...ถ้าเราเห็น"ความอยาก"เป็นยาพิษ เรากล้ากินมันไหม?..... นั่นแหละเราไม่เห็นความอยากเป็นยาพิษ เรากลับเห็นว่าเป็น.."ขนมหวาน" . ...พออยากปั๊บ..ทำตามมันเลย มันสั่งให้ทำอะไร..ทำตามมันเลย แล้วเป็นยังไง?..ชีวิตของพวกเรา วุ่นวายหรือสงบ . ...ที่วุ่นวายกันทุกวันนี้ ก็วุ่นวายเรื่อง..ความอยาก..นี่แหละ ไม่ได้วุ่นวายกับเรื่องอะไร อยากได้โน่นอยากได้นี่ ให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ . ..."อยากตลอดเวลา" วันๆหนึ่งนี้ ไม่รู้ "อยาก" กี่เรื่องกี่ราว" อยากอยู่เรื่อยๆ พอไม่ได้ดังใจอยาก..ก็เครียด หงุดหงิด รำคาญใจขึ้นมา . ...ปัญหาของพวกเราอยู่ที่ "ความอยาก"ของพวกเรา เราต้องใช้.."สติ สมาธิ ปัญญา" ถ้ามีสามตัวนี้แล้ว.."ความอยากจะสู้ไม่ได้". ........................................................ . คัดลอกการสนทนาธรรม ธรรมะบนเขา 5/9/2559 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
“การบวชที่แท้จริงบวชที่ใจไม่ได้บวชที่ร่างกาย”
ถาม: กราบนมัสการเจ้าค่ะ ขอสอบถามว่า อริยบุคคลตั้งแต่อนาคามีขึ้นไปนั้น ต้องบวชอยู่ในเพศบรรพชิต เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ
พระอาจารย์: คือความจริงเป็นพระอริยะนี้ก็ถือว่าเป็นนักบวชแล้ว คือการบวชที่แท้จริงนี้บวชที่ใจไม่ได้บวชที่ร่างกาย งั้นคนมักจะเข้าใจผิดว่าจะต้องบวชทางร่างกาย พวกที่บวชทางร่างกายแต่ไม่ได้เป็นพระอริยะก็ไม่ได้เป็นพระอริยะ งั้นการบวชทางร่างกายไม่มีผลต่อทางจิตใจ แม้กระทั่งเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ต้องบวชภายใน ๗ วัน ตามที่คิดกัน มีคนไปกุข่าวว่าใครเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ได้บวชภายใน ๗ วัน จะต้องตาย ความจริงไม่ตาย มันคนละเรื่องกันนะ พระอรหันต์กับเรื่องของความตายมันไม่เกี่ยวกัน ความตายพอถึงเวลามันก็ตาย เวลามันหมดลมหายใจ มันก็ตาย ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็น มันก็ตาย มันไม่เกี่ยวกัน พอดีมันมีเรื่องที่มันทำให้ไปคิดว่าเป็นอย่างนั้น เช่น พ่อของพระพุทธเจ้าก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ ๗ วันก่อนตาย ก็เลยคิดว่านี่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ได้บวช เป็นพระอรหันต์แล้วก็ต้องตาย ถ้าไม่ได้บวชภายใน ๗ วัน ก็ต้องตาย แต่ความจริงท่านตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ท่านประชวรหนัก พระพุทธเจ้าไปโปรด ไปแสดงธรรมให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็เลยไปคิดว่าเป็นฆราวาส แล้วพอเป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้าไม่ได้บวชภายใน ๗ วันนี้จะต้องตาย อันนี้เป็นการเข้าใจผิด รับประกันได้ว่าไม่ตาย มีแต่กิเลสที่จะตาย เท่านั้น ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วกิเลสตายแน่ๆ แต่ร่างกายนี้มันอยู่ที่บุญกรรม อยู่ที่เหตุการณ์ต่างๆ ถ้าถึงเวลามันจะตาย เป็นอรหันต์หรือไม่เป็นอรหันต์มันก็ตายเหมือนกัน
ธรรมะหน้ากุฏิ วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ #พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
อย่ามัวแต่รอ.....
การทำบุญอุทิศให้ลูกหลานเลย เวลาเรามีชืวิตอยู่ มันยังไม่อยากทำบุญเลย เราตายแล้ว มันจะทำกันหรือเปล่า...ก็ไม่รู้!!!
#หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก
“การที่จิตใจของเราจะเป็นธรรมอย่างสมบูรณ์ได้ ก็เพราะจิตใจนี้ต้องได้รับการอบรม ถ้าจิตใจไม่ได้รับการอบรมแล้ว ด้วยความเป็นปุถุชนมันก็มีอัตตาคือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนกันอยู่แล้ว ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนนี่แหละมันจะดึงตัวเราให้เกิดเป็นความตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัว และเกิดเป็นความโลภเพิ่มพูนขึ้นมา ผลที่สุดเห็นใครมีใครได้ก็เกิดเป็นความอิจฉามีแต่ความเพ่งโทษคนอื่น จิตใจก็มีแต่ความเร่าร้อนขุ่นมัว ทำให้เป็นโทษภัยต่อตัวเอง เราเป็นผู้สร้างไฟขึ้นมาเผาลนจิตใจของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้จักการแบ่งปันคือการให้ทานในเบื้องต้นเพื่อที่จะมาชำระสิ่งเหล่านี้ให้มันเบาบางลงไป ความเห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบความตระหนี่พวกนี้มันเป็นโทษเป็นภัย เป็นไฟเผาลนจิตใจผู้นั้นให้ทุรนทุรายเร่าร้อนขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา
เราจะชำระสิ่งเหล่านี้ให้เบาบางลงไป เราต้องสละออก ที่เราเรียกว่าการให้ทาน เราสละออกไปแล้วเราไม่เดือดร้อนในสิ่งที่เราสละออกไป การที่เราสละออกไปนี่แหละจะทำให้ความเห็นแก่ตัวและความตระหนี่ของเรามันเบาบางลงไป เพราะในขณะที่เราสละออกไป คนที่ได้รับการเสียสละจากเราเขาก็มีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน แล้วเราก็จะเกิดเป็นความภูมิใจที่เราเองสามารถเป็นผู้ที่ทำให้คนอื่นมีความสุขได้ อันนี้จะทำให้ความตระหนี่ในใจของเราเบาบางลงไป แล้วความเห็นแก่ตัวมันก็จะเบาบางตามลงไป ความโลภมันก็ลดน้อยลงไปด้วย เมื่อก่อนเราเห็นคนอื่นได้ดิบได้ดีเราก็มีแต่ความอิจฉา แต่เดี๋ยวนี้พอเห็นคนอื่นได้ดิบได้ดีมันก็มีมุทิตาจิตพลอยยินดีในความมีความได้ของเขาไปด้วย ก็เพราะกรรมดีของเขาเองเขาจึงได้จึงมี เราก็เกิดเป็นมุทิตาจิตพลอยยินดีในกรรมดีของเขา จิตใจของเราก็จะมีแต่ความเบิกบานผ่องใส”
พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
ถ้าไม่เข้าทางถอยเลย . เขาจะว่าดีเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ถ้าออกจากธรรมคำสอนมันไม่ใช่หรอก ใครจะโปรโมทดีแค่ไหนก็แล้วแต่ อย่าไปเชื่อนะ อย่าไปเชื่อง่าย ไปดูเสียก่อน มันเข้าทางมั้ย ถ้าไม่เข้าทางถอยเลย ถ้าเข้าทางค่อยเข้าไป ค่อยยกเป็นแบบอย่างเยี่ยงอย่างให้แก่เรา ความดีจึงค่อยเกิดขึ้นแก่เรา อานิสงส์เกิดขึ้นแก่เรา ให้พากันคิด อย่าสะเปะสะปะไปทั่ว วัดวาอาราม บางที่รกรุงรัง กุฏิวิหารมะเละเกะกะไม่รู้อะไรไม่รู้จักเก็บจักจัด นี่เรียกว่าใช้ไม่ได้ เรียกว่าไม่มีธรรมไม่มีวินัย ปล่อยเลอะเทอะไปหมด แต่เวลาเทศน์นี้ โอ๊ย เทศน์ถึงพระนิพพาน นั่นแหละ ให้เรารู้จักอันไหนธรรม ถ้าไม่รู้จักก็ให้ศึกษากับครูบาอาจารย์เสียก่อน . โอวาทตอนหนึ่ง ของหลวงพ่อสมบูรณ์ 7/12/2563
"คนสมัยนี้ เขาเป็นทุกข์เพราะความคิด."
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
"วันหนึ่งๆ ควรจะระลึกถึงความตายในตัวบ้าง อย่างน้อย ๕ หนก็ยังดี จิตใจของเราจะได้มีการยับยั้ง จากความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความโลภ ก็จะไม่มากนัก ความโกรธ ก็จะไม่มากนัก ความหลง ก็จะไม่มากนัก เพราะมองเห็นป่าช้า"
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
"ความดี ทำเสียวันนี้ให้พอ อย่ารอวันหน้า เพราะความตายไม่ได้ทักเราว่า วันนี้จะมา วันหน้าจะตาย"
หลวงปู่หา สุภโร
|