โลกนี้จะสับสนเพราะคนมุ่งรบ โลกนี้จะสงบเพราะคนเคารพธรรม ศาสนาจะรุ่งเรืองเพราะมีพระแท้ ศาสนาจะแย่เพราะมีพระปลอม
พระพรหมวชิรโสภณ (หลวงปู่ศรีจันทร์ ปญฺญรโต) วัดบึงพระลานชัย จังหวัดร้อยเอ็ด
#ปฏิบัติไปอย่ากลัวตาย_ไม่อย่างนั้นเราต้องมาตายซ้ำๆซากๆอีก
พวกเรานี่หนังสือตำรับตำราครูบาอาจารย์ดูหมด แต่ไม่สนใจปฏิบัติ เราปฏิบัติอยู่แต่นอก ๆ เอาไปมอบไว้กับพระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ ของไม่ได้บกพร่องที่ไหน มันบกพร่องที่ใจของเราที่ไม่ได้สนใจจะปฏิบัติ เพราะฉะนั้นคนสมัยนี้จึงไม่ค่อยถึงมรรคถึงผล หัวใจคนมันเสื่อม ศาสนาไม่ได้เสื่อม
เราถือศาสนากันแบบลม ๆ แล้ง ๆ ถือไม่จริงไม่จัง ถือกันเล่น ๆ เห็นศาสนาเป็นของเล่น พอจะพูดกันได้แต่กับคนปฏิบัติ คนไม่ปฏิบัติหิ้วแต่ปิ่นโตไปวัด หิ้วแต่สังฆทาน ก็ไม่มีโอกาสจะเข้าถึงศาสนา จึงขอเตือนว่า พวกเรามาอยู่ในขั้นหนึ่งแล้ว เพียงแต่ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ อย่ามีแค่อยากพ้นทุกข์เฉย ๆแต่ปฏิบัตินิด ๆ หน่อย ๆ เหตุมันไม่สมผลเลย
ความรู้สึกของเรามันเป็นความรู้สึกของกิเลส ถ้าเราตามใจกิเลส ทำตามความรู้สึกเจ้าของ นั่นแหละคือทำตามกิเลส เพราะกิเลสกับเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราจะเขี่ยกิเลสออก เราจะแก้กิเลสได้ เราต้องทำให้เหนือ เคยนั่งภาวนา ๒ ชั่วโมง ก็ต้องนั่งให้ได้ ๓ ชั่วโมง ให้มันเหนือความรู้สึกเจ้าของ มันจึงจะเป็น "ธรรม" ขึ้นมา
ถ้าเราจะนั่งปฏิบัติแบบที่เราเคยนั่งมาแบบไหนก็ทำแบบนั้น มันก็อยู่ที่เก่าที่เดิม ใจมันไม่ถูกเปลี่ยน เมื่อมันไม่ถูกเปลี่ยน จะถึงอรรถถึงธรรมได้ยังไง ความเพียรไม่ถึง อย่างบางคนนั่งภาวนา ๓๐ นาที มันก็อยู่แค่ ๓๐ นาที เท่านั้นล่ะ ให้มันฝืนขึ้นไปเรื่อย ๆ อันไหนที่กิเลสชอบ ธรรมไม่ชอบ ที่ธรรมชอบ กิเลสไม่ชอบ อย่างนี้จึงจะเป็น "ธรรม"
เพราะใจเรายังไม่เป็นอรรถเป็นธรรม เราจะเชื่อใจเราไม่ได้ คนไหนเชื่อเจ้าของเท่ากับเชื่อกิเลส คนไหนฝืนความรู้สึก ถ้ากิเลสไม่ชอบนั่งสมาธิเราต้องนั่ง ให้มันฝืนไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ฝืนก็จะจมอยู่อย่างนี้ ถ้าปฏิบัติกิเลสไม่สะเทือน จะให้มันออกจากใจมันก็ไม่ออก เพราะฉะนั้น คนที่จะปฏิบัติจนออกจากวงล้อมนี้ไปได้ ต้องเหมือนกับคนกัดเพชรขาด เราจึงจะเข้าใจวิธีการแก้กิเลส ถ้าไม่อย่างนั้น ก็อยู่ในวงล้อมกิเลส มันไสหัวให้ปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ มันให้เลิกนั่งเราก็เลิก ถ้าอย่างนี้มันก็ติดอยู่ในวงล้อมของกิเลส ให้กิเลสเป็นตัวบ่งชี้ เราปฏิบัติมาได้เท่าไร กี่วันกี่เดือนกี่ปีก็เท่าเดิม
เราไปอ่านประวัติครูบาอาจารย์ดูสิ ข้างนอกแม้กิริยาอาการของท่านจะเรียบร้อย แต่ภายในท่านเข้มแข็ง ไม่เข้มแข็งเอากิเลสไม่อยู่ เด็ดกิเลสไม่ขาด สิ่งไหนที่เราแพ้มันง่าย ๆ หลงกลมันได้เร็วที่สุด มันก็เอาอันนั้นล่ะมาล่อ เอ้า พอละนะ เดี๋ยวจะตายละนะ เอาสิ่งนี้มาล่อ ปฏิบัติไปอย่ากลัวตาย ไม่อย่างนั้นเราต้องมาตายซ้ำ ๆ ซาก ๆ อีก ผู้ไม่กลัวตาย จะไม่กลับมาตายอีก เพราะเอาความตายออกจากใจไปแล้ว ผู้ปฏิบัติที่เอาทุกข์ออกจากใจแล้วก็จะไม่กลับมาทุกข์อีก
พระอาจารย์โสภา สมโณ วัดแสงธรรมวังเขาเขียว จ.นครราชสีมา แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๙
#การพิจารณากาย
“การพิจารณากาย ให้พิจารณาลงไปในความเป็นปฏิกูลของกายนี้ ปฏิกูลมันมีอยู่ทั่วไปหมดนับตั้งแต่กายของเรานี้ออกไปทั้งหมดเลย ไม่ว่าเขาหรือเราก็ล้วนมีแต่ความเป็นปฏิกูล เรือนกายไหนก็เหมือนกันหมด เพียงแค่หนังบาง ๆ ห่อหุ้มหลอกคนเอาไว้ ถ้าเรามีปัญญาก็จะไม่มีอะไรมาหลอกเราได้ ร่างกายนี้จะตกแต่งให้สวยงามเลิศเลอแค่ไหนก็ตามมันก็ห่อหุ้มอสุภะไว้ ห่อหุ้มความเป็นปฏิกูลโสโครกไว้ ห่อหุ้มซากศพไว้ มีแค่หนังบาง ๆ ห่อหุ้มไว้ ที่เราไม่เห็นเพราะเราไม่ได้พิจารณาให้เห็นแจ้งรู้จริง เรามองเห็นเพียงแค่หนังที่มันห่อหุ้มอยู่ แล้วก็เกิดเป็นความชื่นชมยินดีพอใจ จากนั้นก็เกิดความยึดมั่นถือมั่น
ดังนั้น เราจึงต้องใช้ปัญญาไปคุ้ยเขี่ยมัน เพื่อให้เห็นตามสภาพความเป็นจริงของมัน แยกแต่ละส่วนในร่างกายออกไปเลย ให้มันแตกกระจายออกไป ส่วนที่มันเป็นความอบอุ่นความร้อนที่ใช้แผดเผาอาหารที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเราทั้งภายนอกและภายใน เราก็แยกออกมาได้เป็นธาตุไฟ สิ่งที่เป็นลมพัดเข้าพัดออกอยู่ในช่องว่างต่าง ๆ ทั้งหลายในเรือนกายนี้ เราก็แยกได้ออกมาได้เป็นธาตุลม ส่วนที่มันเป็นของเหลวที่อาบอยู่ในทั่วร่างกายทั้งข้างนอกและข้างใน มีน้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำเหงื่อเป็นต้น อันนี้ก็แยกออกมาเป็นธาตุน้ำ ส่วนที่เป็นของแข็งเป็นก้อนเป็นกองเช่นกองกระดูกเป็นต้น เราก็แยกออกมาเป็นธาตุดิน รวมแล้วธาตุสี่ ดินน้ำลมไฟมันมาประชุมรวมกันด้วยเหตุด้วยปัจจัยของมันเอง ก่อเกิดมาเป็นก้อนกายขึ้น แล้วจิตคือธาตุรู้ก็มาอาศัยเขาอยู่ พอมาอาศัยเขาอยู่ ก็เกิดเป็นอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นยึดว่าเป็นตัวกู ตัวกูนี่แหละเป็นสมมุติ
สิ่งเหล่านี้เราอยู่กับมันแล้วก็ไปหลงมัวเมามัน ก็เพราะเราไม่รู้จักคิดพิจารณาคลี่คลายมัน สมมุติมีมากเท่าไหร่ก็ไปหลงยึดมากเท่านั้น พอมันไม่เป็นไปตามสมมุติก็ต่อต้าน แล้วก็เกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมา หลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านทรงสอนไว้ก็เพื่อให้เราเข้าไปถึงหลักความจริง ให้พากันพิจารณาลงไปแยกแยะลงไปในกายนี้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของพวกเรามันจะต้องรื้อ คือรื้อถอนสิ่งที่มันครอบงำจิตใจของเราออกไป เมื่อจิตใจของเราหลุดออกมาจากสิ่งที่มันครอบงำได้แล้ว มันจะรู้ชัดแจ่มแจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง พระพุทธเจ้าท่านจึงเปรียบเทียบเหมือนการหงายภาชนะที่คว่ำอยู่ขึ้นมา มีอะไรอยู่ข้างในมันก็เห็นชัดเจนหมด เหมือนกับจุดประทีปขึ้นมาในที่มืด พอไฟมันสว่างขึ้นมาทีนี้มีอะไรอยู่เราก็เห็นชัดเจนหมด
อันนี้ก็เช่นกัน เรารื้อโมหะความลุ่มหลงออกไป ความจริงทั้งหลายก็เปิดเผยต่อปัญญาของเรา มันก็เห็นชัดเจนตามสภาพความเป็นจริงของมัน อวิชชาความไม่รู้มันก็อยู่ไม่ได้ เพราะด้วยอำนาจของวิชชาความรู้แจ้งที่มันเกิดขึ้นมา พออวิชชามันอยู่ไม่ได้หลุดออกไป จิตมันดีดตัวหลุดออกมาเป็นอิสระเลย แต่ก่อนจิตมันถูกกิเลสพันธนาการไว้จนดิ้นออกมาไม่ได้ พอรื้ออวิชชาพังทลายออกไปจากการครอบงำจิตดวงนี้เท่านั้น จิตดีดตัวออกมาเป็นอิสระเลย บริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกประการ นี่แหละเป็นจุดหมายปลายทางของการปฏิบัติธรรม จุดหมายนี้ไม่ได้อยู่ในบ้านในเมืองหรืออยู่ในป่าในเขาที่ไหน อยู่ในจิตอยู่ในหัวใจของพวกเรานี่แหละ ความพ้นจากสิ่งเหล่านี้ก็คือจิตดวงนี้นั่นแหละที่หลุดพ้น”
พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ๑๕ มกราคม ๒๕๖๔
#หัวใจดวงนี้เหมือนเก้าอี้
ถ้ามีความชังนั่งอยู่ ความรัก-ความเมตตา ก็เข้าไปนั่งไม่ได้
ถ้ามีความตระหนี่นั่งอยู่ ความละ-ความรวย ก็เข้าไปไม่ได้เช่นเดียวกัน
"ยิ่งละยิ่งรวย"
โอวาทธรรม หลวงปู่เสน ปัญญาธโร วัดป่าหนองแซง อุดรธานี เช้าวันจันทร์ที่12เมษายน พศ 2564
" มรณะ คือความตาย เมื่อระลึกอยู่ในใจอย่างน้อย ก็ให้ได้วันละ ๕ หนก็ยังดี
ระลึกถึงความตาย จะเป็น การเหยียบเบรกห้ามล้อ ไม่ให้มันดิ้นรนกวัดแกว่ง เอาเสียจนเป็นกงจักร เผาหัวใจเจ้าของตลอดเวลา "
โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
|