พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พุธ 16 มิ.ย. 2021 4:54 am
#ธรรมวัดป่าบ้านตาด
#ธรรมพระอาจารย์สุธรรม
"สร้างลูก สร้างหลาน สร้างคน ให้เป็นคนดี"
คนเราจะปลูกฝังให้เป็นคนดีได้ต้องปลูกฝังด้วย“ธรรมะ”
นั่นแหละจะเป็นคนดีได้อย่างแท้จริง
ถ้าไม่ปลูกฝังด้วยธรรมะแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นคนดีแต่ก็อาจเป็นคนดีจอมปลอม
เป็นคนดีเพียงหน้าฉาก แต่หลังฉากอาจจะเป็นคนเลวทรามก็ได้
แต่ถ้าปลูกฝังด้วยธรรมะแล้ว หน้าฉากมันก็จะเป็นคนดีหลังฉากก็จะเป็นคนดีด้วย
ดีสม่ำเสมอตลอด เพราะศีลธรรมเท่านั้นแหละที่จะปลูกฝังคนให้เป็นคนดี
ได้อย่างแท้จริง เมื่อเราสร้างลูกหลานของเราให้เป็นคนดีได้แล้ว
ต่อไปลูกหลานของเราก็จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและจะเป็นผู้ให้สังคมต่อไป
โอวาทธรรมคำสอนพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด
" ชีวิตเรานี้มันธรรมดานะ
อยู่ไปหลายวัน
สังขารก็แปรปรวนไป
ผลสุดท้ายก็แตกดับไป
เป็นธรรมดาของเขา
ของทุกอย่าง
ก็ต้องมีเกิดมีดับ
แม้แต่เห็ด เกิดมา
ไม่พอ ๒-๓วัน ก็เน่าตายไป
สัตว์ต่าง ๆ ก็มีมากมาย
เกิดแล้วตาย ๆ นับไม่ได้
คนเราอายุมากหน่อย
ก็ตาย น้อยก็ตาย
มันเป็นธรรมดาของสังขาร
แต่ความดี ความไม่ดี
มันติดแน่นอยู่ในจิตใจ
ตายแล้วมันก็แล้วนะ
ของภายนอก
แต่ของละเอียดนิ่มนวล
มันแทรกอยู่ในจิตวิญญาณ
มันนำไปให้ผลอยู่
หลายภพหลายชาติ อันนี้
ไม่สงสารตัวเองนะคนเรา "
โอวาทธรรม
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
" ทุกคนกำลังมีผลของ
กรรมดีและกรรมไม่ดีติด
ตามมา เป็นผลของเหตุ
ที่ได้ทำกันไว้ในอดีตชาติ
ที่สลับซับซ้อนนับไม่ได้
ลองนึกถึงภาพของรถ
บรรทุกขนาดใหญ่กำลัง
แล่นไล่ทับเราอยู่ ขณะ
เดียวกันก็มีรถบรรทุก
แก้วแหวนเงินทองคันใหญ่
กำลังแล่นตามเพื่อจะยก
แก้วแหวนเงินทองเหล่านั้น
ให้เราด้วย
รถทั้งสองคันนั้นกำลังขับ
แซงกันอย่างรวดเร็ว ผลัด
กันนำผลัดกันตาม นึกภาพ
นี้แล้วก็นึกถึงตนเอง ว่ายังมี
ใจที่จะต้องการแก้วแหวน
เงินทองหรือ ยังมีใจอยากได้
อะไรอีกหรือ ในเมื่อรถล่า
ชีวิตกำลังขับตะบึงติดตาม
มาอย่างมุ่งมาดปรารถนา
ตัวเราเป็นเป้าหมาย
กรรมไม่ดี กำลังตามส่งผล
แก่เราทุกคนแน่นอน เปรียบ
ผลไม่ดีนั้นดังรถบรรทุกที่
กำลังตะบึงไล่กวดเราอยู่จริงๆ
ที่ยังไม่บดขยี้เราก็เพราะ
กรรมปัจจุบันของเราที่เรา
กำลังกระทำกันอยู่ อาจจะ
มีแรงพาเราหนีไปได้ทัน
จะอย่างหวุดหวิดน่าเสียวไส้
เพียงไร เราผู้ไม่มีตาพิเศษ
ก็หารู้ไม่ กรรมดีเท่านั้นที่เป็น
แรงพาเราวิ่งหนีกรรมไม่ดี
ที่กำลังส่งผลติดตามเรา
อยู่ในขณะนี้ "
พระคติธรรม
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร
#ปัญหาไม่ได้อยู่ที่โลก
“การรู้เรื่องรูป จิตมันเป็นผู้รู้ ไม่ใช่ตาเป็นผู้รู้ แต่จิตมันอาศัยตา เป็นเหมือนหน้าต่างเข้ามา เหมือนสะพานทอดเข้ามา ถ้าตาเราไม่ดีเหมือนคนตาบอด แต่จิตมันดี แต่มันไม่มีเครื่องมือรับรูป แม้มีรูปอยู่ แต่มันก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นมันต้องประกอบกันว่าตานี่ดีและจิตมันใช้ตา มันก็รับรู้ถึงรูป
จิตใช้หูรับเรื่องเสียง ถ้าหูเราดี แต่จิตเราไปเหม่อลอย ใครมาพูดตะโกนใส่ มันก็ไม่ได้ยิน แต่จิตมันใช้หู มาซุบซิบมันยังได้ยินเลย เพราะจิตมันเป็นผู้รับรู้ รับรู้ในเสียง ไม่ใช่หูรับรู้เรื่องเสียง หูมันไม่ได้รับรู้หรอก แต่หูมันเป็นช่องทาง เป็นสะพานเข้ามาหาจิต รับเสียงเข้ามาหาจิต
จิตอาศัยลิ้นรับรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม
จิตอาศัยจมูก รับกลิ่นเข้ามา
จิตอาศัยกาย รับเย็น ร้อน อ่อน แข็งเข้ามา
จิตอาศัยสมอง รับความคิดเข้ามา สมมุติว่าจิตเราดี แต่สมองเสื่อม เช่นพวกอัลไซเมอร์ หรือพวกปัญญาอ่อน จะคิดได้ไหมละ มันคิดไม่ได้ สมองเราดีแต่จิตมันไม่ไปใช้ มันก็ไม่มีความคิดอะไร มีแต่เฉย ๆ ทื่อ ๆ หัวหลักหัวตอ เพราะฉะนั้น จิตมันต้องใช้สมองพร้อมกับที่สมองมันสมบูรณ์ มันก็คิดเป็นเรื่องเป็นราวได้
เพราะความคิดมันออกมาจากจิต ไม่ใช่ออกมาจากสมอง แต่จิตมันใช้สมองเป็นเครื่องมือรับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ พอจิตมันใช้สมองมาคิดปรุงเป็นเรื่องเป็นราว เรียกว่า ธรรมารมณ์ จิตเป็นผู้รับทราบ จิตเป็นผู้รับรู้ เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ พอจิตมันสัมผัส จิตเกี่ยวข้องกับกาย มันสัมผัส มันจะมีขันธ์ต่าง ๆ ที่เป็นผู้รับ จิตใช้ตาสัมผัสรูป พอสัมผัสรูปปุ้บ จิตมันรับทราบ พอรับปั๊บ มันจะส่งไปให้สัญญา ความจำได้หมายรู้ จำได้ว่านี่คือคน นี่คือหญิง นี่คือชาย มันจำได้ทันที พอจำได้ปุ๊บ สังขารความนึกคิดปรุงแต่งมันก็ปรุงเลย สวย ขี้เหร่ น่ารัก น่าเกลียด มันก็ปรุงไป พอสังขารปรุงไป เวทนาก็รับเลย ถ้าปรุงไปในทางว่าสวย มันก็มีความสุข ชอบ ปรุงไปในทางขี้เหร่ มันก็เป็นทุกข์ เศร้าหมอง มันก็รับกันมาทันที นี่คืออาการของมัน
จริง ๆ แล้ว อาการทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นอาการของจิตกับกายมาเกี่ยวข้องกัน มันไม่ใช่ตัวจิต เหมือนกับแม่เหล็กกับเหล็ก พอมาเกี่ยวข้องกัน มันมีอาการดึงดูด ถ้าแม่เหล็กอยู่เฉพาะแม่เหล็ก มันจะไม่มีอะไรเลย แต่พอมาเกี่ยวข้องปุ๊บ มันมีอาการดึงดูด จิตมาเกี่ยวข้องกับกาย มาเกี่ยวข้องกับกายปุ๊บ มันมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังที่กล่าวมา ที่นี้พวกเราไปยึด เอาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นเรา พอเป็นเรา เราก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้น ต้องการให้เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนี้ แต่เขาไม่รู้ ว่าเราต้องการหรือไม่ต้องการ เขาเป็นอย่างไร เขาก็เป็นอย่างนั้น พอมันไม่เป็นดังที่ต้องการ เรานี่แหละเป็นทุกข์ ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นเป็นทุกข์
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนออกมาจากจิตดวงเดียวเท่านั้น ท่านจึงบอกให้มาอบรมจิตของเรา กระบวนการมันอยู่ตรงนี้ อยู่ที่จิตดวงเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น โลกทั้งโลกไม่มีอะไรเป็นปัญหาเลยนะ พอเกิดเขาก็เกิด พอดับเขาก็ดับ แต่ปัญหามันอยู่ที่จิตเท่านั้น จิตมันเสกสรรปั้นแต่งให้เขา แล้วก็ไปยึดเอาสิ่งที่ตัวเองเสกสรรปั้นแต่ง ไปตั้งความปรารถนา ปรารถนาอย่างนั้น ไม่ปรารถนาอย่างนี้
ถามดูจริง ๆ แล้ว จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส มันมีไหม มันไม่มี มันมีแต่มืดกับสว่าง มันจะมีอะไร มันจะรู้เรื่องอะไร มืด สว่าง มันจะรู้เรื่องอะไร จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส เกิดจากพวกเราสมมุติกัน สมมุติเพื่อมาสื่อความหมายให้ได้ประโยชน์จากมัน ว่าจันทร์ถึงศุกร์ ไปทำงานนะ เสาร์ อาทิตย์ หยุดทำงานพักผ่อน มืด สว่าง ช่วงนี้หยุดนะ มันก็สื่อกันได้ แต่ตอนนี้ มันก็สมมุติกันไปเรื่อย สมมุติแล้วก็ไปยึดเอา จันทร์โลกาวินาศ อังคารธงชัยอธิบดี วันนี้โลกาวินาศ วันนี้ไปทำอะไรไม่ได้ เขาบอกไปสมัครงานไม่ได้ เป็นวันโลกาวินาศ ก็ไม่ยอมไป พอพรุ่งนี้ไปเขาเลิกรับสมัครแล้ว ก็ตกงานเลย แล้ววันมันจะเดือดร้อนอะไร คนเดือดร้อนก็คือเรา ใช่ไหม มันเป็นบ้าสมมุติใช่ไหม มันจะมีอะไร ธงชัย โลกาวินาศ อธิบดี มันไม่ได้รู้เรื่องสักอย่างนึง มันรู้แต่ว่ามืดกับสว่าง เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านว่า “สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง” ฤกษ์ดียามดีอยู่ที่การทำดีของพวกเรา เราทำดี พูดดี คิดดี นั่นแหละฤกษ์ดี ยามดี ดวงดาวหรือจะมาทำอะไรเราได้ ไม่ใช่ไปยึดเอาแต่โคมลอย จนเสียประโยชน์ส่วนตน ให้พากันคิดใหม่นะ
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราย้อนกลับมาถึงวิมุตติ วิมุตติหลุดพ้นจากสมมุติ เพราะมันออกไปจากตัวนี้ ตัวจิตไปสมมุติ แล้วก็ไปยึดเอาสมมุติต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ตั้งแต่สมมุติว่าตัวเรา คำว่าอัตตาตัวเรา แล้วก็ไปยึด ยึดอัตตาตัวเรา พอตัวเรายึดว่าต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้ ตัวเราก็มีของเรา ของเราต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้ ไม่ต้องการอย่างนั้น ไม่ต้องการอย่างนี้ แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เขาไม่รู้สึกเลยว่าเป็นของเรา เขาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น พอมันไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา เรานี่แหละทุกข์ ลองย้อนกลับเข้ามาสิ ย้อนกลับเข้ามาที่ตัวเราไปเสกสรรปั้นแต่ง พอย้อนเข้ามาไปเห็นตามสภาพความจริง มันวางทุกอย่าง พอวางแล้วก็อยู่กับความจริงล้วน ๆ
คำว่าสมมุตินี่ มันสมมุติเพื่อประโยชน์ ไม่ใช่ไปยึดติดในสมมุติให้เสียประโยชน์ ไม่ใช่วางหมด มันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องให้เข้าใจนะ
พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
สนทนาธรรมกับญาติโยม ณ วัดป่าบ้านตาด
วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓
#คำว่าเป็นสมาธิก็คือจิตแน่นหนามั่นคง #จนถึงกับความรู้เด่นอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเช่นนั้นแล้วคำบริกรรมนั้นก็เริ่มจะหมดความจำเป็นเข้าไป โดยที่เจ้าตัวก็ทราบเองเพราะมีจุดความรู้เด่น แล้วก็ยึดเอาจุดนั้นเป็นที่เกาะ เช่นเดียวกับเราอาศัยคำบริกรรมเป็นที่เกาะในเบื้องต้นนั้นแล
#เมื่อจิตได้รับความสงบแล้วย่อมละเอียด
เราจะบริกรรมหรือไม่บริกรรมความรู้ก็เด่นอยู่ในจุดเดียวนั้น คำบริกรรมก็กลมกลืนเป็นอันเดียวกันกับความรู้นั้นเสีย นั่นละที่ว่าหมดความจำเป็นไปหมดด้วยความเข้าใจในตัวเอง นี่ในภาคสมถะท่านก็สอนไว้อย่างกว้างขวางโดยยกกรรมฐาน ๔๐ ห้องไว้เป็นหลักเกณฑ์เลย
#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน
ถ้าไม่ได้ไปพระนิพพาน. มันก็เกิดอยู่อย่างนี้. ตายอยู่อย่างนี้แหละเรา.
หลวงปู่บุญจันทร์ สีลคุโณ
"การอยู่ในโลกนี้ เหมือนอยู่ในกองไฟ
และเหมือนอยู่ในคุกตะราง ให้รีบเร่ง
แสวงหาทางออกเสมอ อย่าได้นิ่งนอนใจ
และหลงยินดีเพลิดเพลินอยู่"
ครูบาเจ้าพรหมา พรหมจกฺโก
"การเคารพพระพุทธเจ้า
เขาไม่ได้ดูกันที่ปาก เขาดูกันที่ศีล"
พระราชพรหมญาณ (วีระ ถาวโร)
"กัลยาณมิตร หาได้ไม่ง่าย หาไม่ได้สำหรับคนทั่วไป
ไม่ใช่ภริยาทุกคน เป็นกัลยาณมิตรของสามี
ไม่ใช่สามีทุกคน เป็นกัลยาณมิตรของภรรยา
ไม่ใช่เพื่อนทุกคน เป็นกัลยาณมิตรของกัน และกัน
ผู้เป็นกัลยาณมิตรนั้น มีคุณสมบัติเป็นหลักสำคัญที่สุด
คือ ความดี มีคุณธรรมประจำใจ พร้อมด้วยสติ
และปัญญา
ภรรยา สามี บุตรธิดา และมิตรสหาย หรือผู้หนึ่งผู้ใด
ที่ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวมา จึงไม่อาจเป็นกัลยาณมิตรได้"
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.