เราต้องเป็นผู้มีหิริโอตัปปะ
พระพุทธเจ้าว่าสิ่งอันประเสริฐ ก็ได้แก่คน บาปและบุญก็เรียกเราต้องเป็นผู้มีหิริโอตัปปะ หิริ ความอายต่อความชั่ว โอตัปปะ ความสะดุ้งต่อผลของมันความชั่วมันจะให้ผลเราในคราวหลัง เมื่อเราเป็นมนุษย์ เราไม่ควรนอนใจ อย่าให้กาลกินเรา ให้เรากินกาล ให้เร่งทำคุณงามความดีเวลาล่วงไป ชีวิตของเราก็ล่วงไป ล่วงไปหาความตายมนุษย์เป็นสัตว์อันสูงสุด อันนี้เป็นเพราะเราได้สมบัติอันดีมา ปุพเพจะกตะปุญญตาบุญกุศลคุณงามความดีเราได้สร้างมาหลายภพหลายชาติแล้ว เราอย่าไปเข้าใจว่าเราเกิดมาชาตินี้ชาติเดียวนี้ ตั้งแต่เราเทียวตายเทียวเกิดมานี่ นับกัปป์นับกัลป์อนันตชาติไม่ได้แล้วจะว่าเหมือนกันได้อย่างไรล่ะ เมื่อเรามาเกิดก็มีแต่วิญญาณเท่านั้น พอมาปฏิสนธิ ก็เอาเลือกเอาเนื้อพ่อแม่มาแบ่งให้ได้อัตตภาพออกมาแม้กระนั้นก็ไม่มีสัตว์มาเกิด ต้องอาศัยจุติวิญญาณเราต้องสร้างเอาคุณงามความดี
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำพู จ.อุดรธานี
บทเรียนราคาแพง . โยม : หลวงปู่ครับ ทำไมผมยิ่งทำบุญ ยิ่งปฏิบัติธรรม ยิ่งทำสมาธิก็เหมือน ยิ่งทุกข์เหลือเกินครับ ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเงิน ไม่รู้อะไรประดังประเดเข้ามาตลอดครับผมหลวงปู่ . หลวงปู่ : เวลาคุณทำบุญ เวลาคุณปฏิบัติ มันกระทบกับเงินทองหรือเวลาปกติของคุณหรือเปล่า . โยม : เปล่าครับผม เวลาผมทำบุญผมก็ไม่ได้ลำบาก เงินทองก็เป็นส่วนเหลือจากการเก็บการดูแลครอบครัวแล้ว . การปฏิบัติของผมก็กระทำโดยไม่กระทบกระเทือนใคร พ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมียก็อนุโมทนา แต่มันก็มีปัญหาเรื่องอื่นๆเข้ามาไม่ขาด . หลวงปู่ : คุณ เวลาคุณปฏิบัติคุณก็ต้องการพระนิพพานใช่หรือเปล่า . นิพพานก็ต้องหนีโลก ต้องเบื่อโลก ถ้ามันไม่มีปัญหาเข้ามาคุณจะหนีโลกได้อย่างไร . ถ้าคุณยังหวังสุขในโลกนี้ นิพพานของคุณก็เป็นนิพพานหลอกตัวเองหล่ะสิ . #โลกเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดปัญหาที่เข้ามาคือบทเรียนมารทั้งหลายคือครูของเรา . เมื่อคุณปฏิบัติสูงๆขึ้นไป ปัญหามันก็จะสูงขึ้นไปด้วย ปัญญาคุณแค่อนุบาลปัญหามันก็อนุบาล บทเรียนก็อนุบาล ครูก็ครูสอนอนุบาล . แต่เมื่อคุณเรียนปริญญา ปัญญาระดับปริญญา ปัญหามันก็ต้องปริญญา บทเรียนก็บทเรียนปริญญา ครูก็ครูสอนปริญญา . คุณเรียนปริญญาจะเอาข้อสอบเด็กน้อยอนุบาลมาสอบคุณมันจะสมกับภูมิปัญญาคุณหรือปฏิบัติเพื่อแสวงหาปัญญา เมื่อปัญญาเราสูงขึ้น ปัญหามันก็สูงขึ้น บทเรียนมันก็ยากขึ้น มารมันก็เก่งขึ้น . คุณสอบตกจะหาว่าครูออกข้อสอบยากหรือ หรือจะโทษว่าตนเองเตรียมตัวสอบไม่ดี . คุณเอ้ยโลกมันสอนเรา บางทีก็สนุกสำราญ บางทีก็เศร้าโศก บางทีก็ทารุณโหดร้าย คุณต้องได้เรียนทุกบท . คุณจะบอกว่าไม่ชอบวิชานี้ไม่เรียนมันไม่ได้ เราชอบสุขเราเกลียดทุกข์ . แต่เราก็ต้องเรียนทั้งสองอย่าง เมื่อคุณผ่านการสอบหนึ่งครั้ง คุณก็จะพัฒนาไปอีกขั้นบทเรียนบางบทมันอาจจะแพงไปสักหน่อยต้องแลกมาด้วยเงินทอง อวัยวะหรือแม้แต่ชีวิต . แต่คุณอย่าลืมนะวิชาดีราคามันต้องแพง โลกสอนให้คุณรู้จักโลกในทุกรูปแบบทุกรสชาติ . คุณจะได้เบื่อโลกหน่ายโลกอย่างแท้จริง นิพพานของคุณก็จะเป็นนิพพานจริงๆ . อย่าพึ่งลาออกจากโรงเรียนกลางคันก็แล้วกัน คุณเชื่อเถอะว่าถนนเส้นนี้ผู้ปฏิบัติล้วนผ่านมาแล้วทุกคน . ท่านเหล่านั้นก็เคยทุกข์อย่างคุณ ท่านยังผ่านไปได้ ให้เชื่อมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนและพระอริยะสงฆ์ ที่ท่านผ่านไปก่อน ให้เชื่อว่าท่านเหล่านั้นไม่หลอกเราแน่ เข้าใจนะ . โอวาทธรรม : พระญาณวิสาลเถร (หา สุภโร) หรือ หลวงปู่ไดโนเสาร์
อารมณ์ร้าย คือ ความกลัว ความกังวลกลุ้มใจ ความร้อนใจ ความห่วงใจ ความเกลียด ความโกรธ ความหึงหวง ความริษยา ใจคอเหี่ยวแห้ง ความโศก ความตื่นเต้น ความเสียใจ โทมนัส ความบ่นเพ้อรำพันด้วยเสียใจ โหยหวน โศกเศร้า คร่ำครวญถึง มืดมน ความเสียใจ ตรอมใจ
เมื่ออารมณ์ร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นในใจ จงหายใจเข้าให้ลึก ๆ สร้างมโนภาพสูดเอากำลังงานของชีวิตที่อยู่ในสากลโลก (The universal supply of life energy) อำนาจ ความเข้มแข็งและกำลังเข้าไป
เมื่อหายใจออกจงนึกขับอารมณ์ร้ายเหล่านี้ออกมา และเพ่งกล่าวในใจว่า "ออกไป ออกไป ออกไป" พร้อมกับทำความรู้สึกว่า อารมณ์ร้ายเหล่านี้ออกไปจากใจแล้ว ปฏิบัติอย่างนี้จนกว่าอารมณ์นั้นจะจางหายไป ถ้าไม่หายอย่าเพิ่งเลิก หรืออีกอย่างหนึ่ง เพ่งดูอารมณ์ร้าย เหล่านั้นที่เกิดขึ้น แยกใจออก เหมือนกับดวงจันทร์แยกออกจากเมฆ
อารมณ์ร้ายเหล่านี้เป็นเมฆหมอกจะมาบังใจ ตามปกติไม่ได้อยู่ที่ใจ มันจรมาเป็นครั้งคราว เหมือนมารมาผจญหรือลองใจว่า เราจะเข้มแข็งหรือไม่ ถ้าเรามีกำลังต่อต้านพอ ค่อย ๆ จางไปทีละน้อย ๆ จนมันหลบหน้าหายไป
ในทางตรงกันข้าม ถ้ากำลังใจต่อต้านไม่พอ มันก็กำเริบได้ใจ ผจญเราล่มจมป่นปี้ไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลามันเกิดขึ้น ให้มีสติระลึกว่า เวลานี้เจ้าอารมณ์ร้ายเหล่านั้นเกิดขึ้นแก่เราแล้ว วางใจเฉยเพ่งดู ต่อต้าน อย่างสงบ นึกในใจว่า "ปล่อยมันไป อย่ายึดมันไว้ สักประเดี๋ยวมันก็ค่อย ๆ จางหายไป"
อารมณ์ร้ายเหล่านี้อ่อนแอ เหมือนเมฆในท้องฟ้า สู้กำลังที่เข้มแข็งไม่ได้เว้นไว้แต่เราจะชอบมัน แล้วเลี้ยงมันไว้เป็นมิตรสหายสนิทกับใจ มันก็จะทำลายใจเราทีละน้อย ๆ เหมือนสนิมกัดเหล็กให้กร่อนไปทีละน้อย เพราะฉะนั้นอย่าประมาท จงระวังให้มากอย่างที่สุด จงอย่าสมาคมกับอารมณ์เหล่านี้เป็นอันขาด
ในทางตรงกันข้าม ถ้าอารมณ์ดีมีประโยชน์ ที่ให้เกิดความกล้าหาญบากบั่น วิริยะ อุตสาหะ เข้มแข็ง อดทนก้าวหน้า เหล่านี้ควรรักษาไว้ และบำรุงให้เจริญ วัฒนาถาวรยิ่ง ๆ ขึ้น เหมือนกับดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆหมอกฉะนั้น
ธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์)
#เมื่ออินทรีย์ยังไม่พร้อมก็ทำสมาธิสะสมไปเรื่อยๆจนมันแก่กล้า
เมื่ออินทรีย์ยังไม่พร้อมก็ทำสมาธิสะสมไปเรื่อยๆจนมันแก่กล้าควรแก่การงาน จึงต้องฝึกระงับจิตเป็นตัวเหตุฟุ้งซ่านให้ได้
... พระพุทธเจ้าสอนลงถูกตรงจุดนี้เลย ให้ระงับจิตที่เป็นตัวเหตุ ด้วยการอบรมภาวนา คือมันจะคิดมันจะปรุงตลอดเวลา พุ่งๆ อยู่งั้น ยิ่งมีเรื่องราวอะไรมามากแล้วมันยิ่งแสดงเปลวเหมือนไฟได้เชื้อนะ เพราะฉะนั้นจึงให้มีการอบรมภาวนา ระงับเครื่องคือความคิดปรุงของเรา เรียกว่ามันติดเครื่องคิดตลอดเวลา
เราระงับนั้น เราเอาคำบริกรรม บทธรรมะนี้เป็นน้ำดับไฟ เป็นความคิดความปรุงอันหนึ่ง แต่ความคิดอันนี้เป็นความคิดในทางด้านธรรมะซึ่งเป็นเหมือนน้ำดับไฟ สามารถระงับความคิดของกิเลสได้ เวลาเราคิดทางด้านอรรถธรรม เช่นภาวนาพุทโธ ๆ บังคับจิตไม่ให้มันออกคิดไปตามกิเลส แล้วทางนี้หนักขึ้น ๆ สติตั้งจ่อ ต่อไปจิตได้รับการอารักขาจากคำภาวนาของเราแล้ว อารมณ์อะไรที่มันผลักดันขึ้นมาในใจนี้ อำนาจแห่งธรรมหรือคำบริกรรมนี้จะทับมันไว้ ๆ เวลาทับนานเข้า ๆ ทางนี้ก็สงบเย็น ๆ กิเลสไม่ปรุงขึ้นมา ตัวนั้นไม่ปรุง ธรรมะตีหัวมันไว้ ทับหัวมันไว้ ทางนี้ก็ค่อยสงบเย็น ๆ ขึ้นมา
นี่ละวิธีระงับดับความฟุ้งซ่านของจิตใจเรา เราจะไปหาสิ่งใดมาระงับ ในโลกนี้ไม่มี บอกตรง ๆ เลยว่าไม่มีอะไรระงับดับได้นอกจากธรรม เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนา อันนี้ระงับดับลงได้ จนกระทั่งถึงขั้นดับได้โดยสิ้นเชิง จากจิตตภาวนา พุทธศาสนาของเราจึงเลิศเลอที่ตรงนี้นะ ไม่มีศาสนาใดเท่าที่ทราบมาว่าสอนลงในจุดที่เกิดเหตุทั้งหลาย ได้แก่มหาเหตุ คือกิเลสเกิดขึ้นจากใจ ปรุงนั้นปรุงนี้ตลอดเวลา ธรรมะพระพุทธเจ้าระงับดับลงนี้ด้วยจิตตภาวนา ด้วยสติธรรมปัญญาธรรมสอดส่องดู
มันคิดเรื่องอะไรต่ออะไรไม่ดีให้ระงับ พอมันคิดเรื่องนั้นไม่ดีอย่าคิดซ้ำ นั่น คิดเรื่องไหนไม่ดี เช่นสมมุติว่าคิดโกรธ คิดเคียดแค้นให้ผู้ใดแล้วมันจะโกรธโมโหโทโสขึ้นทันที มันไม่ได้ว่าอันนี้เป็นเศษเป็นเดนไปแล้วนะ มันจะปรุงขึ้นมาใหม่ อุ่นขึ้นมาใหม่ เผาเจ้าของได้อย่างสด ๆ ร้อน ๆ
เพราะฉะนั้น ท่านจึงห้าม มันคิดเรื่องไม่ดีอะไรของบุคคลหรือสัตว์ตัวใดก็ตาม ให้รีบระงับปัดออก เอาความคิดทางดีเข้ามาแทนที่ อันนั้นจะระงับไป ถ้าสืบสาวไปตามมันแล้วมันจะไปใหญ่เลย มันปรุงขึ้นอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีอดีต ไม่มีของเก่าของแก่นะ ถ้าเป็นความคิดขึ้นมาจากใจของกิเลสบันดาลให้เกิดขึ้นมา หรือผลักดันให้เกิดขึ้นมาแล้วจะสด ๆ ร้อน ๆ ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงควรให้มีจิตตภาวนาบังคับใจเรา เรื่องกระแสของกิเลสภายในใจนี้รุนแรงมากนะ ยิ่งผู้ไม่เคยภาวนาเลยนี้ พอเอาคำบริกรรมจ่อเข้าไปมันจะปัดตกห้าทวีปนะ มันรุนแรงมากขนาดนั้นพลังของกิเลส พอเราเอาพุทโธนี่จะระงับมันนะ มันจะปัดทันทีแล้วมันจะพุ่ง ๆ ของมันไปเรื่อย ๆ
นี่เบื้องต้นแรงมากนะ เอาจนตั้งสติไม่อยู่ พอตั้งปั๊บล้มผล็อย ๆ ล้มผล็อยก็พุ่งออกทางกิเลสนะ เมื่อทางธรรมะคือคำบริกรรมหรือสติธรรมตั้งพับนี้ล้มทันทีๆ นี่เวลากระแสของกิเลสมันรุนแรงอยู่ที่ใจเรา มันเกิดที่ใจ กิเลสอย่าไปหาต้นไม้ภูเขาที่ไหนไม่มี ให้ดูที่ใจ แล้วระงับกันที่ใจด้วยธรรม ธรรมก็มีที่ใจเช่นเดียวกัน เมื่อระงับอันนี้แล้วจิตของเราจะค่อยสงบ ๆ เอาให้ได้นะ เวลาเด็ดต้องเด็ด กิเลสมันเด็ดเราต้องเด็ด แล้วเห็นเหตุเห็นผลกัน คราวหลังเราก็ได้เป็นสักขีพยาน เอ้ามันจะรุนแรงขนาดไหน ช้างนี่เหนือขอไปไม่ได้ ว่างั้นเถอะน่ะ ต้องยอมจำนนต่อขอ กิเลสมันจะหนาแน่นขนาดไหน จะเหนือธรรมไปไม่ได้ มันจะยอมจำนนต่อธรรมจนได้ สุดท้ายก็สงบได้
นี่ละการระงับดับความฟุ้งซ่านวุ่นวาย ซึ่งเป็นตัวก่อทุกข์ให้เราเอง ให้ระงับที่ใจด้วยจิตตภาวนา แล้วให้ระมัดระวัง ถ้ามันคิดเรื่องอะไรไม่ดีอย่าเสริมมัน ให้หักทันที คิดนั้นไม่ดี คิดเรื่องนี้ไม่ดีให้ระงับทันที ดับทันที อย่าไปสืบต่อแล้วมันจะลุกลามไปใหญ่นะ ให้เอาธรรมเข้าแทนเป็นน้ำดับไฟๆ
นี่เรื่องของการระงับดับความวุ่นวายความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดมาในหัวใจของสัตว์โลก เฉพาะอย่างยิ่งหัวใจเราแต่ละคน ๆ ให้เอาธรรมนี้ไประงับ มีสติ ต้องฝืนนะ เวลาระงับนั้นมันฝืนกันอย่างเต็มที่ เพราะกิเลสมีกำลังมากกว่าจะเอาธรรมให้ตก ๆ เรื่อย ๆ นะ แต่ธรรมก็สู้ไม่ถอย สุดท้ายตั้งได้ ต่อไปธรรมตั้งได้แล้วเอากิเลสล้มได้ ล้มได้จนกระทั่งกิเลสหมดไป ๆ สุดท้ายกิเลสพังหมด
ตั้งแต่กิเลสพังแล้วไม่มีอะไรผลักดันจิตใจให้คิดเรื่องนั้นปรุงเรื่องนี้ ก่อเรื่องก่อราวอีกเลย เช่นพระอรหันต์ท่านไม่มี เรื่องราวทั้งหลายที่จะมาผลักดันภายในจิตให้คิดให้ปรุงเหมือนตั้งแต่ก่อนเรียกว่าไม่มี เพราะสิ่งผลักดันได้แก่กิเลสมันแสดงอารมณ์ขึ้นมา อยากนั้นอยากนี้ขึ้นมา ผลักดันขึ้นมา นี่เรียกว่ากิเลส ทีนี้พอธรรมระงับดับ หรือถอนมันออกหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว ความผลักดันอย่างนี้ไม่มีในจิตพระอรหันต์ สรุปความลงแล้วว่ากองทุกข์ในโลกนี้ที่มารวมอยู่ที่หัวใจ ไม่มีอะไรก่อขึ้นนอกจากกิเลสโดยถ่ายเดียวเท่านั้น พอกิเลสเบาลงเท่าไรทุกข์จะเบาลง ๆ ความสุขจะเริ่มโผล่ตัวขึ้นมาๆ
ถ้ามีการฝ่าการฝืนกันบ้างแล้วความสงบของใจจะมี จากนั้นจะมีที่พักผ่อนหย่อนจิตใจสบาย ๆ ได้ด้วยการภาวนา พากันเข้าใจเอานะ . โอวาทธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
...การทำความดีเพื่อให้คนรัก ที่สำคัญมี 2ทาง คือ ทำความดีภานอก 1 ทำความดีภายใน 1 ...การทำความดีภายนอกได้แก่ การทำบุญให้ทานรักษาศีล ตั้งใจสู้งานเพื่อครอบครัว ขยันทำงาน เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ฯลฯ ...การทำความดีภายในได้แก่ การเจริญสติบารมี การเจริญปัญญาบารมี ให้เด็ดขาดเกรียงไกร เพื่อก้าวขึ้นสู่บารมีธรรม ที่สูง ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ...นี้คือคุณงามความดีที่ลูกหลานควรทำ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุข แก่ตนเองและครอบครัว และพ่อแม่พี่น้อง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต.
โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่ไม อินทสิริ
“ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเรา ท่องไว้เลยว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่มีสิ่งใดหรอกที่มาแล้วไม่ผ่านไป ไม่ว่าความสุข หรือความทุกข์”
พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
“เครื่องประดับใดๆ ในโลก ก็สู้ธรรมะไม่ได้ ถ้ามีธรรมะประดับใจตนแล้ว ย่อมเป็นผู้เจริญรุ่งเรือง แน่นอน”
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
|