นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 6:55 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความอยาก
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 20 มิ.ย. 2021 5:30 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
#ทำศีลห้าให้บริสุทธิ์

"..สมัยที่หลวงปู่ไปอยู่กับหลวงปู่หนองแซง เดินบิณฑบาตตามท่านไป ท่านไม่พูดนะ พระปฏิบัติท่านไม่พูดไม่คุย พระแต่ก่อนท่านเดินนิ่งภาวนาไป ตาในท่านมองเห็นพวกเราเป็นร่างกระดูกทั้งร่าง ไปถึงวัดท่านว่า โอ้ย!!! คนมานี้ มีแต่ร่างกระดูก นี่คือตาใน ต้องสร้างตรงนี้ ทำศีลห้าให้บริสุทธิ์ เมื่อสมบูรณ์แล้ว ตาในจึงจะเกิดขึ้น ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย เราเป็นฆราวาส ห้าตัวนี้พอแล้ว ไม่ต้องไปขอกับพระ ให้สังวรณ์ระวัง สิ่งที่ทำผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องคำนึง นับแต่วันนี้ต่อไปจะสังวรณ์ระวังให้สะอาด ไม่มีใครช่วยเราได้เวลาเราจะตาย มีเราตัวคนเดียว ผัวก็ไม่ได้ เมียก็ไม่ได้ ลูกก็ไม่ได้ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน..."

โอวาทธรรม
หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร
วัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ









...ทุกวันพอตื่นขึ้นมา ก็เอาคำถามนี้
ขึ้นมาตั้งเป็นโจทย์ก่อนเลย

.
วันเวลาผ่านไป... อีกวันหนึ่งแล้ว
ชีวิตเราสั้นลงไป... อีกวันหนึ่งแล้ว
เวลาที่เราจะ... เหลืออยู่ในโลกนี้
ก็น้อยลงไป...อีกวันหนึ่งแล้ว

“วันนี้เราจะไปทำอะไรกัน?”

.
เรากำลังไปทำตามความอยากทั้งสาม
ไปหาความสุขจาก ลาภ ยศ สรรเสริญ
จากรูป เสียง กลิ่น รส ต่างๆอยู่

.หรือว่า ..
“ เรากำลังไปทำบุญ ทำทาน
ไปรักษาศีล ไปบำเพ็ญภาวนา
ปฎิบัติธรรม”.
.......................................
ธรรมะหน้ากุฎิ
17 มิถุนายน 2563
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








"ตัณหารักเมีย เปรียบเหมือนเชือกผูกคอ
ตัณหารักลูกรักหลาน เปรียบเหมือนปอผูกศอก
ตัณหารักวัตถุข้าวของต่างๆ เปรียบเหมือนปลอกผูกตีน
สมบัติพัสถานต่างๆ ที่สร้างสมไว้ เมื่อตายลง
ไม่เห็นมีใครหาบหามไปได้เลยสักคนเดียว
มีแต่คุณงามความดี กับความชั่วเท่านั้น ที่ติดตัวไป"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร









ธรรมมะหลวงพ่อฉลวย อาภาธโร
ต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา

การยึดมั่นในขันธ์คือทุกข์

วิญญาณไม่มีตัวตน เมื่อวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างกายสังขาร เลยยึดเอาว่าเป็นตัวเรา เพราะยึดในสังขาร ขันธ์ทั้ง 5 นี้ ว่าเป็นเรา มันก็เลยเจอทุกข์ร่ำไป

ที่ยังละไม่ได้แม้จะเจอทุกข์ เพราะไม่เห็นโทษ มองว่าที่มันเป็นอย่างนี้มันเป็นธรรมชาติ อวิชชามันปิดกั้น มันก็พาเจอทุกข์ให้พาเกิดพาตายร่ำไป

ให้มองดู เห็นตามความจริงว่าขันธ์ทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นเราเลย ให้รู้ว่าอีกไม่นานเราก็จะตายแล้ว สังขารนี้มันไม่เคยเป็นห่วงเรา ถึงเวลามันจะต้องนอนตายแน่นอน แล้วเราจะไปยึดไปห่วงมันทำไม

ลูกเมีย สมบัติข้าวของทั้งหลายที่เรามีอยู่ตายไปแล้วมันเอาไปไม่ได้เช่นกัน คำว่าลูกเมียนั้น ทางธรรมถือว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตาย เพราะตายไปแล้ว เกิดใหม่ก็มีคนใหม่ ครอบครัวใหม่ มันจำกันไม่ได้ มันเป็นครอบครัวเป็นลูกเป็นเมียตรงใหน

นอกจากนั้นเกิดมาแล้วต้องแบกธาตุแบกขันธ์ ต้องพามันกิน พามันหลับนอน ขับถ่าย ไม่สบายก็ต้อรักษาล้วน แต่เป็นทุกข์ทั้งนั้น

แล้วจะเกิดมาอีกทำไม ให้มันทุกข์ให้มันยาก ทำไมจึงไม่หาทางหนีจากมัน เมื่อเข้าใจ มีปัญญาเห็นตามจริงอย่างนี้ ก็หาทางละ

โดยมองว่าเดี๋ยวเราก็จะตายแล้ว เราเกิดมาเพื่อสร้าง บารมี ไม่ใช่เกิดมาเพื่อหาอยู่หากิน เพริดเพลินสนุกสนานหาสาระไม่ได้ ตายไปเปล่าๆ เสียเวลา เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ได้ประโยชน์อะไร

ให้รู้ว่าร่างกายนี้ มันอยู่ได้เพราะบุญรักษา หมดบุญวิญญาณก็อาศัยอยู่ไม่ได้ มันจะทิ้งเราไป

ถ้าเราไม่เร่งทำตอนยังมีชีวิตอยู่ ตอนตายไปเราทำไม่ได้ เพราะไม่มีร่างกายให้เราทำ ถึงเวลานั้นเราได้แต่เสวยอย่างเดียว ถ้ามีบุญก็ไปสู่สุขติ ถ้ามีปาบต้องรับปาบให้พบกับความลำบากความทุกข์ทรมานไม่มีใครช่วยเหลือใครได้

ท่านจึงให้หาวิธีการออกจากทุกข์ โดยให้ละ ในการยึดขันธ์ทั้ง5 ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย ละความอยาก มองว่ามันไม่ใช่เรา รูปสักว่ารูป รูปนี้ไม่เรา เวทนาสักว่าเวทนา มันไม่ใช่เรา ต่อให้มันจะปวดแต่ใหน ก็ไม่ใช่เรา

เมื่อเวทนาความปวดเกิดขึ้นมากๆตอนนั่งสมาธิ ใจเราปล่อยวางไม่ได้ เราจะขาดสติ เราจะทนไม่ได้ ต้องสลับขาหรือออกจากสมาธิไปเลย ชึ่งเท่ากันว่าใจเรายังไม่ผ่านเวทนาไม่ได้

ดังนั้น ทุกข์เกิดขึ้น เราต้องกำหนดรู้ ไม่ใช้มีไว้แบกไว้ยึด ให้เข้าใจว่าทุกข์มันเป็นธรรมชาติมัน มันไม่รู้ว่าตัวมันปวดมันทุกข์ แล้วเราจะไปยึดมาทำไม ถ้าเราไม่ยึด เราก็ไม่ทุกข์

และมีแต่วิญญาณรับปวด เราคือตัวรู้ ไม่รับความปวด รู้อย่างเดียว จิตเดิมเราคือตัวรู้ และมีธรรมชาติอ่อนไหวง่าย อะไรมากกระทบก็จะไปตามนี่ เช่น ตามรูปเห็นรูปสวยก็พอใจ เสียงไพเราะก็พอใจ เสียงไม่รื่นหูสำผัสก็ไม่พอใจ

เพราะยินดี ยินร้าย พอใจไม่พอใจ ไม่เห็นโทษภัย เราเลยละ ปล่อยวางไม่ได้ ยังวางไม่ได้ก็เลยทุกข์ เลยนอนตายอยู่ในกองกิเลส

เราจะไม่ยอมตายในกองกิเลส จะไม่ตายแล้ว ตายช้ำ ตายมาภพชาติไม่ถ้วน ถ้าเอากระดูกเราในแต่จะชาติมารวมกัน มันจะสูงกว่าภูเขาลูกใหญ่ๆเสียอีก ดังนั้นถ้าเราไม่แก้มันจะพาเกิดพาตาย ให้ทุกข์ทรมานอีกนับภพชาติไม่ถ้วน

การออกจากทุกข์นั้น .เราต้องเลือกคบนักปราชญ์จะแนะนำเราได้ เพื่อช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้

ท่านสอนว่า การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เฉพาะเวลาช่วงเช้ากับเย็นตอนทำวัตเท่านั้นเพรากิเลสมันไม่มีเวลาถ้าเรามัวรอแต่ทำเข้ากับเย็นมันก็ไม่ทันกิเลส

เมื่อออกจากการปฏิบัติธรรมแล้วเรา ให้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา อะไรที่เกิดขึ้นในใจก็รู้ เวทนาความปวดเกิดขึ้นก็รู้ สัญญาความจำต่างๆเกิดขึ้นก็รู้ สังขารความคิดเกิดขึ้นก็รู้ วิญญาณความรู้สึกต่างๆก็รู้ รู้ว่าน่าเวทนาเกิดขึ้นแล้ว รู้ว่านี้ความคิดสังขารเกิดขึ้นแล้ว รู้อยู่กับปัจจุบัน รู้ว่านี้กาย นี้เวทนา นี้สัญญา นี้สังขาร นี้วิญญาณ ไม่ส่งจิตออกไปคิดข้างนอก ให้หมุนดูแต่กายกับใจเรานี้ ที่มันแสดงออกมา ให้เราพิจารณาไปเรื่อยๆอยู่กับกายและธรรมที่มันแสดงต่อกัน จนกว่ามันจะสงบจิตมันจึงจะตื่น

นอกจากนั้น ต้องรักษาใจแล้ว ท่านยังไม่ให้ทำปาบเพิ่ม เพราะรู้แล้วทำบุญได้บุญทำปาบได้ปาบ เราต้องเคลียร์ของเก่า กรรมเก่าที่เราทำมาแล้วตั้งแต่อดีตอย่างเดียว เราจะไม่ทำกรรมใหม่เพิ่ม เพราะถ้าทำกรรมใหม่เพิ่ม เมื่อไรกรรมมันจะหมดมันถึงจะพ้นทุกข์ได้

เมื่อมีสติรูตัวตลอดเวลา มีอะไรมากะทบก็รู้ทัน ไม่หวั่นไหว มองว่าเป็นธรรมดาของมัน มันจะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยและดับเมื่อเหตุปัจจัยหมด เราจะไม่ยอมให้กิเลสมันแทรกเข้ามาทำให้เราทุกข์ใจไดั

เราจะได้ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่ห่วงหาอาลัยอาวรณ์ในสิ่งที่มันมีมันเป็น

ให้ใช้ร่างกายนี้เป็นที่ต่อสู้ระหว่างกิเลสกับธรรม เมื่อเรามีสติรู้ตลอดเวลา มีใจเข้มแข็ง เมื่อความคิดเกิดจะดับของมันจะไม่วิจารณ์ต่อคือจะไม่ปรุงแต่ง ทำให้กิเลสแทรกไม่ได้

เรารู้อย่างเดียว ไม่ไปรับความทุกข์ อารมณ์ต่างๆเข้ามาใส่ใจ พยายามปฎิบัติโดยทำความสงบให้เกิดขึ้น ทำแสงสว่างให้เกิดขึ้น ทำปัญญาให้เกิดขึ้น ให้เห็นเหตุแห่งทุกข์คือการยึดมั่นในขันธ์5 และให้ดับรูปและอัตตาตัวตน ทั้งหลาย ดับเวทนา ดับสัญญา ดับสังขาร ดับวิญญาณ เพื่อให้หลุดจากการยึดมั่นถือมั่น เพื่อออกจากทุกข์

เรียบเรียงตามสัญญาความจำหมายจากธรรมที่ท่านแสดง หากคลาดเคลื่อนไม่สมบูรณ์ ขอขมากรรมกับพระธรรม หลวงพ่อ ด้วยความนอบน้อมอย่างสูง สาธุ

ศิษย์วัดโคกปราสาท
โอวาทธรรมหลวงพ่อฉลวย อาภาธโร







จิตเวลาคนตายแล้วว่าสูญ มันสูญไปไหน เอาภาคปฏิบัติเข้าไปจับซิ อย่าพูดตามกลมายาของกิเลสปิดหูปิดตาซิ กิเลสมันบอกว่าตายแล้วสูญ นั่น มันปิดไว้อย่างมิดชิดแล้ว กิเลสตัวพาให้สัตว์เกิดตายนั้นสูญไปไหน ทำไมไม่ย้อนศรแทงมันบ้างถ้าอยากรู้กลหลอกของมัน มันพาสัตว์โลกให้จมอยู่ในวัฏสงสารนี้ มันสูญไปไหนกิเลสน่ะ และกิเลสบังคับอะไรถ้าไม่บังคับจิต จิตเมื่อมันสูญไปแล้วกิเลสบังคับได้ยังไง มันไม่สูญน่ะซิมันถึงบังคับให้เกิดแก่เจ็บตายได้เรื่อยมาเรื่อยไปไม่หยุดไม่ถอย ทำไมเราจะไปหลงกลมายาของกิเลสว่าตายแล้วสูญๆ ไม่สะดุดใจเห็นโทษกลหลอกของมันบ้าง กิเลสตัวแสบนี้เคยหลอกสัตว์โลกให้หลงและงมทุกข์มานานแสนนานแล้ว

พิจารณาให้ถึงความจริงซิ อะไรสูญไม่สูญก็ให้รู้ นี่จึงเรียกว่านักธรรมะ นักค้นคว้าพิจารณาให้ถึงความจริง ดังพระพุทธเจ้าที่ประกาศสอนธรรม ท่านประกาศสอนด้วยความจริง ท่านทรงปฏิบัติแล้ว ทั้งเหตุก็สมบูรณ์เต็มที่ จึงได้ผลเป็นที่พอพระทัยแล้วนำธรรมนี้ออกสอนโลก ท่านสอนไว้ที่ตรงไหนว่าสัตว์ทั้งหลายตายแล้วสูญ อยู่ที่ตรงไหน มีแต่ว่าเกิดแก่เจ็บตายๆ อยู่อย่างนั้น ท่านสอนไว้เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ค้านกัน เพราะรู้อย่างเดียวกันเห็นจริงอย่างเดียวกันตามหลักความจริงนั้นๆ จะลบให้สูญได้อย่างไรเมื่อเป็นความจริงเต็มส่วนอยู่แล้ว

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน









#​ ทำความสะอาดวัด​ #

ผู้​ถาม​ :: กราบเท้าหลวงพ่อ​ที่เคารพ​อย่างสูง​ คือว่าลูก​ปกติ​เวลา​ไป​ วัดท่าซุง​ ก็​จะ​ช่วยงานแผนกโยธา​ โดย​เฉพาะ​อย่างยิ่งได้อยู่ที่ศาลาหลวงปู่​ 5 พระองค์​ ขณะทำความสะอาด​ ก็​ปรากฏ​ว่า​ บางทีก็​มี​เศษ​ทองคํา​เปลวที่ตกลงมาบ้าง​ ก็​กวาดทิ้งขยะไป​ ก็​เกิดความไม่สบายใจว่า​ เอ๊ะ! อย่างนี้ลูกต้องไปชำระหนี้สงฆ์​หรือเปล่า​เจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ​ :: ก็​ไม่จำเป็น​นะ​ ไม่จำเป็น​ต้อง​ชำระ​หนี้​สงฆ์​ เพราะ​มัน​หล่นมาแล้ว​นี่​ กวาดไปไม่เป็น​ไรนะ​ เพราะ​ถือว่า​เป็น​ของที่ต้องทิ้ง

ผู้​ถาม​ :: และ​อีกอย่างเจตนา​ที่ทำก็...

หลวงพ่อ​ :: ไม่มีเจตนา​ร้าย

ผู้​ถาม​ :: แสดงว่าไม่มีโทษ​นะครับ

หลวงพ่อ​ :: ไม่มีโทษ​มีแต่คุณ​ อานิสงส์​คือว่า​ ถ้า​ไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าจะสวยที่สุด

ผู้​ถาม​ :: ทำนิดๆหน่อยๆ​ แค่นั้นเองหรือครับ

หลวงพ่อ​ :: อย่าลืมนะว่าทำความสะอาด​ อย่าลืมว่าเป็น​อานิสงส์​ ถ้า​เกิดเป็​นคนก็สวยมาก​ ถ้าเป็น​หญิงนะ​ ประกวดนางงามจักรวาล​ได้เลย แต่เขาจะเอาหรือไม่เอาก็ไม่รู้​ (หัวเราะ)

ผู้​ถาม​ :: อ๋อ... พวกทำความสะอาดนี่​ เป็น​เหตุ​ทำให้สวย​ แล้ว​ถ้า​เป็น​ผู้ชาย​ล่ะครับ

หลวงพ่อ​ :: ผู้​ชายก็สวย

ผู้​ถาม​ :: ผู้​หญิง​ก็สวย​ ชายก็สวย​ อย่าง​นี้งานวัดก็แย่งกันกวาดเลยครับ

หลวงพ่อ​ :: นี่... อย่ากวาดจนกุฏิพังนะ

จาก​หนังสือ​ ธัม​วิโมกข์​ ปี​ที่​ 42 ฉบับ​ที่​ 480​ เดือน​ มีนาคม​ พ.ศ. 2564 หน้า​ที่​ 107
โดย...พระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อ​ฤาษีลิง​ดำ)
วัดท่าซุง​ อ.เมือง​ จ.อุทัย​ธานี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 72 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO