นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 5:46 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การภาวนาคือยา
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 31 พ.ค. 2021 6:45 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4805
ด้วยแรงอธิษฐาน

คนเรา ในยามที่รักกันมาก
ก็มักพากันไปทำบุญ
อธิษฐานขอให้ได้อยู่ร่วมคู่กัน
ไปทุกภพ ทุกชาติ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว
เป็นการอธิษฐานที่มิได้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ

เป็นการไม่ยอมรับความจริง
ของความไม่เที่ยง และไม่เป็นไป
เพื่อการจางคลาย จากความยึดมั่นถือมั่น

สมัยก่อน ข้าพเจ้าเคยสงสัย
หญิงสาวข้างบ้านคนหนึ่งว่า
ทำไมจึงต้องทนให้สามีขี้เหล้า
ทำร้ายร่างกายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทั้งๆ ที่สาวเจ้าคนนี้ก็เป็นคนหารายได้
อยู่เพียงคนเดียว
แต่พอได้มาศึกษาธรรมะ
จึงทำให้พอสันนิษฐานได้ว่า
เหตุปัจจัยส่วนหนึ่งคงมาจากการอธิษฐาน
ขอให้ได้มาอยู่ร่วมชีวิตกัน ก็เป็นได้

ในเรื่องการอธิษฐาน
ทำนองนี้หลวงปู่ดู่ท่านสั่งห้าม
ท่านว่ากาลเวลาผ่านไป แต่ละคน
ก็มีการสั่งสม หรือพัฒนาการต่างๆ กันไป
เรียกว่า ธรรมไม่เสมอกัน

มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง มาทำบุญกับหลวงปู่
เมื่อทำบุญเสร็จแล้ว
ก็พากันตั้งจิตอธิษฐานอะไรอยู่ในใจ
ขณะนั้น หลวงปู่ก็ทักขึ้นว่า
สามีภรรยา ไม่ต้องอธิษฐานตามกัน
เพราะจะดึงกัน อีกคนไปได้
อีกคนไปไม่ได้ มันจะดึงกัน

เรื่องนี้ จึงสอนให้ระมัดระวัง
ไม่ให้ไปเที่ยวอธิษฐาน
ตามคนรัก หรือใครๆ เพราะวิบากกรรม
อันเกิดจากการอธิษฐาน
ที่ไม่กอปรด้วยสัมมาทิฏฐิ
ก็อาจกลับกลายเป็นอุปสรรค
ต่อการปฏิบัติธรรม ในวันข้างหน้าได้

นี่แหละหนาที่ว่า ความรักทำให้คนตาบอด
และแทนที่จะเป็นบุพเพสันนิวาส
ก็อาจกลับกลาย เป็นบุพเพอาละวาด

บันทึกคำสอนของ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
จากหนังสือตามรอยธรรมย้ำรอยครู หน้า 294








ถ้าไม่เข้าทางถอยเลย
.
เขาจะว่าดีเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ถ้าออกจากธรรมคำสอนมันไม่ใช่หรอก ใครจะโปรโมทดีแค่ไหนก็แล้วแต่ อย่าไปเชื่อนะ อย่าไปเชื่อง่าย ไปดูเสียก่อน มันเข้าทางมั้ย ถ้าไม่เข้าทางถอยเลย ถ้าเข้าทางค่อยเข้าไป ค่อยยกเป็นแบบอย่างเยี่ยงอย่างให้แก่เรา ความดีจึงค่อยเกิดขึ้นแก่เรา อานิสงส์เกิดขึ้นแก่เรา
ให้พากันคิด อย่าสะเปะสะปะไปทั่ว วัดวาอาราม บางที่รกรุงรัง กุฏิวิหารมะเละเกะกะไม่รู้อะไรไม่รู้จักเก็บจักจัด นี่เรียกว่าใช้ไม่ได้ เรียกว่าไม่มีธรรมไม่มีวินัย ปล่อยเลอะเทอะไปหมด แต่เวลาเทศน์นี้ โอ๊ย เทศน์ถึงพระนิพพาน นั่นแหละ ให้เรารู้จักอันไหนธรรม ถ้าไม่รู้จักก็ให้ศึกษากับครูบาอาจารย์เสียก่อน
.
.
โอวาทตอนหนึ่ง ของหลวงพ่อสมบูรณ์
7/12/2563









...ที่บ้านอำเภอ ที่ไปบิณฑบาตนี้
จะมีพ่อแม่สอนให้ลูกใส่บาตร
ให้ลูกทำหน้าที่ใส่บาตร
พ่อแม่เตรียมอาหารไว้ ก่อนจะไปโรงเรียน
ก็ให้ใส่บาตรก่อนทุกวัน

.
ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็จะติดไปในใจ
พอโตขึ้นมันก็จะทำต่อเอง
พ่อแม่ตายไปแล้ว
แต่การที่ได้รับปลูกฝังนิสัยใหม่
และเห็นคุณประโยชน์ที่เกิดจากการทำบุญ
เกิดความสุขใจเวลาทำบุญ
เกิดความสุขใจที่เห็นพระสงฆ์องค์เจ้า
ได้มีอาหารรับประทาน
“ก็จะทำให้มีความอยากที่จะทำบุญต่อไป”

.
อันนี้ถือว่าเป็นโชค
ถ้าได้ไปเกิดในครอบครัวที่มีความศรัทธา
มั่นคงต่อพระพุทธศาสนา
โอกาสที่จะไปเกิดในอบาย
เวียนว่ายตายเกิดนี้ ก็จะน้อยลงไป
หรือปิดได้ ถ้าทำบุญมากกว่าทำบาป
พอตายไปแทนที่จะไปเกิดในอบาย
ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์แทน ไปเป็นเทวดา.
................................
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 29/5/2562
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








ทุกอย่าง..กะมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มีมืด มีแจ้ง มีขาว มีดำ มีดี มีชั่วเนาะ มันเป็นของคู่กัน

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต








“จะให้ทานก็กลัวหมด จะรักษาศีลก็กลัวอด จะภาวนาก็กลัวตาย ก็เลยไม่ต้องทำอะไรพอดีในชาตินี้”

หลวงปู่กวง โกสโล
วัดป่านาบุญ ต.แม่แตง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่








จงพึ่งตัวเอง

จงเป็นแสงสว่างของตัวเอง

จงเป็นผู้นำตัวเอง

จงรับผิดชอบตัวเอง

จงพิจารณาตัวเอง

จงมีตนเป็นที่พึ่ง

เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในสมรรถภาพของตนเอง

ก้าวไปข้างหน้าด้วยความกล้าหาญ เข้มแข็ง เด็ดขาด มั่นคงไม่ท้อถอย

มุ่งไปข้างหน้าด้วยความหวังสู่จุดหมายที่ตนปรารถนาอันสูงสุด แล้วก็จะบรรลุถึงความสำเร็จที่ประสงค์และมุ่งหมายทุกประการ

จงพึ่งตัวของตัวเอง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ - ตนเป็นที่พึ่งของตน โก หิ นา โถ ปโร สิยา - - ใครอื่นเล่าจะเป็นที่พึ่งของตนได้ นี้เป็นคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงอันยั่งยืน

ก่อนที่จะอ้อนวอนขอให้ผู้อื่นช่วย ต้องพึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวมาก่อนแล้ว ที่พึ่งภายในตนเองสำคัญมากกว่าที่พึ่งภายนอก ซึ่งมาจากคนอื่น ถึงคนอื่นจะช่วยได้ ก็ช่วยได้เฉพาะ เพราะตนเองช่วยตนเองก่อน พระพุทธเจ้าก็เป็นแต่ผู้ชี้ทางแนะนำสั่งสอนให้เท่านั้น

จงพึ่งตัวเอง จงเป็นแสงสว่างนำตัวเอง อย่าหวังพึ่งสิ่งภายนอกทุกคนต้องต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคแห่งวิถีชีวิตของตนด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าก็ดี ครูบาอาจารย์ บิดามารดา ญาติ มิตรสหาย ผู้มีไมตรีจิตสนิทสนมรักใคร่ ก็เพียงแต่เป็นผู้เอาใจช่วย เป็นกำลังใจ เป็นเครื่องกระตุ้นบำรุงขวัญเท่านั้น

ธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ
พระยานรรัตนราชมานิต
(ตรึก จินตยานนท์)








ค น ที่ ..
จิตยังไม่สูงเต็มที่
เมื่อใครเขาด่าว่าอะไร
ก็ มั ก เ ก็ บ ไ ป คิ ด
.
คนเราโดยมาก
สำคัญตนว่า ..เป็นคนฉลาด
แต่กลับชอบกลืนกิน
อ า ร ม ณ์ ที่ ชั่ ว !!!
.
นี่เป็นลักษณะของคนโง่
เพราะ .. ความดีอยู่กับตนแท้ ๆ
แต่ .. ไพล่ไปเก็บเอาความชั่ว
ที่คนอื่นเขามาใส่ตน
..
ท่านพ่อลี ธัมมธโร









#หลวงปู่พวงสุวีโร
ยืนยัน อานิสงส์การทำบุญกับ พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์ สามารถเปลี่ยนภพภูมิญาติพี่น้อง พ่อแม่ที่เสียไปแล้วได้

เนื้อนาบุญอันประเสริฐ การทำบุญกับพ่อแม่ครูอาจารย์ ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก มีผลานิสงส์มาก สามารถเปลี่ยนภพภูมิญาติพ่อแม่พี่น้องเราได้

ดังเช่นเรื่องที่จะเล่าดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องของหลวงปู่พวง สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัฒนา อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ลูกศิษย์รูปหนึ่งของหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมืองจ.หนองบัวลำภู

ท่านเล่าว่า ท่านเองได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย

วันหนึ่งนั่งสมาธิเห็นโยมแม่ที่ตายแล้ว ได้เป็นอยู่อย่างอัตคัด ไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย

จึงอธิษฐานกับพระประธานว่า “ช่วงเช้าไปบิณฑบาต ขอให้มีคนมาถวายผ้า” ครั้นไปบิณฑบาตก็มีคนมาถวายผ้าขาวจริงๆ

ท่านจึงนำผ้าขาวไปย้อมด้วยหินสีแดง แล้วนำไปซักตาก พอแห้งก็นำมาย้อมแล้วซักตากอีกรอบ

จากนั้นก็นำไปพับถวายหลวงปู่ขาว กราบเรียนท่านว่า “ขอโอกาสพ่อแม่ครูจารย์ บังสกุลแหน่ อุทิศให้แม่” หลวงปู่ขาว จึงชักผ้าบังสุกุลให้

คืนนั้นหลวงปู่พวง นั่งภาวนาเห็นโยมแม่ มีผ้านุ่งผ้าห่มผืนใหม่ แล้วยังมีผ้าอีกหลายผืนห้อยเต็มไปหมด

จากนั้นหลวงปู่พวงจึงคิดว่าทำอย่างไร โยมแม่จึงมีที่อยู่ที่อาศัย หลายวันต่อมา มีโยมนิมนต์หลวงปู่ขาว กับพระที่วัดไปสวดมนต์ที่บ้าน หลวงปู่พวง จึงได้มีโอกาสตามไปด้วย

ญาติโยมได้ถวายปัจจัย หลวงปู่ขาว
จึงบอกกับพระสงฆ์ว่า อัฐบริขารเราก็มีอยู่พร้อมแล้ว ให้นำปัจจัยนี้ไปสร้างกุฏิ และถาน(ส้วม) ตามที่ท่านพวง อธิษฐานไว้

ครั้นเมื่อสร้างเสร็จ หลวงปู่พวง จึงได้น้อมถวายกุฏิ และถาน(ส้วม) แก่หลวงปู่ขาว อนาลโย

จากนั้นตกกลางคืน หลวงปู่พวงได้นั่งสมาธิ มองหาแม่ ออกตามหาทั้งคืนก็ไม่เห็น ผ่านไป ๔ วัน

จึงไปกราบเรียนหลวงปู่ขาว “ขอโอกาสพ่อแม่ครูจารย์ หาแม่บ่เห็น”

หลวงปู่ขาว บอกให้ "ขึ้นสูงๆ”
หลวงปู่พวง จึงนั่งสมาธิหาตามยอดไม้ก็ไม่เห็น หรือจะเป็นที่สวรรค์กันแน่ ท่านจึงรวบรวมพลังจิตทั้งหมดขึ้นไปดู จึงเห็นวิมานของโยมแม่บนสวรรค์ เห็นร่างกายที่เป็นทิพย์ของโยมแม่

จึงสบายใจขึ้นว่า โยมแม่พ้นทุกข์แล้ว ก็เพราะด้วยบารมีธรรมของของ พระผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ หากเราได้ถวายทานแก่พระภิกษุ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว

อานิสงส์ย่อมส่งผลไปถึงญาติของเราแม้นอยู่ปรโลก ก็สามารถให้พ้นทุกข์ พ้นโทษภัยได้ อย่างองค์หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านจึงถือว่าเป็นเนื้อนาบุญเอกของโลก

พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต









พวกเราท่านทั้งหลายทุกท่าน เวลานั่งสมาธิภาวนาก็ปฏิบัติอย่างที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำสั่งสอน ท่านบอกว่าสติเป็นสิ่งอันดับแรกเป็นสิ่งที่จำเป็นสำคัญอย่างยิ่ง อย่าให้ขาดสติในการภาวนา เราพยายามฝึกหัดสติของเราให้เข้มแข็ง กำหนดกรรมฐานไหนก็ให้อยู่กับกรรมฐานนั้น

สมมติว่ากรรมฐานพุทโธอย่างนี้ เรากำหนดลมหายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก หายใจเข้าพุท หายใจออก โธ เราก็บังคับใจของเราให้อยู่กับ พุทโธ ทุกลมหายใจเข้าทุกลมหายใจออก การเคลื่อนไหวของเรา เราจะปัดกวาดก็ดี เราจะเดินจงกรมก็ดี ขาขวา พุท ขาซ้าย โธ คือการเคลื่อนไหวของเรา

ถ้าเวลาเรานอนมันยังไม่หลับ เวลาหายใจเข้ากำหนดหายใจเข้า พุท หายใจออก โธ อันนี้คือเป็นพื้นฐานหรือเป็นบาทฐานที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำให้พวกเราท่านทั้งหลาย ที่จะทำจิตให้สงบนั้นไม่มีทางอื่น คือกำหนด บังคับให้มีสติ สตินี่แลที่จะทำจิตให้สงบ เข้าสู่ความสงบได้ สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว ให้มีความรู้ตัวอยู่ตลอดว่า ยืน เดิน นั่ง นอน พอตื่นขึ้นมาก็ให้มีสัมปชัญญะ ให้มีความรู้ตัวอยู่เสมอ อันนี้เรียกว่าสติสัมปชัญญะ

เพราะฉะนั้นพวกเราทุกๆท่าน นี่แหละ ที่จะทำจิตให้สงบเป็นหนึ่งได้ ต้องนั่งสมาธิ ต้องทำจิตให้สงบทั้งยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบท ๔ ไม่ว่าอิริยาบทไหนก็พร้อมที่จะทำจิตให้สงบได้ เพราะเหตุนั้นพวกเราทุกๆท่านเวลาปฏิบัติ จะไปนั่งก่อน ยืนก่อน เดินก่อน อิริยาบถไหนก็ได้ เว้นเสียตอนนอนหลับ ถ้าหลับแล้วก็แปลว่าเราหมดโอกาสที่จะทำจิตให้สงบ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “บทธรรมสอนใจให้รุ่นน้อง”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๐








“พ่อแม่เรานี้เปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูก คุณของพ่อแม่นั้นมากมายกว่าแม่น้ำในมหาสมุทรสุดที่จะคณานับได้ว่าเท่านั้นเท่านี้ ให้พวกเราเอาดินเป็นกระดาษ แล้วเอาน้ำในมหาสมุทรเป็นน้ำหมึกวาดเขียนจารึกคุณของพ่อแม่ชาตินี้ก็ไม่หมด พ่อแม่เป็นบุพการีชนแก่พวกเรามาก่อน ควรที่พวกเราจะสังวรในคุณของพ่อแม่ให้มาก

พยายามบำเพ็ญตนเป็นคนกตัญญูกตเวทีแก่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ศิษย์ต้องบำรุงอาจารย์ด้วย ๔ สถาน ด้วยการลุกขึ้นรับใช้ด้วยการฟังคำสั่งสอน ด้วยการอุปัฏฐาก ด้วยการศึกษาเล่าเรียน ด้วยความเคารพ และศิษย์จักพบจุดจบของพระพุทธศาสนาไม่ต้องกลับมาเวียนเกิด เวียนแก่ เวียนตาย อีกต่อไป”

หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก









ท่านอาจารย์พระมหาบัวไม่เคยสอนให้หลงในสิ่งที่เห็นในสมาธิ นรกสวรรค์ บาปบุญเป็นของมีจริง แต่มิให้ติดสิ่งเหล่านั้น เพราะมิใช่สิ่งที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ท่านสอนให้ตรงดิ่งเข้าเป้าหมายคือหลุดจากการเวียนว่ายตายเกิด สู่ความสงบอันเป็นนิรันดร ลูกศิษย์ถามขึ้นว่า

“แล้วทำอย่างไร จึงจะผ่านจุดนี้ไปได้” ท่านอาจารย์จึงอธิบายต่อไป “มันจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ตาม ขอให้จิตสงบเถอะ มันจะรู้ของมันเอง ไม่ใช่เหมือนกับว่าจะผ่านตรงนี้แล้วก้าวไปตรงโน้นนี่นา จิตน่ะเวลามันติด ไม่ต้องก้าวไปตรงไหนมันก็ติด พอเห็นบนฟ้าไปด้วยเรือเหาะเรือบิน ไปทวีปโน้นทวีปนี้ มันก็ติด มันติดอยู่ภายใน ไม่มีก้าว ไม่มีเข้ามีออก มันติดอยู่ภายในนี่ เวลาจะแก้มันก็แก้อยู่ภายในเช่นกัน ถ้ามันแก้ของมันได้ ก็จะเบาไป มันจะรู้เอง ไปไหนก็จะรู้ จนกระทั่งหมดจริงๆ อยู่ไหนมันก็รู้ วางใจได้ตรงนี้ แน่ะ-เข้าใจแล้วเหรอ?”

ท่านถามด้วยเมตตาแล้วอธิบายซ้ำอีก เมื่อเห็นลูกศิษย์ก้มลงกราบรับ แสดงว่าเข้าใจ และขอบพระคุณที่ท่านได้กรุณาชี้แจงแนะนำ
“หลักของมันจริงๆ เป็นเช่นนั้น ไม่ต้องก้าวไปไหนละ มันปลดมันเปลื้องตัวของมันเองที่มันผูกพันอยู่นั่นแหละ ค่อยปลดค่อยเปลื้องของมันไปโดยลำดับ ค่อยสว่างกระจ่างแจ้ง แจ้งออก ชัดออกๆ นั่นแหละ

หลักสำคัญ เอาให้มันสงบนะ อย่าไปสนในเรื่องอื่นเลย เมื่อมันอยู่ในวิสัยของเราแล้วก็จะทราบได้เอง ทั้งๆ ที่เราเป็นคนไม่เชื่ออะไรเลย แต่แล้วพอรู้จริงเข้า จะค้านเจ้าของจนหัวแตก คือไม่มีถอย ถึงหัวจะแตกก็แตกแต่หัว ก็เราเชื่ออย่างนี้จะว่าไงวะ นั่นเมื่อมันถึงขั้นของมันจริงๆ มันก็จริงอยู่อย่างนั้นจะว่าไง?

ถ้ามันไม่จริงยังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง มันก็เป็นธรรมดาอีก ที่มันจะแทรกอะไรเข้ามาก็ได้ เรื่องของธรรมและเรื่องของกิเลสเป็นคู่แข่งกันอยู่ มันเป็นธาตุสืบกัน

แม้แต่เราจะปฏิบัติธรรมอันเป็นของจริง เราเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าธรรมนี้เป็นธรรมแท้ๆ กิเลสมันยังเข้าแทรกว่าไม่ให้เชื่อธรรม ไม่ให้เชื่อบาป เชื่อบุญ ไม่ให้เชื่อนรก ไม่ให้เชื่อสวรรค์ นั่นล้วนเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของธรรม

ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วมีแต่ความจริงทั้งนั้นไม่ลบล้าง มีอะไรที่ไหน ภพน้อยภพใหญ่ที่ไหนๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยลบล้าง...”

ถึงตอนนี้ลูกศิษย์ถามขัดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น วิจิกิจฉา หรือความสงสัยนี้ก็คือตัวกิเลสซิคะ?” ท่านอาจารย์เลยดุเข้าให้
“ก็คือกิเลสนั่นแล้ว!” มันจะอะไรที่ไหนเล่า?

พูดกันมาตั้งนานหาว่าพูดเฉยๆ อีกนั่นแหละ ถ้าจะว่ากันไปต่างคนต่างก็มีกิเลส แบกกิเลสเข้าหากัน เอ้า-กิเลสมากนักหรือ เอ้า-กิเลสรับไป มันก็เลยกลายเป็นคนบ้าใช่ไหม? ต้องพูดอย่างนี้แหละ ก็เป็นธรรมดา ยังจะมาพูดอยู่อีก ตัวที่เห็นนั่นละกิเลสละ”

ลูกศิษย์หัวเราะชอบใจที่โดนดุ เพราะเป็นอุบายที่จะบอกผู้มีวิจิกิจฉาว่ากิเลสนั้นคืออย่างไร ท่านอาจารย์หันไปฉันน้ำในแก้ว เพราะท่านคงจะเหน็ดเหนื่อยนักที่ต้องสอนผู้เบาปัญญาทั้งหลาย ครู่หนึ่งท่านก็สอนต่อว่า

“ไปอ่านหนังสือที่ให้ไว้ มีอยู่ในนั้นหมดแล้ว พยายามวางจิตให้อยู่กับที่ไม่วอกแวกจะได้ผลดี”

หลวงตามหาบัว









#การภาวนานี้คือยาแก้กิเลส

เวลามันยุ่งมาก เราจดจ่อทางคำภาวนาของเราให้มาก เช่นพุทโธ ใครชอบคำไหนก็ตามตามแต่จริต นิสัยชอบ พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรือธรรมบทอื่นใดก็ตาม ขอให้ถูกกับจริต

ให้นำมาบริกรรม ให้จิตเกาะอยู่กับคำบริกรรมนั้น ให้รู้อยู่กับนั้น เช่นพุทโธๆ ก็ให้รู้อยู่กับพุทโธ สติควบคุมอยู่นี้ มันอยากคิดไปไหน บังคับไว้ไม่ให้คิด

คำว่าอยากคิด คือกิเลสล่ะ มันลากออกไป ให้อยากๆ นี่ล่ะกำลังของกิเลส มันอยากให้คิดนั้นคิดนี้ มันอยาก..เราก็ไม่ออกไป เราบังคับไว้ ไม่ยอมให้มันออก นี่เรียกว่าบังคับกัน

#ในเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น
#บังคับไม่หยุด

เอ้าทางนั้นอยากมาก ทางนี้ตั้งใจบังคับมากเข้า สักเดี๋ยวสู้ทางธรรมไม่ได้ แล้วค่อยสงบเข้ามา สงบเข้ามาแล้ว แน่วนิ่งนะ สงบแน่ว

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๒๕ มีนาคม ๒๕๐๔


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 81 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO