นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 5:47 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความหลง
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 10 มิ.ย. 2021 6:25 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4805
พระธรรมเทศนาเรื่องความตายเป็นธรรม ในหนังสือธรรมชุดเตรียมพร้อมหน้า ๔๓๙ ว่า

" การที่เราบำเพ็ญอยู่เวลานี้ และบำเพ็ญเรื่อยมานี้แล คือการดำเนินเพื่อหลบหลีกปลีกภัยทั้งหลายโดยลำดับ จนบรรลุถึง " มหาสมบัติอันพึงหวัง " จากนั้นจะเรียกว่า " นิจจัง " เป็นของเที่ยงก็ได้เพราะไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องไม่มีอะไรเข้ามาทำลายจิตให้เดือดร้อนวุ่นวาย จะเรียกว่า " บรมสุข " ก็ไม่ผิด จะเรียกว่า " อัตตา " ก็ไม่น่าจะผิด เพราะเป็นตนแท้ คือ ตนในหลักธรรมชาติ ไม่มี สมมติน้อยใหญ่ แม้ปรมาณูเข้ามาเกี่ยวข้องใจ แต่ไม่ได้หมายถึง อัตตา ที่เป็นคู่กับ อนัตตา นั้นเป็นความสมมติอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นทางดำเนินเพื่อพระนิพพาน
ที่ว่าพระนิพพานไม่มีนั้น กิเลส หลอกตรงๆ ก็กิเลสทั้งหลายไม่เคยเห็นพระนิพพานแล้วจะทราบอย่างไรว่านิพพานมีหรือไม่มี พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ต่างหากเห็นนิพพาน ท่านจึงสอนให้พวกเราไปนิพพานกัน

ถ้าอยากไปนิพพานก็ให้เชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าอยากลงไปนอนเป็นปลาต้มอยู่ในนรกก็เชื่อกิเลสตัวหลอกว่า นิพพานไม่มี "

จากคำถาม คำตอบปัญหาธรรม โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พ.ศ. ๒๕๓๖ หน้า ๔๐









.

#ความจริงที่ทุกคนต้องประสบ

อันนี้ของจริงที่ในโลกมันมีอยู่
ที่เราเรียกอริยสัจ ที่พูดนี่เป็นอริยสัจ
เป็นของจริงที่ชาวโลกตั้งแต่ยาจกวณิพกถึงพระราชา
จะต้องประสบเหตุเหล่านี้เหมือนกันหมด เรียกว่าของจริงนะ
แต่ว่าอาศัยจิตของเราที่มีกิเลสเข้ามาครอบงำจิต จิตไม่ยอมรับน่ะสิ
ไม่ยอมรับว่ามันทุกข์
เข้าใจว่ามันเป็นเหตุของความสุข

เห็นคนเขาป่วยไข้ ไอ้เราก็ต้องป่วยเหมือนกัน แต่เราไม่จำความป่วย รู้จักแต่คนอื่นเขาป่วย ทีนี้ความป่วยเข้ามาถึงตัวเรามันก็เกิดอาการหวั่นไหว นี่แสดงว่าจิตไม่ยอมรับนับถือความเป็นจริง

ต่อไปเมื่อความแก่เข้ามาถึง
คนอื่นเขาแก่เห็นแก่ได้
แต่เราแก่บ้างไม่ชอบใจ
นี่เรียกว่าไม่ยอมรับนับถือความเป็นจริงใช่ไหม

คนอื่นเขาตายให้เราดูทุกวัน
แต่ทว่าพอความตายจะเข้ามาถึงเราบ้าง
เราหวั่นไหวในความตาย
นี่แสดงว่าเราไม่ยอมรับนับถือความเป็นจริง

การพลัดพรากจากของรักของชอบใจมีขึ้น พ่อตาย แม่ตาย ปู่ตาย ย่าตาย เหลนตาย
ผัวตาย เมียตาย ลูกตาย ใครตาย
หรือตัวจะตายเกิดขึ้น เกิดความหวั่นไหว เพราะอารมณ์มันเป็นกิเลส
ไม่ยอมรับตามความเป็นจริง
ถ้าเรายอมรับความเป็นจริงละก็
เมื่อสิ่งต่างๆเกิดขึ้นเราจะไม่หวั่นไหว

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ "ธรรมปฏิบัติ ๔๔" หน้า ๘๐ คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์









“...เรียนอย่างเดียวมันมีข้อกังขาไม่สามารถลงเอยกันได้เห็นไหมล่ะที่ออกข่าวมา ๒, ๓ วันที่แล้วนี่เรียนมากก็แต่งตัวเป็นผู้หญิงเป็นหลวงเจ๊เลยนะออก
ติกต๊อกเต้นขยองแขยงนั่นเห็นไหมลูกเรียนมากรู้มากแต่ไม่มีความศรัทธา กล้าท้าในสามแดนโลกธาตุนะ กล้าท้าพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกรูปนะ ถ้ามีไม่มีภาคปฏิบัติความศรัทธาไม่เกิด หากมีความศรัทธาก็เป็นแบบศรัทธาปุยนุ่น พอถูพอไถพอไปพอมา พออยู่ได้ พอหาอยู่หากินได้นี่ แต่จะศรัทธาแบบฝังลึกจมหัวจมท้ายถอนไม่ขึ้นไม่มี ยกเว้นภาคปฏิบัตินี่กล้าท้าเต็มเม็ดเต็มหน่วยพูดให้ลูกหลานฟังทั่วโลกนะก็ฟังด้วย ภาคปฏิบัติเท่านั้นจึงจะเข้าใจพระพุทธศาสนาที่แบบฝังลึกจมหัวจมท้ายเป็นอาจลศรัทธาถอนไม่ขึ้น ...”

พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔








.

#การกำหนดลมหายใจ

การกำหนดลมหายใจเข้าออกนี่
จงอย่าพยายามฝืนลมหายใจ
อย่าบังคับให้ลมหายใจแรงหรือเบา
ยาวหรือสั้น
ลมหายใจจะหายใจแบบไหน
ปล่อยไปตามปกติ
เอาแต่เพียงกำหนดจิตเข้าไปรู้เท่านั้น

ว่าเวลานี้
เราหายใจเข้าหรือหายใจออก
หายใจออกหรือหายใจเข้า ยาวหรือสั้น

เราต้องการเอาจิตรู้เฉพาะ
ไม่ใช่ไปนั่งบังคับลม จะไปนั่งบังคับลม
จะทำให้เกิดความอึดอัด ความไม่สบาย
อันนี้ไม่ถูก

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๘ ฉบับที่ ๔๓๕ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๐ หน้า ๙๖
คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์











.

#คนโง่

คนที่ทำให้เราไม่ชอบใจคนนี้เป็นคนโง่
ถ้าคนฉลาดแล้วเขาไม่ขัดใจใคร
การขัดคอคนมันมีแต่ความทุกข์
มีแต่ความเร่าร้อน
ทำความเป็นมิตรสหายให้แตกร้าวจากกัน ทำความสามัคคีให้แตกแยกออกไป

นี่แหละ เมื่อเราเห็นเขาเป็นคนโง่อย่างนี้
เราจะไปโกรธคนโง่ทำไม
ขึ้นชื่อว่าคนโง่ทำอะไรก็เต็มไปด้วยความประมาท ขาดการยับยั้ง นี่ปลงใจเสียอย่างนี้ ทำจิตให้เป็นอภัยทานนับแต่บัดนี้เป็นต้นไปว่า คิดว่าใครเขาจะทำอะไรก็ช่าง
เราไม่ชอบใจ เราก็ถือคำว่าช่างมันอย่างท่านบูรพา ท่านเคยเขียนไว้ที่หน้าวังว่า

"ช่างมัน"

ท่านทำของท่านถูก "ช่างเขา" เขาทำไม่ดีมันเป็นความเร่าร้อนจิตของเขา
เราทำดีมันเป็นความเยือกเย็นของเรา
คิดไว้เพียงเท่านี้
จิตใจของท่านพุทธบริษัทก็จะผ่องใส

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔๒๓ หน้า ๔๕
คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์










#ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคตราบนั้นก็ทุกข์ร่ำไป

“...พระพุทธเจ้านี่สอนด้วยเหตุผลสมเหตุสมผลให้ใช้ปัญญา ปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญาที่ไตรโลกธาตุไม่สามารถที่จะรู้ได้ทั้งที่ไตรโลกธาตุอยู่กับมันอยู่อย่างงั้น อย่างงั้นทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคเป็นของโลกของสงสาร สามแดนโลกธาตุที่รับอยู่ตลอดๆ นี่คือความทุกข์หนึ่ง ตัวปรุงตัวแต่งหนึ่ง ทุกข์สมุทัยนิโรธตัวดับทุกข์หนึ่ง แล้วก็ทางเดินของการเห็นทุกข์และการดับทุกข์มันอยู่ที่ไหนสัตว์โลกรับมาตลอดนะ แม้นพระพุทธเจ้าไม่อุบัติขึ้น ก็เป็นการที่รับมาตลอดรับมายังไง ถึงจะไม่มีในบัญญัตินี่เราพิจารณาไตร่ตรองดูสมเหตุสมผลนี่คือเหตุผลนะ

เวลาสัตว์โลกอยู่อย่างสบายมีความสุขหรือเป็นความว่างของจิตกุสลาธัมมาอกุสลาธัมมาอัพยาจิต ลูกเข้าใจหรือยังตอนนี้ลงตรงนั้น จะเป็นกุศลก็ตามจะเป็นอกุศลก็ตามจะเป็นอัพยาจิตก็ตาม จิตใจของสัตว์โลกมันก็อยู่อย่างงี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่หรือ พระพุทธเจ้าไม่มาตรัสรู้มันก็อยู่อย่างงี้นั่น เวลาที่จิตมันเป็นอัพยาจิต มันก็ดับทุกข์เป็นปกติของมันอยู่อย่างงั้น พระพุทธเจ้าไม่อุบัติขึ้นมันก็ดับของมันอยู่อย่างงั้น ทางในการเดินของสัตว์โลกก็เดินอยู่อย่างงั้นหาความสุขและหาความทุกข์อยู่อย่างงั้นนั่น

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นก็ทราบ อ๋อ...ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคนั่น มรรคตัวนี้เป็นเป็นการเดินทางทั้งสองด้าน หลวงปู่แยกเองนะ เดินไปหาความสุขและเดินไปหาความทุกข์อริยสัจความเป็นจริงของพรพุทธเจ้าให้เดินเพื่อดับทุกข์โดยถ่ายเดียวนั่นแยกแยะปั๊บเลยเรานี่ อ๋อ...อันที่แท้ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคมีก่อนตั้งแต่ไหนแต่ไรมานั่นเพราะมรรคตัวนี้เป็นทางที่จะเดินเข้าสู่ความสุขและความทุกข์

อย่างงั้นพวกฤๅษีชีไพรนี่ทำฌานทำญาณได้ ทำอภิญญาได้ นี่เข้าสู่อรูปพรหมได้ จะขนาดไหนก็ต้องยอมรับถึงอัพยาจิต จิตที่เป็นกลางๆอยู่อย่างงั้นใช่ไหมล่ะกุสลาธัมมาอกุสลาธัมมาอัพยาจิตนั่น มันก็เข้ากับทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคป้างกันตรงนั้น ปัญญาไม่มีมันก็ไม่ได้ส่งผลนะลูกมันก็เป็นทุกข์อยู่อย่างงั้น งั้นปฏิบัติจนถึงวันตายมันก็ไม่ได้รู้เรื่องพระสัทธรรมนะ อยู่อย่างงั้นแหละไม่รู้เรื่องพระสัทธรรมเลย

พระพุทธเจ้าสอนอะไรก็ไม่รู้มีแต่จะเอา เอาอะไรล่ะและตัวทุกข์ที่แท้มันเกิดจากไหนรู้ไหมล่ะ ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคตราบนั้นก็ทุกข์ร่ำไปไม่มีที่สิ้นสุดนั่นทุกขสัจทุกข์เป็นความจริงเป็นความจริงอยู่อย่างงั้น เห็นไหมล่ะมาหาเราก็มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น หาความสุขได้ไหมล่ะ ทั้งที่ความสุขความทุกข์มันก็อยู่ด้วยกัน...”

พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔










ธรรมะเป็นอาวุธสำคัญ

ผู้มีสติปัญญาย่อมรู้ธรรมขั้นละเอียดอ่อนได้ไม่ยากนักสามารถรู้เล่ห์เหลี่ยมกิเลสภายในจิตใจไม่ว่าซอกไหนมุมใด ท่านจะจับออกมาสับโขลกอย่างไม่ปรานี กิเลสเป็นตัวโรคร้ายและไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าหรือกล้องส่อง...เมื่อใครมีกิเลวส่วนใดชนิดใดแล้วภายในตัวกิเลวมันจะกัดกินใจของบุคคลนั้นอย่างไม่มีวันพอ...จนตายนั่นแหละมันจึงปล่อย

" ธรรมะเป็นอาวุธสำคัญที่กิเลสหวั่นไหวเกรงกลัว เพราะรู้ทันกลอุบายของมัน..ผู้ปฏิบัติจะมีความอิ่มแห่งธรรมเหมือนอิ่มอาหารและเข้าใจกันเองไม่ต้องถาม...เพราะธรรมเป็นของอิ่มพอ แต่กิเลสมันไม่เคยอิ่มมันหิวกระหายอยู่เป็นนิตย์.. "

คนเราถ้ามีกิเลสเต็มตัวแล้ว มันก็เหมือนหมูเราดีๆ นี่เองกินแล้วนอนๆจนอ้วนพีเขาก็นำไปขึ้นเขียงสับบั่นเท่านั้น ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมเขาจึงไม่เลี้ยงกิเลส เขาทำลายกิเลสทั้งนั้น

พระอริยเข้าทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมา ท่านรู้ทันกิเลว เมื่อกิเลสโผนมา ธรรมะโผนไป กิเลสโหดร้าย ธรรมะหดดี อยากทราบต้องออกแนวรบ นักปฏิบัติคือนักรบ เป็นต้องเป็นตายต้องตาย จึงจะเอากิเลสอยู่ กิเลสมีเท่าไร ธรรมะต้องมีเท่านั้น

ให้เชื่อในกฏแห่งกรรม ทำกรรมอย่างใดย่อมส่งผลอย่างนั้นคือกรรมชั่วย่อมส่งผลชั่ว และกรรมดีย่อมส่งผลดี

ผู้ใดทำกรรมใด ผลกรรมนั้นย่อมตกแก่ตัวผู้ทำไม่มีทางหลีกเลี้ยงได้ ใครทำกรรมดีผลกรรมที่ดีต้องตกแก่คนผู้นั้น ใครทำกรรมชั่ว ผลกรรมชั่วก็ย่อมตกแก่ผู้นี้เช่นเดียวกัน

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี









.

#ความหลง

เมื่อเกิดมาแล้วมันมีความแก่ติดตามมา
มีความป่วยไข้ไม่สบายติดตามมาเป็นปกติ จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เพราะเราอยู่ไม่ได้จะต้องตาย

คำว่า "ตาย" ก็ไม่ใช่หมายความว่าเราจะต้องตายแต่ผู้เดียว คนอื่น สัตว์อื่น วัตถุอื่นก็พังสลายตายเหมือนกัน แต่เราไม่เคยคิด

เห็นชาวบ้านเขาแก่
เราไม่คิดว่าเราจะแก่
เห็นชาวบ้านเขาตาย
เราไม่คิดว่าเราจะตาย
เห็นชาวบ้านเขาป่วยไข้ไม่สบาย
เราไม่เคยคิดว่าเราจะป่วยไข้ไม่สบาย

นี่ความประมาทที่เรียกกันว่า "ความหลง"

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๘ ฉบับที่ ๔๓๕ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๐ หน้า ๔๕
คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 80 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO