การถือเพศบรรพชิตเป็นวิถีชีวิตที่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรมให้รู้แจ้งเห็นจริงมากที่สุด เพราะเป็นแบบแผนที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่กระนั้น ใช่ว่าเราจะต้องออกบวชเพื่อบรรลุธรรมเสมอไป
การบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลมี ๔ ระดับ ระดับแรก คือ พระโสดาบันหรือผู้เข้ากระแสที่จะนำไปสู่พระนิพพาน การบรรลุธรรมขั้นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ปฏิบัติธรรมเห็นแจ้งในกายและจิตตามความเป็นจริง จนกระทั่งปล่อยวางทิฏฐิ ความเชื่อ ทรรศนะและความหลงงมงายทั้งปวงที่ยึดถือไว้และก่อให้เกิดทุกข์แก่ตน โดยตลอดระยะเวลา ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา มีอุบาสกและอุบาสิกาจำนวนไม่น้อยที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
การเข้ากระแสธรรมของพระโสดาบัน มีผลสำคัญสองประการ ประการแรกคือ ปิดกั้นการเกิดในอบายภูมิโดยสิ้นเชิง และประการที่สองซึ่งเป็นที่มาของอุปมาเกี่ยวกับกระแสธรรมคือ การบรรลุโสดาบันย่อมนำไปสู่การบรรลุธรรมขั้นสูงสุด คือเป็นพระอรหันต์ภายในไม่เกิน ๗ ชาติอย่างแน่นอน
พระพุทธองค์เคยตรัสว่า หากจะเปรียบทุกข์เหลือคณาที่เราเคยประสบมาตั้งแต่อดีตชาติเป็นเหมือนดินทั้งหมดในโลก ทุกข์ที่หลงเหลือของพระโสดาบันย่อมไม่ต่างจากเศษดินที่อาจติดในซอกเล็บได้ กล่าวโดยย่อ สำหรับชาวพุทธทุกคน การบรรลุโสดาบันเป็นเป้าหมายที่พึงปรารถนายิ่งและเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง ควรค่าแก่การมุ่งมั่น
ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ
...เมื่อ “จิตรวมลงแล้ว” จะพบกับความสุขที่.. แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ที่ไม่เคยพบมาก่อน
. “ไม่มีความทุกข์ ไม่มีอะไรอยู่ในใจเลย ไม่มีเรื่องราววุ่นวายต่างๆ ไม่มีอะไร ทั้งสิ้น”. ....................................... คัดลอกการแสดงธรรม ธรรมะบนเขา 16/4/2550 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
อยากให้คนทั้งหลายนี่นะ ได้รู้อย่างเรา ได้เห็นอย่างเรา ได้รู้ธรรม อรรถธรรม จะได้รู้แจ้งเห็นจริง จะได้กลัวบาปกลัวกรรม จะได้กลัวเวรกลัวกรรม พอเห็นคนมนุษย์ธรรมดาอะไรนี่ บางทีเดินไป ผ่านไปเห็นคนทำบาปทำกรรมนี่ โอ...จิตใจสยองหดหู่!
หลวงปู่ครูบาอินสม สุวีโร
การไม่เบียดเบียนตนและคนอื่นเป็นลักษณะเด่นประการหนึ่งของพระพุทธศาสนา ไม่มีคำสอนของพระพุทธองค์แม้แต่ประโยคเดียวที่จะตีความในลักษณะสนับสนุนความรุนแรงได้ พระพุทธองค์ทรงตำหนิกระทั่งความคิดรุนแรง ครั้งหนึ่งทรงเตือนเหล่าภิกษุว่า ผู้ใดเอาแต่คิดเคียดแค้นบุคคลที่ใส่ร้ายตถาคต ผู้นั้นยังไม่ใช่พระสงฆ์สาวกอย่างแท้จริง
เราอาจคุ้นกับแนวคิดที่ว่า บางครั้งเราก็จำเป็นต้องเบียดเบียนคนอื่นเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมหรืออุดมการณ์บางอย่าง เชื่อกันว่าถ้าเบียดเบียนโดยที่ไม่ได้มุ่งประโยชน์ส่วนตนย่อมชำระบาปจากการเบียดเบียนได้ แนวคิดซึ่งตรงกับสำนวนภาษาอังกฤษว่า “ผลลัพธ์สร้างความชอบธรรมให้กับวิธีการ” นี้ อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายและความรุนแรงมากมายที่ส่งผลให้โลกเราเศร้าหมองไม่ใช่น้อย
พระพุทธองค์ไม่เคยทรงสอนเรื่องสันตินิยมแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ทรงแสดงกฎแห่งกรรม โดยตรัสว่าการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยเจตนาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ล้วนเป็นบาปกรรม ใครทำกรรมใดไว้ ไม่ว่าจะอธิบายด้วยเหตุผลอย่างไร พึงตระหนักถึงผลกรรมที่จะตามมา
ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร แปลถอดความ โดย ศิษย์ทีมสื่อดิจิทัลฯ
"ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็อย่าเผลอใจให้สุขมาก"
พระอาจารย์ไพศาล วสาโล
“เรื่องถูกด่านั้นไม่ต้องห่วง ใครๆ ก็มีโอกาสถูกด่าด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่ง ฟ้า ฝน ก็ถูกด่าเป็นประจำวัน”
ท่านพุทธทาสภิกขุ
"ศีล ๕ ประการ มีคุณในการตัดทอนผลเพิ่มของบาป บาปที่เราเคยทำมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ หรือตั้งแต่เช้านี้ บัดนี้ เรามางดเว้นจากการทำบาป ตามกฎของศีล ๕ ข้อนั้น
เราได้ชื่อว่า ตั้งใจตัดกรรมตัดเวร ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติต่อๆ ไป จนกระทั่งตลอดชีวิตของเรา เราก็จะได้ตัดกรรม ตัดเวรตลอดชีวิตของเรา
การตัดกรรม ก็คือ หยุดทำความชั่วความบาป การตัดเวร ก็คือ หยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวร ซึ่งกันและกัน คือไม่แก้แค้นซึ่งกัน และกัน รู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกัน และกัน ผู้ทำผิดก็ให้รู้จัก คำว่าขอโทษ ผู้ถูกขอโทษ ก็ควรจะรู้จักคำว่า ให้อภัย ไม่เป็นไรหรอก
อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
"การพูดไม่ดีกับคนอื่นอย่างไร ย่อมพูดได้ แต่อย่าหวังน้ำใจ จากคนอื่น เมื่อมีความสำคัญ ได้อย่างนี้ จากนี้ไปให้ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด หรือเราจะไม่พูด ที่ทำให้คนอื่น มีความเดือนร้อน เป็นทุกข์ด้วยคำพูดของเรา นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
#ผญาธรรมองค์หลวงปู่ผาง #จิตตคุตโต
มาเด้อไผ๋อยากหนีโลกกว้าง ทุกข์ใหญ่ในกองไฟ อย่าสิไปตามตัณหา หมู่กามคุณห้า มาทำวิปัสสนา ให้เห็นฮู้ หาทางให้พ้นโศก ฮีบ...เร็ว ๆ ญาติพี่น้อง มันสิซ่าค่ำทาง ให้เจ้าวางขันธ์ห้า อุปมาให้เจ้าหน่าย ข้าวของหลายมากล้น บ่เห็นเอาไปได้ ตายไปก็เสียเปล่า ฝูงหมู่เจ้าคิดเบิ่งให้มันคัก ให้ประจักในใจ ให้ฮำฮอนดูบ้าง ฮีบหาทางไปหน้า หาทางให้พ้นโศก สมบัติในโลกนี้ ให้วางถิ่มปล่อยสา มันเป็นแสงไฟจ้า เผาอุราให้วายวอด ตลอดหมดทุกชั้น ขุนข้าไพร่พล มันบ่เหลือหยั๋งค้าง กษัตริย์จอมไตร แม่นไผ๋ ๆ กะบ่เหลือหลอ ดั่งเดียวกันนั่น ลูกคนใด๋ใจต่ำ ทำป่นปี้ ทรพีเลวทราม หยามหมิ่นท่าน เนรคุณเลวร้าย กลายเป็นมาร สร้างสุสาน ขุมนรกหมกโตเอง
องค์หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต
“..ดูใจของตัวเอง สติมีดูมันคิดไปเรื่องอะไร เรื่องที่คิดเหล่านั้นเราเคยคิดเคยปรุงมาเสียพอแล้ว และเคยนำความทุกข์มาบีบบังคับให้เราได้รับความทุกข์ทรมานมามากต่อมากแล้ว ทำไมจะไม่เข็ดหลาบ
การปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ทำไมจะถือว่าเป็นของลำบากลำบนไป นี่ก็ถูกกลมายาของกิเลสมันหลอกให้จมอยู่อีกแล้วนั่น จะไม่มีทางพ้นไปได้ ถ้าไม่ตั้งใจอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายจะไม่มีวันพ้นไปได้นะ เราอย่าเข้าใจว่าจิตนี้มีวันมีคืนมีปีมีเดือนมีสิ้นมีสุดโดยไม่ต้องชำระสะสางกัน..”
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๑๘ ตุลาคม 2530
คนเราเกิดมาไม่มีใครอยากได้ความทุกข์ มีแต่คนอยากได้รับความสุขสมหวัง แต่ไม่ดูตนเองว่าสิ่งที่ทำอยู่ เป็นคุณ หรือเป็นโทษ เป็นบุญ หรือเป็นบาป ถึงเวลาเวรกรรมเอาคืน อย่าร้อง ร้องแล้วได้ประโยชน์อะไร เพราะต้นเหตุเกิดขึ้นจากที่ตัวเราเอง...จำเอาไว้นะ
โลกนี้เป็นโลกสงสารอยู่แล้วเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข ไม่มีอะไรมั่นคงถาวร ลองเอาไปคิดพิจารณากันดู !
หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร
อย่าไปถือเรื่องราวใดๆของผู้ใด. มาเป็นข้อข้องใจ. มาเป็นอุปสรรค. แก่การดำเนินของตัวเอง.
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
#ให้เราเป็นหมอรักษาตัวของเรา_ใจของเราให้ดี
ให้แยกประเภทกันออกให้ได้ ถ้าแยกอันนี้ออกแล้วจิตใจสงบไม่วุ่นวายนัก โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่รุนแรง แม้โรคจะรุนแรงรวดเร็วนะมันจะเป็นธรรมดา ๆ จิตใจก็มีกำลังขึ้นเรื่อย ดีไม่ดีต้านทานโรคได้ ถ้าถึงขั้นแก่กล้าของธรรมะต้านทานกันได้..
สกฺกตฺวา พุทฺธรตนํ ธมฺมรตนํ สงฺฆรตนํ โอสถํ อุตฺตมํ วรํ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นโอสถอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าเป็นโอสถอะไร จามฟิกก็วิ่งหาหมอแล้ววิ่งหาธรรมไม่มีแล้วจะเอาประโยชน์อะไรจากธรรม เมื่อใจไม่สนใจในธรรม . นี่ได้เคยฟัดกันมาแล้วนะถึงได้พูดอย่างอาจหาญ สิ่งเหล่านี้เคยมาแล้วทั้งนั้น ไม่ใช่ไม่เคยแล้วมาพูดโม้อย่างนั้น มียาติดตัวเมื่อไรเข้าในป่าในเขา ไม่มีละกรรมฐานแต่ก่อน ยาเม็ดหนึ่งก็ไม่ได้ติดย่าม เป็นมาก็หัวชนกันเลยเอากันเลย
จิตใจกล้าหาญเสียอย่างเดียวเท่านั้น โรคภัยไข้เจ็บก็เป็นส่วนของธาตุของขันธ์อยู่ใต้อำนาจของจิต จิตเหนือมันอยู่แล้วจะเป็นอะไรไป นี่เคย ยิ่งไข้มาลาเรียนี่แหมหนักมาก เวลามันหนาว-หนาวสะบั้น ตัวสั่น ห่มอะไรไม่อุ่น ห่มก็หนักเฉย ๆ หนาวไข้จับสั่นนี้เราอย่าเข้าใจว่าเอาผ้ามาห่มจะอุ่นนะ ไม่ได้อุ่น หนักเฉย ๆ มันหนาวสะบั้นอยู่ภายในใจ อยู่ภายในร่างกายของเรา ไม่ได้เป็นอย่างผิวเผิน
เพราะฉะนั้นห่มอะไรมันจึงไม่อุ่น ไม่ได้ห่มละ เปลื้องออกหมดห่มผืนเดียว ให้มันเท่านั้น จะเป็นขนาดไหนก็ให้เท่านี้ พอพลิกจากหนาวเป็นร้อนก็เป็นไฟอีก ไม่เอาออกผ้าพันไว้นั้น เปียกหมดเลย . ไข้จับสั่น เขาเรียกไข้มาลาเรียขึ้นสมองเป็นบ้านั่น แต่เราไม่ขึ้นหรือขึ้นก็ไม่รู้แหละ มันหากฟัดกันตลอดนะ เลยไม่ทราบอันใดขึ้นสมองอันใดลงสมอง ไข้หนักเท่าไรจิตยิ่งหนักถอยกันไม่ได้เลย นั่นละสู้กันให้มันเห็น
สกฺกตฺวา พุทฺธ ธมฺม สงฺฆ รตนํ ให้มันเห็นประจักษ์ ถอนกันเวิกออก ๆ จิตหมุนเข้า ๆ ธรรมะตีออก ๆ อันนั้นกระจายออก ๆ ให้มันเห็นชัดอยู่ในหัวใจ นี่ละของจริงไม่ใช่ของจำนะ เอาของจริงมาใช้ เป็นก็เป็นจริง ๆ รู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ กำจัดได้จริง ๆ ธรรมะพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงทดลองแล้วถึงได้มาสอน ไม่ได้มาสอนแบบปาว ๆ”
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
เราไม่ต้องกลัวตาย. ความตายไม่มีในจิต. จิตไม่มีความตาย. มีแต่. รู้. ล้วนๆ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
จิตที่มีสติ. เป็นเครื่องรักษา. ภัยที่จะเกิดขึ้นมา. ก็มีน้อย.
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
#มีสติรู้ตัว_พูดจาให้น้อยลง
พูดเท่าที่จำเป็น จะต้องพูดด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่ ..การพูดมาก มีโอกาสพูดผิดได้มาก ไม่เกิดประโยชน์ แล้วยังเป็นโทษอีกด้วย
. ..เป็นผู้ฟัง แล้วตามคิด เลือกจำสิ่งดีๆ มาใช้ จะได้ประโยชน์กว่า
. ..คนพูดมาก มักขาดสติง่าย เป็นผู้ฟังที่โทษน้อย หรือไม่มีเลย แต่เป็นผู้ได้รู้มากกว่าผู้พูด
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
#อย่าติดในร่างกาย #ตายไปก็เหลือแค่กระดูก #สาวงาม #หลงกาม "ธรรมะพเนจร โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร"
คืน วันหนึ่งตอน ๓ ทุ่ม ขณะที่ท่านพระอาจารย์จันทาเดินจงกรมอยู่ในป่าช้าแห่งนั้น บรรยากาศอันสงัดวิเวกวังเวงได้เย็นเยือกลง มีกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงลอยมาจนทำให้สะอึก ท่านคิดว่า ชาวบ้านฝังผีไม่ลึก ทำให้สุนัขมาขุดคุ้ยหลุมผี ลากเอาศพเน่าแล้วขึ้นมากิน กลิ่นศพเลยกระจายมาตามกระแสลม จึงสูดลมหายใจแรง ๆ เอากลิ่นศพเข้าปอด วิธีนี้จะทำให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับกลิ่นเหม็นได้สนิท ความเหม็นเน่าจะทุเลาลง วิธีนี้สัปเหร่อแนะนำให้ไว้ แล้วท่านก็เดินจงกรมต่อไปกำหนดพุทโธตามจังหวะย่างก้าวไม่นานจิตร่วมลงเกิดโอภาสสว่างจ้า
ใน แสงสว่างนั้น เห็นนิมิตเป็นหญิงสาว ๓ นาง ตัดผมสั้นคล้ายทรงผมผู้หญิงออกศึกสงครามสมัยโบราณ ผิวขาวร่างสูงใหญ่ ๘ ศอก สวยมาก แต่เปลือยกายล่อนจ้อน เข้ามาหยุดยืนห่างในระยะประมาณ ๒ วา ที่ของลับนางทั้ง ๓ มีหนอนตัวเท่านิ้วมือจำนวนมากมายเจาะอยู่ยุ่บยั่บน่าหวาดเสียว น้ำเหลืองน้ำหนองไหลพลั่ก ๆ ลงมาที่พื้นดินจิตบอกว่า นางทั้ง ๓ นี้เป็นเปรต !
นางเปรตทั้ง ๓ ได้เดินไปยืนคร่อมเครือเถาวัลย์ แล้วถูไปถูมาทำให้หนอนที่รุมเจาะของลับอยู่นั้นร่วงพรูลงมา เป็นภาพที่ทำให้สังเวชสลดใจยิ่งนัก ท่านพระอาจารย์จันทากำหนดจิตถามว่า
“ทำกรรมทำเวรอันใดไว้ถึงได้มาตกค้างอยู่ในสภาพนี้โยม?”
นางเปรตทั้ง ๓ ร้องเสียงดังโหยหวนไปทั้งป่าช้า ร่ำไห้น่าสงสาร กล่าวตอบว่า “พวกข้าน้อยมีทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหลือเกินท่านครูบาเอ๊ย ตั้งแต่สมัยตั้งเมืองนครพนมหลายร้อยปีนานมา
พวก ข้าน้อยเป็นสาวงาม เมื่อมีผัวแล้วก็เล่นชู้นอกใจผัว ไม่เลือกเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าหรือฆราวาส ฝ่ายผัวรู้เข้าก็คับแค้นใจ สาปให้ตายไปเป็นเปรต ถูกฝูงหนอนรุมเจาะของลับเช่นนี้แหละ” “อยากจะพ้นทุกข์นี้ไหมล่ะโยม ?” “อยากพ้นเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้จะพ้นได้อย่างไร ?”
ท่านพระ อาจารย์จันทาจึงกำหนดจิตถามพระธรรม ซึ่งก็คือ พุทโธหรือจิตนั่นเอง พระธรรมบอกว่า เปรต ๓ นางนี้เคยเป็นญาติกันมาในชาติก่อนหลายภพชาติ เคยช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันมา สมควรจะช่วยเหลือพวกนางให้ไปเกิดในสุคติภูมิหลาย ภพชาติมาล้วนไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้าองค์ใด สามารถช่วยเหลือเปรตทั้ง ๓ นางนี้ได้เลย เมื่อมาเจริญภาวนาในป่าช้าแห่งนี้แล้วจิตไม่สงบ เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิก็ไม่สามารถมองเห็นเปรตทั้ง ๓ นางได้
ในชาติ ปัจจุบัน พระที่มาเจริญภาวนาในป่าช้านี้จำนวนหลายองค์ จิตไม่มั่นคง เพราะถูกพวกเปรตในป่าช้ารบกวน ก็หนีไปอยู่เสียที่อื่น ไม่ได้ช่วยให้พวกเปรตหลุดพ้นทุกข์ไปได้ รวมทั้งไม่ได้เกี่ยวเนื่องเป็นญาติกันด้วย
ท่านพระอาจารย์จันทา สังเวชสลดใจ บาปกรรมช่างร้ายแรงน่าสะพรึงกลัวนี่กระไร จึงบอกให้นางเปรตทั้ง ๓ ตั้งใจรับเอาพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ แล้วจึงสอนให้เดินจงกรมภาวนาพุทโธสอนให้หัดไหว้พระสวดมนต์ กำชับให้เจริญภาวนาพุทโธ เอาพุทโธเป็นสรณะที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาอย่าได้ขาด
“เมื่อชาวบ้านญาติโยมมาทำบุญสุนทานในวัด ก็ให้โยมทั้ง๓ ฟังเทศน์ฟังธรรมกับเขา รับเอาพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ ศีล ๘ กับเขา
เผื่อ เขากรวดน้ำอุทิศกุศลให้เปรตขนก็โมทนายินดีรับเอากุศลนั้นด้วย จะได้หมดกรรมในเปรตวิสัยภูมิเร็วขึ้น” ท่านพระอาจารย์จันทากำชับนางเปรตทั้ง ๓ ท่านเล่าว่าต่อมาบางวันสงบ ๆ ในเวลากลางวัน จะได้ยินเสียงนางเปรตทั้ง ๓ กรีดร้องโหยหวนร่ำไรรำพันว่า
“เจ้าศีลเจ้าธรรมคูรบาเอ๊ย เมื่อไหร่หนอ พวกข้าน้อยจะพ้นจากเวรกรรมเสียที ทุกข์ยากเจ็บปวดแท้ น้อ”
บาง คืนเปรตก็ร้องคร่ำครวญน่าเวทนายิ่งนัก เวลาท่านเดินจงกรมตอนกลางวันกลางคืน นางเปรตและผีทั้งหลายในป่าช้าพากันนั่งเต็มไปหมดคอยรับเอาส่วนกุศลที่แผ่ให้ แล้วจึงไปภาวนาทำความเพียรช่วยตัวเอง
“ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าพระ กรรมฐานทุกองค์แม้จะได้ฌานสมาธิ แต่ก็ไม่ได้เห็นผีเห็นเปรตหรือเห็นเทวดาเหมือนกันหมดทุกองค์ พระกรรมฐานที่จะเห็นได้ ส่วนมาก เคยมีกรรมเก่าพัวพันกับผีสางเทวดาเหล่านั้นมาแล้วในชาติปางก่อน อาตมาเกิดนิมิตในสมาธิเห็นพวกวิญญาณได้เห็นจะเนื่องจากอาตมาเคยมีกรรมพัวพันกับพวกเขามาก่อน ไม่ใช่อาตมาได้ตาทิพย์อะไรหรอกนะ ครูบาอาจารย์ยังได้สอนอีกว่า อำนาจสมาธิอาจสามารถทำให้เห็นอดีต เห็นปัจจุบัน เห็นอนาคต ได้
แต่ ถ้าผู้ได้สมาธิระดับนี้ใช้สอดส่องเพ่งมองอดีต ปัจจุบันและอนาคต เป็นการอวดตนหรือหวังลาภสักการะแล้ว ย่อมจะทำให้การก้าวหน้าทางโลกุตรธรรมหยุดชะงักลงอย่างหมดหวัง น่าสลดสังเวช ประดุจดอกไม้ยังไม่ทันได้บานขึ้นเต็มที่ก็พลันเหี่ยวแห้งร่วงโรยไปเสีย ไม่มีโอกาสได้กระจายกลิ่นหอมหวนทวนลมแม้แต่น้อย
หลวงปู่จันทา ถาวโร
"..'ครูบาอาจารย์' เป็นแนะนำสั่งสอน ตัวเราเองต้องฝึกฝน ปฏิบัติเอง เดินจงกรม ภาวนา ขัดเกลาจิตใจ ถ้าไม่ฝึกฝนจิตใจ จะเป็นอะไรเมื่อตายไปแล้ว
หมั่นเอาคำสอน ครูบาอาจารย์ ไปฝึกฝน อบรมตัวเอง ใครจะทำให้เราได้ ต้องทำเอง ไม่ทำก็ไม่ได้
ถ้ามีความพากความเพียร ขันติอดทน ก็เห็นมรรคเห็นผล.."
โอวาทธรรม หลวงปู่สมบูรณ์ กันตสีโล
|