกับเราเลี้ยงแมว ไม่ได้หวัง ความภักดีจากเขา พอได้รับการช่วยเหลือ หมดทุกข์หายหิวแล้วเขาก็ไป
นี่การเลี้ยงแมว ก็สามารถจะสอนเราได้เหมือนกัน สอนให้เราทำดีกับผู้อื่น ด้วยการวางใจเหมือนกับ เลี้ยงแมว”
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
|