พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
อังคาร 15 มิ.ย. 2021 6:05 am
เรื่อง "วิธีต่อสู้ทุกขเวทนาก่อนธาตุขันธ์แตกดับ"
(คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
โยมถาม : กราบขออนุญาตเจ้าค่ะ เมื่อคืนนี้หนูปฏิบัติมันปวด เจ็บขามาก คิดว่าการปฏิบัติ ตอนตายทุกขเวทนาความเจ็บปวดคงมีมากกว่านี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ จะเอาจิตไว้ตรงไหน ถึงจะไปสู่สุคติ หนูเกิดปัญหาขึ้นมาในใจตัวเองค่ะ ก็ไปเปิดหนังสือชุดเตรียมพร้อมอ่านๆ ก็ยังไม่แจ้งในตัว จะทำอย่างไรในเมื่อทุกขเวทนาเป็นอย่างนี้ จะทำยังไงจิตถึงจะไปสู่สุคติได้ เพราะความทุกข์ระทมในความปวดเจ็บนี้มากเหลือเกิน จะแยกออกได้อย่างไร ?
หลวงตาตอบ : พิจารณาทุกข์ ถามถึงเรื่องทุกข์มันถึงชัดเจน เรื่องไปสู่สุคติไม่สู่สุคติไม่ต้องถาม ให้ดูอันนี้ให้ชัดเจน ทุกข์มันเกิดขึ้นจากอะไร อะไรเป็นทุกข์ หนังเนื้อเอ็นกระดูกนี้หรือเป็นทุกข์ หรือทุกข์มาเป็นหนังเนื้อกระดูก หรือหนังเนื้อกระดูกเป็นทุกข์ ถามกัน หรือใจเป็นทุกข์ ย้อนกันถามกัน เรียกว่าถามหาความจริง ทีนี้เวลาเราซักถามจริงๆ แล้ว ทุกข์มันสักแต่ว่าทุกข์ มันไม่มีความหมายของมัน มันไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์นะ ทีนี้ใจไปให้ความสำคัญแก่มันว่า มันเป็นทุกข์ เป็นทุกข์แก่ส่วนใด เช่นเป็นทุกข์แก่กระดูก เช่นปวดหัวเข่ามาก ว่าหัวเข่าเป็นทุกข์ ถ้าคนตายแล้ว เอาหัวเข่าไปเผาไฟ หัวเข่าเป็นทุกข์ไหม หัวเข่าก็ไม่เป็นทุกข์ นั่น เห็นไหมล่ะ ไล่กันไป ไล่กันมา เข่าก็ไม่เป็นทุกข์ ทุกข์ก็ไม่เป็นทุกข์สำหรับมัน มันไม่มีความหมาย แล้วใจนี่ไปให้ความสำคัญเฉย ๆ ใจก็ไม่ได้เป็นทุกข์ ถ้าใจไม่หลง ย้อนไปย้อนมา มันจะรู้ที่นี่นะ นี่แหละจิตมันจะหดตัวเข้ามาเป็นตัวของตัว
นี่แหละสร้างสวรรค์นิพพานขึ้นที่นี่ เข้าใจไหม พอเห็นอันนี้รอบแล้วจิตจะถอยจากนั้นมาเป็นตัวของตัว แต่ก่อนมันไปยึดอันนั้นว่าเป็นเรานี้เป็นของเรา แข้งเรา ขาเรา ทุกข์ก็เป็นของเรา อะไรเป็นของเราไปหมด มันเลยไปกว้านเอาอันนั้นมาสร้างไฟเผาตัวเอง ทีนี้พอพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ว่าต่างอันต่างจริง หนังเนื้อเอ็นกระดูกเวลาตายแล้วไปเผา เขาไม่เห็นว่าอะไร เวลานี้เป็นทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร ถามอย่างนั้นนะ ครั้นหากว่าทุกข์มาเป็นกายจริงๆ แล้วทุกข์เกิดแล้วดับไป ทำไมกายยังไม่ดับ ถ้าหากว่าทุกข์มาเป็นกายจริงๆ แล้ว ทุกข์ต้องตั้งอยู่จนกระทั่งถึงกายดับใช่ไหม ? นี้มันเกิดขึ้นชั่วคราว ดับไปชั่วคราว อันนั้นก็เป็นอันนั้น อันนี้ก็เป็นอันนี้ เข้าใจเหรอ ?
นี่เรียกว่า พิจารณาซักกัน มันทุกข์มากเท่าไร สติปัญญายิ่งหมุนติ้วๆๆ แล้วต่อไปมันก็รอบของมัน พอรอบของมัน มันรื้อถอนเข้ามาปุ๊บ เข้ามาหาหัวใจ ใจเป็นตัวมายา เมื่อใจไม่เป็นมายาโกหกเจ้าของเสียอย่างเดียว ใจเป็นใจ สิ่งเหล่านั้น กายก็เป็นกาย ทุกข์ก็เป็นทุกข์ ต่างอันต่างจริง กระทบกันหนักเบามากน้อยเพียงไรไม่หวั่น นั่น เพราะใจรู้เป็นตัวของตัวแล้ว ใจต่างหากเป็นผู้เอนเอียง นี่ให้พิจารณากันอย่างนี้ เมื่อสู้วันนี้ไม่ได้ เอ้า วันหลังพิจารณาอีก แต่อย่าคาดอย่าหมายนะ เอาปัจจุบันเป็นต้นเหตุเลย อย่าไปคาดไปหมาย วันนี้เรารู้อย่างนี้วันหลังจะให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้นะ ต้องสร้างความรู้ขึ้นใหม่ ปัจจุบันๆ แก้กันในปัจจุบัน เข้าใจเหรอ
อันนี้หลวงตาเล่นมาเสียพอแล้ว พูดให้ฟังนี่นะ ฟังซิว่าก้นแตก นี่ฟัดกันอย่างนี้แหละ ไม่ได้คำนึงถึงก้นแตก ถามหาแต่เหตุกับผลความจริงอย่างว่า สุดท้ายต่างอันต่างจริง มันจะตายเวลานั้นก็ไม่หวั่น เห็นไหมละ ทุกข์ขนาดไหน ทุกข์ก็เป็นเรื่องของทุกข์ กายเป็นเรื่องของกาย จิตเป็นเรื่องของจิต ไม่มีอะไรได้เสียต่อกัน นั่น เวลามันพิจารณาแล้ว มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่มีใครบอกมันก็รู้ เข้าใจเหรอ นี่เรียกว่า ทุกขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นของจริง จริงอย่างนี้ ไม่กระทบกัน กายก็เป็นอริยสัจ จิตก็เป็นของจริง กายเป็นของจริง ทุกข์ก็เป็นของจริง ต่างอันต่างจริงแล้วไม่กระทบกัน ต่างอันต่างอยู่ นั่น เข้าใจเหรอ ? เอาแค่นั้นก่อนภาวนา
ให้ทราบบ้างซิใจนี่ โถ ! สำคัญมาก ไม่มีใครเรียนได้รู้ได้ มีพุทธศาสนาเท่านั้นเป็นเอกเลย ติดตามร่องรอยของใจที่มันเกิดมากี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์มาถึงปัจจุบัน แล้วมันยังจะพาเกิดพาตาย ตัวใจเองไม่ตายนะ ออกจากร่างนี้ มันไปเอาร่างใหม่มา เรียกว่าเกิด ร่างนั้นดับเรียกว่าตาย อันนี้มันไม่ตาย มันออกจากร่างนี้ไป ไปตามบุญตามกรรม ถ้ากรรมดี มันก็พาไปสูง ถ้ากรรมต่ำกดลง ให้ตายไม่ตาย ไปจมในนรกก็ไม่ฉิบหาย ใจไม่เคยตาย เพราะฉะนั้นจึงทนทุกข์ทรมานมากน่ะซิ และถึงนิพพานเป็นธรรมธาตุตายที่ไหน นั่นฟังซิ เรียนจนกระทั่งจบถึงขั้นที่ว่า นิพพานธาตุ กิเลสพังลงไปแล้วไม่มีอะไร ในสามแดนโลกธาตุเท่าเส้นผมที่จะมาผ่านให้เป็นความทุกข์ไม่มี มีกิเลสเท่านั้นชี้นิ้วเลย พอกิเลสพังแล้วไม่มีอะไรเลย โล่งหมดเลย
นั่นอย่างนั้นนะท่านพ้นทุกข์ อ๋อพ้นอย่างนี้เอง พ้นทุกข์ ก็อยู่กับธาตุกับขันธ์ไปวันหนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วย ก็รู้ว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ตัวมันเองมันก็ไม่รู้ว่ามันเจ็บไข้ได้ป่วย เราไปรับทราบมันเฉยๆ แล้วเราไม่ติด เราก็เป็นเรา นั่น เมื่อถึงกาลเวลาแล้วมันก็พังลงไป นี่ก็ดีดออก หมดความรับผิดชอบ นั่น เท่านั้นเอง นี่จิตดวงนี้ตามให้ทันนะ
นี่แหละพุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอก สอนตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน คือตัวกิเลสมันจะพาให้เกิดไปอีกกี่กัปกี่กัลป์เหมือนที่เป็นมาแล้ว พอธรรมจับเข้าไปทันตัวมันแล้ว ฆ่าอันนี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว ตัดหมดอดีตเป็นมาแล้วไม่ยุ่ง ที่เป็นอนาคตไม่มีทางที่จะเป็นไปแล้ว ตัวให้พาเกิดพาตายคือตัวนี้ ฆ่าลงแหลกไม่มีเหลือแล้วดีดผึงเข้าใจไหมล่ะ เอาล่ะพอ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
" จิตเป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแลด้วยวิธีเก็บรักษาอย่างดี ควรสนใจร้บผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน วิธีควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือการภาวนา ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่ามีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน คือความคิดปรุงแต่งของจิตว่าคิดอะไรบ้าง มีสารประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่องหาโทษ ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิดถูกของตัวบ้างไหม พิจารณาสังขารภายนอกว่ามีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่ หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการ ให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่ เจ็บ ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน "
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
#โยม : มีคำกล่าวว่า #จิตสุดท้ายกำหนดชาติกำเนิด เรียนถามว่า ไม่ใช่ไปตามบาปบุญที่ทำหรือเจ้าคะ?
#พระอาจารย์ : บาปบุญนั่นแหละจะเป็นตัวกำหนด เป็นกรรมนิมิตขึ้นมา ถ้าในส่วนบุญ มันก็เป็นกรรมนิมิตในทางที่ดี ถ้าเป็นส่วนบาป มันก็เป็นกรรมนิมิตที่ไม่ดี คือสิ่งที่เศร้าหมองขุ่นมัว
เพราะว่าในขณะที่พวกเราสะสมบุญไว้ ปุพเพกตปุญญตา บุญที่เรากระทำสะสมมันจะเข้าไปครอบงำจิตใจ จิตใจของเราจะเบิกบานผ่องใส มันก็เบิกบานผ่องใส นับวันเราสะสมไป มันก็เบิกบานผ่องใสมาก ๆ เราคิดปรุงอะไรออกไป ก็เพราะความเบิกบานผ่องใส หรือตัวบุญมันจะผลักดันความคิด ผลักดันจิตเราไปติดไปตามความผ่องใส มันก็เป็นความคิดที่เบิกบานผ่องใสทั้งนั้นแหละ เป็นนิมิตที่ดี เพราะฉะนั้นมันไปมันก็ไปในสถานที่ดี เรียกว่าสุคติภพ ภพที่ดีคติที่งาม
แต่ถ้าในขณะที่เราสะสมบาป จิตเราก็เป็นผู้เก็บ จิตเราเป็นผู้รับ จิตมันก็เศร้าหมองขุ่นมัวไปเรื่อยด้วยอำนาจแห่งบาป เรามาพิจารณาดูง่าย ๆ ว่า เราเพียงแค่คิดว่าจะไปทำบาป หรือทำความชั่ว จิตเราเริ่มหมองแล้วนะ เริ่มไม่สบายอกไม่สบายใจ เริ่มหลุก ๆ หลิก ๆ กลัวคนอื่นจะเห็นกลัวคนอื่นจะรู้แล้วนะ
เห็นไหม พอเราไปทำสะสมเข้า ใจเราก็ไม่สบาย ทำแล้วระลึกถึงบาปนั้น ใจเราก็ยังเศร้าหมองขุ่นมัวไม่สบาย มันจะสะสมมา ๆ สะสมมาเหมือนกับเสื้อผ้าเราก็เพิ่มความสกปรกเข้าไปเรื่อย ๆ เพิ่มความสกปรกไปเรื่อย จนกระทั่งเสื้อผ้าเราสกปรกทั้งตัว เอาความสกปรกใส่เข้าไปอีก ไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าเราสกปรกอีก เพราะมันสกปรกซะจนเต็มเลย
จิตของเราเหมือนกัน พอเราทำความชั่วมันก็สะสมเข้าไป ๆ เป็นความเศร้าหมองๆ จนมันเต็มเขรอะอยู่ทั่วไปในจิต เราทำเนี่ยรู้สึกมันเฉย ๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย แต่มันเพิ่มพูนเข้าไป ๆ
เหมือนคนที่ไปทำความชั่ว สมมุติว่าคนที่ไปฆ่าคนอื่นเนี่ย โอ้ยเบื้องต้นใหม่ ๆ มันจะไปฆ่าเขา มือไม้มันสั่นจนจะเป็นลมเป็นแล้ง พอฆ่าไป ๆ มันสะสมเข้าไป ๆ จนไปฆ่าวันละ ๑๐ คน ยังไม่รู้สึกว่าฆ่าคนเลย เมื่อเริ่มต้นจะฆ่าเขา เพียงแค่จะฆ่า ยังไม่ได้ฆ่า มือไม้มันสั่นแล้ว แต่พอมันฆ่าไป ๆ ต่อไปฆ่าวันละ ๑๐ คนยังไม่รู้สึกตัวว่าฆ่าเลย
เห็นไหม เพราะมันสะสมเข้าไปเต็มจิตเต็มใจเป็นความเหี้ยมโหดโดยไม่รู้ตัวเลย ตอนนี้ความเหี้ยมโหดมันครอบงำจิต มันจะคิดไปในทางไหน มันก็คิดไปในทางเหี้ยมโหดอยู่ตลอดเวลา
แล้วมันจะเป็นสุคโตได้อย่างไร มันจะไปในสถานที่ดีได้อย่างไร เพราะฉะนั้น สิ่งที่สะสมไว้ มันจะเป็นตัวแยกให้ไป บุญหรือบาปเป็นตัวแยก
พระพุทธเจ้าพระองค์จึงทรงกล่าวว่า ชีวิตพวกเราสัตว์โลกมีความหยาบละเอียด ปราณีต แตกต่างกันด้วยอำนาจแห่งกรรมเป็นตัวจำแนก กรรมดีก็คือบุญ กรรมชั่วก็คือบาปนั่นเอง
บุญบาปเป็นตัวจำแนกแยกแยะให้พวกเราแตกต่างกัน แตกต่างมาตั้งแต่วันเกิดแล้ว จนกระทั่งถึงการดำเนินชีวิตก็แตกต่างกัน จนไปถึงภพชาติข้างหน้า มันก็แตกต่างกันอีก มันจำแนกไปเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้นพวกเราไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งความอยากเลย มันล้วนมีแต่มีกรรมเป็นตัวกำหนดให้พวกเรามาเกิด ถ้าเราเกิดได้ด้วยอำนาจแห่งความอยากแล้ว คนเราเกิดมาเหมือนกันทุกคนแหละ เพราะอยากเกิดมาสวยงาม อยากเกิดมาฉลาด อยากเกิดมาร่ำรวย
แล้วทำไมเกิดมาไม่เหมือนกันหละ เกิดมาในพ่อแม่เดียวกัน มันยังไม่เหมือนกันเลย แล้วนับประสาอะไร เกิดมาต่างพ่อต่างแม่ ก็เพราะมันสะสมบุญไม่เท่ากัน สะสมบาปมาไม่เท่ากันนี่เอง
เพราะฉะนั้นอย่าพากันประมาท เชื่อมั่นลงไปในบุญในบาปแล้ว เราจะไม่ไปในฝั่งบาปหรอก เราจะเดินเข้าไปในฝั่งบุญ ชีวิตของเราก็มีโอกาสเจริญก้าวหน้า
อดีตที่ผ่านมาเป็นของที่เราผ่านมาแล้ว เราไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ไม่ว่าบุญหรือบาป แต่เราทราบในปัจจุบันแล้วว่า บุญนั้นพาเราไปสู่ความสุข บาปนั้นพาเราไปสู่ความทุกข์
#เมื่อเรารู้ในปัจจุบันแล้ว #เราสร้างปัจจุบันให้ดี
อดีตเป็นของแก้ไขไม่ได้ ถ้ามันเป็นส่วนบาปนะ เหมือนกับอดีตเรามากู้หนี้เขา เขามาทวงเรา เราก็จำเป็นต้องใช้เขา แต่เรารู้แล้วมาปัจจุบันนี้ กู้หนี้เขามันไม่ดี สร้างหนี้มันไม่ดี แต่ฝากเงินต้นไว้มันดี มันแตกดอกแตกผล เราก็พยายามฝากเงินต้นไว้ ถ้าหากมันมีเจ้าหนี้มาทวงบ้าง เราก็ใช้เขาไปแล้วกัน
เห็นไหม เหมือนกับถ้าบาปมันเข้ามาเกาะกุมเรา มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ยอมรับมัน สิ่งใดมีเกิดมันก็ต้องมีดับ มันไม่ได้เกิดแล้วมันก็อยู่กับเราไปตลอด มันมีวันจบสิ้น เพราะฉะนั้นเราถึงคราวรับ เราก็ต้องอาจหาญในการรับ แต่จากนี้ไปเราจะไม่อาจหาญในการทำ
บุญบาปมันล้างกันไม่ได้หรอก บางลัทธิเขาสอนว่าล้างบาปได้ มันก็เพียงแค่พูดเท่านั้นแหละ ถ้าล้างบาปได้นะ ให้พระเจ้ารับบาปไป ตัวพระเจ้าคงเต็มไปด้วยบาป จมตกนรกหมกไหม้ไม่รู้ขุมอเวจีไหน แล้วจะมาช่วยคนอื่นได้หรือ ก็เมื่อทั้งหัวทั้งเท้าเต็มไปด้วยบาป แล้วจะไปช่วยใครได้
#บุญบาปมันเป็นของที่เราสะสมไว้ #ทำอะไรมันก็ได้อันนั้น
ท่านเปรียบเทียบบุญบาปเหมือนกับตาชั่งทอง ตาชั่งทองมันมีสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นทอง ฝั่งหนึ่งเป็นตะกั่ว ตอนนี้ฝั่งไหนมันมากกว่ามันก็ลงใช่ไหม เช่นว่าฝั่งทองมันมากกว่ามันก็ลง แต่ฝั่งที่มันขึ้นมันก็มีนะ ตะกั่วมันก็มี แต่มันเบากว่าฝั่งทอง มันก็ไม่สามารถลงได้
ตอนนี้เราเห็นคุณค่าของฝั่งทอง เปรียบเหมือนกับฝั่งทองเป็นบุญ ฝั่งตะกั่วเป็นบาป ถ้าเราได้สะสมบุญไว้มาก บุญมันก็ให้ผล ฝั่งบาปมันก็มีอยู่ แต่มันไม่สามารถให้ผล เพราะฝั่งบุญมันมากกว่า
ถ้าเราเห็นคุณค่าของบุญแล้ว แม้นทองมันลงบุญ บุญมันให้ผล เราก็ไม่ได้ประมาทนอนใจ เราก็สร้างบุญอยู่เรื่อย ๆ บุญก็เพิ่มพูนขึ้น ๆ แม้นบาปมันมีอยู่ ตะกั่วมันมีอยู่ มันก็ยังไม่สามารถลงได้
เราก็สะสมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราสามารถชำระจิตใจของเราให้หมดเชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว หมดสิ้นกัน อยู่เหนือบุญเหนือบาป มันเป็นอโหสิกรรม มันตามเราไม่ทัน มันไม่ใช่ว่าล้างบาปนะ แต่บาปมันเป็นอโหสิไปแล้วมันตามเราไม่ทัน เพราะเราอยู่เหนือบุญเหนือบาปแล้ว จบสิ้นของภพชาติแล้ว นี่คืออำนาจของบุญของบาป
แต่ถ้าหากเราไม่ใส่ใจในการสะสม ตอนนี้เราสุขสบาย เพราะรับผลของบุญ รับไป บุญมันก็จางไป ๆ แล้วก็ไม่ได้ทำเพิ่ม มันก็น้อยลง ๆ ต่อไปส่วนบาปมันหนักกว่ามันลงแล้วนะ
เพราะฉะนั้นชีวิตของปุถุชน เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวชั่ว เดี๋ยวสมหวัง เดี๋ยวผิดหวัง มันไปตามอำนาจของบุญของบาปอยู่อย่างนั้น
ช่วงไหนที่บุญมันมากกว่ามันก็ให้ผล ช่วงไหนบาปมันมากกว่ามันก็ให้ผล ถ้าเราเห็นคุณค่าของบุญ เห็นโทษของบาป เราก็ไม่ไปสร้างบาป
แม้ในขณะนี้เรารับบาปอยู่ ได้รับความทุกข์ความยาก ความลำบาก บีบคั้นด้วยอำนาจของบาป แต่เราก็ไม่ทำเพิ่ม เราก็พยายามสะสมบุญ สร้างบุญไว้ ต่อไปบุญมันมีอำนาจมากกว่า มันก็ลงแล้ว มันก็ให้ผล เราก็สุขไปเรื่อย ๆ ไป
เรื่องบุญเรื่องบาปมันเป็นตัวกำหนดให้พวกเราไปอย่างแน่นอน ปฎิเสธไม่ได้เลย เข้าใจนะข้อนี้
#พระอาจารย์สุธรรม #สุธัมโม
วันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒
"อย่าเสียดายที่ได้ให้
จงเสียใจที่หวงไว้
คนโง่กลัวจนจึงไม่ทำทาน
คนฉลาดกลัวจนจึงรีบทำทาน"
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
จะถอดกิเลสต้องพิจารณากายในกาย
"...จะถอดกิเลสนะมันต้องคิดพิจารณากายในกาย ตั้งแต่โสดาบันผล ถึงอนาคามีผล ตั้งแต่กายอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ๓ ระดับ กายอย่างหยาบก็โสดาบันผล กายอย่างกลางก็สกิทาคาผล กายอย่างละเอียดที่ละได้ก็อนาคามีผลนั้นล่ะ นี่แหละเป้าหมายของการพิจารณา กายในกายเนี่ย อันนี้เป็นทางที่ไม่ผิด ไม่เชื่อก็ลองทำดู แล้วจะเห็นประจักษ์ชัดด้วยใจของตนเอง รู้เห็นธรรมขึ้นมาก็ด้วยใจของตนเอง ใจจะเป็นธรรมขึ้นมาก็ด้วยพิจารณากายในกายนี่แหละ พิจารณาอารมณ์นั้น ปล่อยวางชั่วคราวเท่านั้นแหละ วันนี้ละรูปนี้ลงไป ละเสียงนี้ กลิ่นนี้ รสนี้ ออกไป พรุ่งนี้ รูปใหม่ รสใหม่ กลิ่นใหม่ สัมผัสใหม่ ไม่เหมือนเดิม สติปัญญาต้องทำงาน เหนื่อยเหมือนเดิมทุกๆ วัน ละวางได้แต่เพียงชั่วคราวเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ขุดรากถอนโคน รากเหง้าคืออุปาทานความยึดมั่นในกายตนแล้วเนี่ย อารมณ์ไม่มีทางระบาด..."
พระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตโต
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
เทศน์เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๑
เรื่องปฏิปทาที่เหมาะสม
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.