#ปรารภความเพียร
การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนั้น เราเกิดแล้วตายมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ความสุขทั้งหลายซึ่งเราเคยได้รับ หรือความทุกข์ทั้งหลายที่เราเคยได้รับก็ตาม ไม่เห็นมีสิ่งใดที่จะทำให้จิตใจของเรานั้น มีความสุขที่แท้จริงขึ้นมาบ้างเลย
พยายามใช้สติปัญญาสอนใจของเรานั้น ให้เห็นความทุกข์ในแต่ละภพแต่ละชาติ แห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ว่าจะอยู่ในภพชาติไหน หรือไม่ว่าจะอยู่ในภูมิไหน
ภูมิของนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือมนุษย์ เทวดา พรหม ล้วนมีความทุกข์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้ายังมามีการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีก
เพราะฉะนั้นชาตินี้ เราจะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อมุ่งประพฤติปฏิบัติเพื่อความดับความทุกข์ในจิตใจของเรา หรือเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ให้เกิดขึ้นภายในใจของเรานี้ เราจะไม่ท้อถอย จะประพฤติปฏิบัติทำความเพียรไป ตลอดชีวิตของเรานี้
ถ้าเราทุกคนมีความตั้งใจจริงเช่นนี้ อยู่ภายในจิตใจของเรา ก็จะทำให้จิตใจของเรานั้น เกิดความศรัทธาในการปรารภความเพียรอยู่ทุกๆ วัน
เมื่อเราทำความเพียรทุกๆ วัน สมาธิก็ย่อมเกิดขึ้น ปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้น ในการที่จะต่อสู้กับกิเลส ซึ่งมีอยู่ภายในใจของเรา
กิเลสนั้นไม่ได้อยู่ที่ต้นไม้ วัตถุธาตุทั้งหลาย หรืออยู่ที่เพื่อนศาสนิกของเรา อยู่ที่ใจของแต่ละบุคคลนี่แหละ กิเลสนั้นครอบงำจิตใจของเราอยู่ ถ้าจิตใจของเรานั้นตกเป็นทาสของกิเลส ไม่ใช้สติปัญญาที่จะต่อสู้เอาชนะกิเลสภายในใจของเราแล้ว เราก็เป็นผู้แพ้อยู่ร่ำไป เหมือนอยู่ในคุก เหมือนอยู่ในตะราง ที่คุมขัง
จิตใจของเรานั้นไม่เป็นอิสระ ไม่มีความสุข ไม่มีความสบาย เพราะถูกกิเลสครอบงำจิตใจของเราอยู่ ขังจิตใจของเรานั้นให้อยู่ในแต่ละภพแต่ละภูมิ
เพราะฉะนั้นเราต้องใช้สติปัญญา ที่จะต่อสู้เอาชนะกิเลสให้ได้
บางครั้งเราประพฤติปฏิบัติ อยู่ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ถือเป็นมรรคคือทางดำเนินไป เพื่อที่จะละกิเลสภายในจิตใจของเรา กิเลสก็มีอุบายปัญญาในการที่จะทำลายจิตใจของเรานั้น ให้ท้อถอยในการประพฤติการปฏิบัติภาวนา
แต่ต้องมีสติเตือนใจของเราอยู่เสมอ บางครั้งเราอาจจะรู้สึกขี้เกียจทำความเพียร หรือท้อถอยในการกระทำความเพียรก็ตาม ก็ให้มีสติสอนใจตัวเราเองอยู่เสมอว่า ถ้าเรามีกำลังขึ้นมาเมื่อไหร่ พักผ่อนทางร่างกายเพียงพอแล้ว เราก็จะประพฤติปฏิบัติภาวนา ต่อสู้กับกิเลสต่อไป
ไม่ใช่ว่าให้กิเลสนั้นทำลายจิต ใจของเรา เหมือนกับนักมวย ถ้าถูกเขาชกทีนึง เราต้องชกคืนสามที ถึงจะเอาชนะศัตรูได้ กิเลสก็เหมือนกัน บางครั้งวันนี้เราแพ้กิเลส แต่ให้เรามีสติมีปัญญา หักห้ามกิเลสภายในจิตใจของเราว่า เราจะชนะกิเลสให้ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าถูกกิเลสชกเราอยู่เรื่อย หรือเอาชนะจิตใจของเราอยู่เรื่อย จิตใจของเรานั้นไม่มีกำลังที่จะต่อสู้กับกิเลส ถูกกิเลสชกอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นการประพฤติการปฏิบัตินั้น ต้องมีความมุ่งหวังจริงๆ มีความตั้งใจจริงๆ ในการที่จะเอาชนะความโลภ ความโกรธ ราคะ ความกำหนัดยินดี ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่างๆ ให้ออกไปจากจิตใจของเรา
พวกเราทุกคนก็ได้ยินได้ฟังกันมามากพอแล้ว เหลือแต่การที่จะพยายามพัฒนาจิตใจของเรานั้น ให้มีความอดทน ให้มีความเข้มแข็งภายในใจของเรา ให้มีสติเกิดขึ้น ด้วยการทำสมาธิอยู่เสมอๆ ถ้าเราทำสมาธิ ทำความเพียรทุกๆ วัน โดยไม่ท้อถอย สมาธิคือความตั้งใจมั่นของจิต ย่อมจะเกิดขึ้น ไม่มากก็น้อย
ถ้าเราทำความเพียรยิ่งๆ ขึ้นไป สมาธิก็ยิ่งเกิดขึ้น สติก็ตั้งมั่นขึ้น เมื่อสติตั้งมั่นขึ้น สติก็เห็นจิต เห็นอาการของจิต หรือเห็นอารมณ์ซึ่งเกิดขึ้นภายในจิตใจของเราอยู่เสมอๆ
เมื่อเราเห็นอารมณ์ เห็นกิเลสภายในใจของเรา เราจึงจะมีอุบายปัญญาในการที่จะทำลายกิเลสภายในจิตใจของเราได้
พระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
การเจริญมรณานุสติมีอานิสงส์มาก ถ้าเราตระหนักชัดในความไม่แน่นอนของชีวิตนี้แล้ว ไม่มีทางที่เราจะไปทะเลาะกับใคร หรือจะไปอิจฉาใคร หรือเบียดเบียนใคร เพราะอะไร? เพราะเวลาไม่พอ วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเราหรือของเขา เราจึงควรใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ รักษาใจให้เป็นบุญ ชีวิตเรามีค่า เพราะมีเวลาจำกัด ยิ่งสำนึกในความไม่เที่ยงของชีวิต ก็ยิ่งสำนึกในค่าของมัน ผลคือความระมัดระวังในสิ่งที่เราทำ และถ้อยคำที่เราพูด เพื่อให้มันเหมาะสมกับชีวิตอันมีค่ายิ่ง
พระอาจารย์ชยสาโร
ถ้ามีพระมาบิณฑบาต ตักบาตรไปเถอะ ถ้ามีคนมาขอทาน ให้ทานไปเถอะ ให้มีความเมตตาเสมอเรื่อยมา ไม่ว่าวันพระวันเจ้า วันไหนเดือนไหน เรามีวัฒนธรรมเป็นคนใจบุญ ใจเป็นบุญเป็นกุศล ใจให้ดีให้งาม มันจะคดจะเคี้ยวจะเลี้ยวจะโกงขึ้นมาเมื่อใดก็ตาม ให้พยายามละสิ่งนั้น พยายามถอนสิ่งนั้น พยายามเลี่ยงสิ่งนั้น อย่างนี้เป็นต้น ตลอดไปเรื่อยๆ จนจิตใจของเรามันสบาย
สบายอะไร เพราะเกิดมาไม่เคยทำบาป ไม่เคยทำชั่ว ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีเหตุ อนาคตต่อไปก็ไม่มีอะไร เป็นคนที่สบาย มีความสุขกายสุขใจ มีความสุขอยู่ด้วยความไม่มีโทษ ใจไม่มีโทษ ไม่มีพิษ ไม่มีภัย ใจเราก็สบาย
หลวงปู่ชา สุภทฺโท
พระพุทธเจ้าว่า ให้เป็นผู้หมั่นขยันในทางที่ชอบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น หมั่นในหน้าที่ของตน เป็นความบริสุทธิ์ ผู้ขยันหมั่นเพียรนั่นแหละจะเป็นเจ้าของทรัพย์ เป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์ มิใช่ว่าจะรักษาศีลภาวนาแล้วเฮ็ดหยังบ่ได้ มันบ่แม่น นั่นมันความเห็นผิดไป พระพุทธเจ้าว่าให้ขยันหมั่นเพียร อะไรที่ชอบธรรมก็ทำได้ กลางคืนจนแจ้งก็ทำไป กลางวันก็ทำได้หมดตลอดวัน ทำไร่ ทำสวน ทำนา ให้ทำสุจริต ไม่เบียดเบียนใครเท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าให้หยุด ไม่ให้เบียดเบียนกัน ทำใจให้สะอาด วาจาให้สะอาด กายให้สะอาด อย่าให้สกปรก ทำใจให้สะอาด คือให้หมั่นภาวนา ให้เอาพุทโธนั่นแหละเป็นอารมณ์ของใจ ให้ตั้งสติทำไปๆ ใจมันจะสงบสะอาดและผุดผ่อง
หลวงปู่ขาว อนาลโย
#วิปัสสนาธรรม
รู้จากการเรียนกับรู้จากการปฏิบัติ จงตั้งใจภาวนารักษาจิต ในโลกนี้ไม่มีอะไรให้ความสุขเท่ากับ จิตของเราสงบ
จงพยายามพิจารณา ถอดถอนอัตตาออกไปจากใจให้หมด จะเป็นเกราะป้องกันสัญญาอารมณ์ได้ ให้ทำความเข้าใจกับสภาวธรรมอย่างชัดแจ้งว่า เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง สลายไป อย่าทุกข์โศกเพราะสภาวะนั้นเป็นเหตุ
การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าจิตได้รับความสุข เกิดปัญญาละกิเลสจะด้วยวิธีใด อุบายใด ได้ทั้งนั้นไม่ผิด
ตรงกันข้ามถ้าจิตฟุ้งปรุง มีทุกข์ อับปัญญา สะสมกิเลส ไม่ถูกแน่ เพราะธรรมเป็นสันทิฏฐิโก รู้เองเห็นเองตลอดมา
ความอดทน ความเพียร เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอน เป็นผู้มี ขันติ วิริยะ อันเป็นทางเดินของงานทุกประเภท
ศีล คือ ปกติจิตที่อยู่อย่างปราศจากโทษ เป็นจิตที่มีเกราะกำบังป้องกันการกระทำชั่วทุกอย่าง
สมาธิ คือ ผลสืบเนื่องมาจากการรักษาศีล จิตที่มีความมั่นคงมีความสงบ เป็นพลังที่จะส่งต่อไปอีก
ปัญญา ผู้รู้ คือจิตที่ว่าง เบาสบาย รู้แจ้งตามความเป็นจริง
วิมุติ คือ จิตที่เข้าถึงความว่าง จากความว่าง คือละความสบายเหลือแต่ความไม่มีไม่เป็น
เรื่องการฝึดหัดปฏิบัติภาวนาทั้งปวงนั้น เพื่อต้องการให้เห็นจิต ภาวนาไม่ใช่การได้ แต่เป็นการทิ้ง ทิ้งของไม่ดีออกจากจิตใจเรา
การภาวนา คือการอบรมใจให้พัก ไม่ให้ส่งออกไปภายนอก คือหัดทำความสงบ ตั้งสติควบคุมจิตให้อยู่กับพุทโธ หรืออานาปานสติ เราควบคุมจิตของเราได้อยู่เพียงแค่นี้ ก็เรียกว่า เราได้สิ่งพึ่งปรารถนาแล้ว
ใจเป็นบ่อเกิดของกิเลสทั้งหลาย เป็นบ่อเกิดของอารมณ์ทั้งปวง เป็นบ่อเกิดของความดีทั้งหมด ความดีและความชั่วเกิดที่ใจเหมือนกัน
ถ้าหากว่ามีสติควบคุมจิตคอยกลั่นกรองจิต กำจัดความชั่วออกไปเสีย บุญทั้งหลายก็เกิดจากใจเรา เหลือแต่ความดีไว้ในใจ
คนที่จะพ้นจากทุกข์พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นจากกรรมนี้ได้ ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดใจถือใจเป็นสำคัญจะมาเกิดก็เพราะใจ เกิดแล้วจะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ
ถ้าใจไม่เป็ทุกข์ ใจไม่ยึดถือปล่อยทิ้งเสีย ความสละปล่อยวางทั้งหมดนั่นแหละ ยังเหลือแต่ใจอันเดียว นั่นแหละ คือแก่นธรรมแล้ว คือตัวใจ
ทำบุญภายในด้วยกุศลจิต หาอุบายทำบุญ ด้วยบุญที่เกิดจากกุศลจิต เป็นการทำบุญภายใน ไม่ใช่การทำบุญภายนอกด้วยวัตถุสิ่งของ
แต่เราทำบุญโดยการสร้างกุศลจิต สร้างจิตที่ผ่องใสมีคุณงามความดี เป็นจิตไม่ตระหนี่เหนียวแน่น จิตไม่เกิดโทสะ มานะ ทิฏฐิ จิตไม่ประกอบด้วยกิเลส จึงเป็นบุญมหาศาลหาค่ามิได้
และเราก็เห็นบุญในตัวเราทุกอิริยาบถ หรือการที่เราละความชั่วได้ เราไม่เก็บเอาความชั่วมาไว้ในตัวเรา อันนั้นก็เป็นบุญกุศลเกิดขึ้นที่จิต เราเองก็รู้สึกชื่นชมยินดีในตัวเรา
ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องคำนึง ถึงชาติหน้าชาติหลัง หรือ นรก สวรรค์ อะไรทั้งนั้น ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงกับ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ
ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้วย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเอง โดยลำดับ หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนั้น ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ
การฟังจากคนอื่น การค้นคว้าจากตำรา ไม่อาจแก้ข้อสงสัยได้ ต้องเพียรปฏิบัติ ทำวิปัสสนาให้เห็นแจ้ง ความสงสัยก็หมดไปเองโดยสิ้นเชิง
เมื่อมีศรัทธาตั้งใจปฏิบัติถูกต้อง ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ โดยสมบูรณ์แล้ว ธรรมไม่ว่าหยาบ หรือละเอียด สูงหรือต่ำ จะปรากฏเห็นแจ้งขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่ต้องไปปรารถนาหรือไม่ปรารถนา .
#รวบรวมโอวาทธรรมคำสอน พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่บุญมา สุชีโว วัดสามัคคีสิริมงคล (วัดป่าสุขเกษม) อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
ผู้ที่ทำกรรมดีอยู่มากเสมอๆ จึงไม่ต้องกลัวกรรมชั่วในอดีต หากจะมีกุศลของตนก็จะชูช่วยให้มีความสุขความเจริญสืบไป และถ้าได้แผ่เมตตาจิตอยู่เนืองๆ ก็จะระงับคู่เวรอดีตได้อีกด้วย ระงับได้ตลอดถึงปัจจุบัน
พระโอวาท
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
จากหนังสือสวดมนต์ฉบับพิเศษฯ #วัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
พุทโธจึงถือว่า เป็นธรรมประจำตัวของบุคคล เมื่อไม่มีอะไร อยู่ว่าง ๆ ก็นึกพุทโธไป ไม่มีจำกัดว่า จะต้องเอาเวลานั้น เวลานี้ เรานึกพุทโธเมื่อไหร่ก็ใช้ได้
ถ้าเราไม่ได้นึกพุทโธ เราใช้เวลาว่าง ว่างเปล่า ๆ ทีนี้พอเวลามันว่างเปล่า ๆ แล้วทีนี้มันจะมีอารมณ์ อารมณ์ ทีนี้อารมณ์มัน บางทีอารมณ์เสีย บางทีก็อารมณ์ดี มันจะมี 2 อย่าง
เพราะว่าจิตของเรานี่มันว่างไม่ได้ พอมันว่างพั้บนี่อารมณ์มันต้องเกิดขึ้นแน่นอน
แต่ว่าแทนที่จะให้อารมณ์มันเกิดเราก็เอาพุทโธนี่เป็นอารมณ์ซะ เรียกว่าเอาประโยชน์ เอาประโยชน์ให้แก่ตัวเรา เขาเรียกว่า ทำบุญโดยไม่ต้องลงทุนอะไร เรามีร่างกายจิตใจก็ใช้ได้
ธรรมะรุ่งอรุณ "ธรรมะประจำตัว" เช้าวันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2558
".."บุญกับกุศล" ต่างกัน บุญ ต้องลงทุน ต้องมีสิ่งของ ปัจจัย ต้องเดินทางมา
กุศล ไม่ต้องลงทุนเลย ทำที่ใจ เช่น มีคนมาด่าเรา เราไม่ด่าตอบ ไม่โกรธตอบ แล้วยังอโหสิให้มันไปเลย อย่างนี้นี่นะเรียกว่า กุศล.."
โอวาทธรรม หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
"..เรื่องที่สำคัญอันหนึ่ง คือ เราจะต้องมาภาวนา มาพิจารณากันทุกๆ คน
ทุกคนก็จะพ้นทุกข์ได้ทั้งนั้น แหละ อย่างบ้านเรานี้เรียกว่า เป็นเจ้าของพุทธศาสนา แต่เราก็ทิ้งหลักธรรม พุทธศาสนาที่แท้จริงกัน ได้แต่ถือกันมาเรื่อยๆ
แต่เรื่องจะมาภาวนากันนั้น ไม่ค่อยจะมี.."
โอวาทธรรม หลวงพ่อชา สุภัทโท
#วิปัสสนาธรรม
รู้จากการเรียนกับรู้จากการปฏิบัติ จงตั้งใจภาวนารักษาจิต ในโลกนี้ไม่มีอะไรให้ความสุขเท่ากับ จิตของเราสงบ
จงพยายามพิจารณา ถอดถอนอัตตาออกไปจากใจให้หมด จะเป็นเกราะป้องกันสัญญาอารมณ์ได้ ให้ทำความเข้าใจกับสภาวธรรมอย่างชัดแจ้งว่า เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง สลายไป อย่าทุกข์โศกเพราะสภาวะนั้นเป็นเหตุ
การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าจิตได้รับความสุข เกิดปัญญาละกิเลสจะด้วยวิธีใด อุบายใด ได้ทั้งนั้นไม่ผิด
ตรงกันข้ามถ้าจิตฟุ้งปรุง มีทุกข์ อับปัญญา สะสมกิเลส ไม่ถูกแน่ เพราะธรรมเป็นสันทิฏฐิโก รู้เองเห็นเองตลอดมา
ความอดทน ความเพียร เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอน เป็นผู้มี ขันติ วิริยะ อันเป็นทางเดินของงานทุกประเภท
ศีล คือ ปกติจิตที่อยู่อย่างปราศจากโทษ เป็นจิตที่มีเกราะกำบังป้องกันการกระทำชั่วทุกอย่าง
สมาธิ คือ ผลสืบเนื่องมาจากการรักษาศีล จิตที่มีความมั่นคงมีความสงบ เป็นพลังที่จะส่งต่อไปอีก
ปัญญา ผู้รู้ คือจิตที่ว่าง เบาสบาย รู้แจ้งตามความเป็นจริง
วิมุติ คือ จิตที่เข้าถึงความว่าง จากความว่าง คือละความสบายเหลือแต่ความไม่มีไม่เป็น
เรื่องการฝึดหัดปฏิบัติภาวนาทั้งปวงนั้น เพื่อต้องการให้เห็นจิต ภาวนาไม่ใช่การได้ แต่เป็นการทิ้ง ทิ้งของไม่ดีออกจากจิตใจเรา
การภาวนา คือการอบรมใจให้พัก ไม่ให้ส่งออกไปภายนอก คือหัดทำความสงบ ตั้งสติควบคุมจิตให้อยู่กับพุทโธ หรืออานาปานสติ เราควบคุมจิตของเราได้อยู่เพียงแค่นี้ ก็เรียกว่า เราได้สิ่งพึ่งปรารถนาแล้ว
ใจเป็นบ่อเกิดของกิเลสทั้งหลาย เป็นบ่อเกิดของอารมณ์ทั้งปวง เป็นบ่อเกิดของความดีทั้งหมด ความดีและความชั่วเกิดที่ใจเหมือนกัน
ถ้าหากว่ามีสติควบคุมจิตคอยกลั่นกรองจิต กำจัดความชั่วออกไปเสีย บุญทั้งหลายก็เกิดจากใจเรา เหลือแต่ความดีไว้ในใจ
คนที่จะพ้นจากทุกข์พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นจากกรรมนี้ได้ ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดใจถือใจเป็นสำคัญจะมาเกิดก็เพราะใจ เกิดแล้วจะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ
ถ้าใจไม่เป็ทุกข์ ใจไม่ยึดถือปล่อยทิ้งเสีย ความสละปล่อยวางทั้งหมดนั่นแหละ ยังเหลือแต่ใจอันเดียว นั่นแหละ คือแก่นธรรมแล้ว คือตัวใจ
ทำบุญภายในด้วยกุศลจิต หาอุบายทำบุญ ด้วยบุญที่เกิดจากกุศลจิต เป็นการทำบุญภายใน ไม่ใช่การทำบุญภายนอกด้วยวัตถุสิ่งของ
แต่เราทำบุญโดยการสร้างกุศลจิต สร้างจิตที่ผ่องใสมีคุณงามความดี เป็นจิตไม่ตระหนี่เหนียวแน่น จิตไม่เกิดโทสะ มานะ ทิฏฐิ จิตไม่ประกอบด้วยกิเลส จึงเป็นบุญมหาศาลหาค่ามิได้
และเราก็เห็นบุญในตัวเราทุกอิริยาบถ หรือการที่เราละความชั่วได้ เราไม่เก็บเอาความชั่วมาไว้ในตัวเรา อันนั้นก็เป็นบุญกุศลเกิดขึ้นที่จิต เราเองก็รู้สึกชื่นชมยินดีในตัวเรา
ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องคำนึง ถึงชาติหน้าชาติหลัง หรือ นรก สวรรค์ อะไรทั้งนั้น ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงกับ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ
ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้วย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเอง โดยลำดับ หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนั้น ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ
การฟังจากคนอื่น การค้นคว้าจากตำรา ไม่อาจแก้ข้อสงสัยได้ ต้องเพียรปฏิบัติ ทำวิปัสสนาให้เห็นแจ้ง ความสงสัยก็หมดไปเองโดยสิ้นเชิง
เมื่อมีศรัทธาตั้งใจปฏิบัติถูกต้อง ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ โดยสมบูรณ์แล้ว ธรรมไม่ว่าหยาบ หรือละเอียด สูงหรือต่ำ จะปรากฏเห็นแจ้งขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่ต้องไปปรารถนาหรือไม่ปรารถนา .
#รวบรวมโอวาทธรรมคำสอน พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่บุญมา สุชีโว วัดสามัคคีสิริมงคล (วัดป่าสุขเกษม) อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
"แก่ชรา มานานเท่าไร พึงภาวนาให้คุ้นเคยกับความตาย เพราะจะต้องตายอยู่แล้ว เตรียมตัวไว้ก่อนตาย รอรถ รอเรือ ที่จะต้องขึ้นไปสวรรค์ พระนิพพาน
หูยิ่งหนวกหนักเข้าทุกวัน ตายิ่งไม่เห็น ทนตีนเท้าอ่อนเพลีย หันไปหาความตายเสมอไป
ถือภาวนาในไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา มีเกิดแล้วย่อมมีตาย เพราะโลกไม่เที่ยงอยู่แล้ว แปรปรวนไปต่างๆ สังขารเราบอกเช่นนั้น เที่ยงแต่พระนิพพานอย่างเดียว"
หลวงปู่หลุย จันทสาโร
"เราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ อย่าได้เข้าใจว่า เราจะสุขสบายมีอายุยืนยาว แต่แท้ที่จริงแล้ว เราทุกคนอาจตายได้ทุกเวลา แล้วจะมาคิดเอาเองว่าเรายังไม่ใกล้ตาย จึงเป็นการคิดที่ประมาทอยู่
เราทุกคนยืนอยู่ ก็ยืนรอวันตาย เราทุกคนเดินอยู่ ก็เดินรอวันตาย เราทุกคนนอนอยู่ ก็นอนรอวันตาย ผลที่สุดเราทุกคน ก็ต้องตายแน่นอน
นี่แหละ เราทุกคนอย่าได้เป็นผู้ประมาทอีกต่อไป จงเตือนตนให้รีบเร่งปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา"
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
"การกราบ ช่วยแก้ความถือตัวของเรา ได้เป็นอย่างดี เราควรกราบบ่อยๆ
เมื่อท่านกราบสามหน ท่านควรตั้งจิต ระลึกพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ นั่นคือคุณลักษณะแห่งจิต อันสะอาด สว่าง และสงบ
ดังนั้น เราจึงอาศัยรูปแบบนี้ฝึกฝนตน กายแลจิตจะประสานกลมกลืนกัน อย่าได้หลงผิดไปจับตาดูว่า ผู้อื่นกราบอย่างไร ถ้าสามเณรน้อยดูไม่ใส่ใจ และพระผู้เฒ่าดูขาดสติ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่าน จะตัดสิน
บางคนอาจจะสอนยาก บางคนเรียนได้เร็ว บางคนเรียนได้ช้า การพิจารณาตัดสินผู้อื่น มีแต่จะเพิ่มความหยิ่งทะนงตน จงเฝ้าดูตัวเอง กราบบ่อยๆ ขจัดความหยิ่งทะนงตนออกไป"
หลวงปู่ชา สุภทฺโท
|