นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 12:32 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: รวบรวมความดี
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 29 มิ.ย. 2021 9:29 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
"เรือนเป็นที่พักนอน ใจเป็นที่พักอารมณ์ที่มันยุ่งเหยิงวุ่นวายตั้งแต่ตื่นนอนถึงค่ำ มาพักเอาเวลาภาวนาพุทโธ ๆ นั้นแหละ จิตใจของเราก็จะชุ่มเย็นไป นี่เรียกว่าเราสร้างเรือนใจให้เรา เรือนกายนั้นมีด้วยกันทุกคน ไม่ว่าบ้านนอกในเมือง ในป่าในเขา มีบ้านมีเรือนเป็นที่พักกายหลับนอนได้ทั้งนั้น แต่เรือนใจคือศีลคือธรรมไม่ค่อยมีกัน และไม่มีกัน นี่ล่ะอันนี้เสียมากนะ ใจให้ได้ทานการกุศลเป็นเรือนใจ ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งก็ใส่บาตรพระเสีย ไม่ได้มาก ได้น้อยได้เท่าไรก็เอา นี่เป็นเครื่องหมายของเรือนใจ"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๒๕ มกราคม ๒๕๔๖









“ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ว่า เรือนกายนี้เป็นอสุภะ เป็นของปฏิกูล เป็นของโสโครก เป็นของน่ารังเกียจ ไม่ว่าจะรูปร่าง สีสัน หรือกลิ่นก็ตาม ล้วนเป็นของน่าสะอิดสะเอียน เราลองมาพิจารณาดูว่าเป็นจริงดังที่พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวหรือไม่ เราก็ลองกำหนดดู กำหนดลงไปในเรือนกายของเรา ตามสภาพแท้จริงของมัน

นับตั้งแต่เบื้องต้นตื่นนอนมา เราก็พยายามชำระสะสางตกแต่ง ไม่ว่าจะมีสีสันอะไรที่สวยงาม เราก็เอามาตกแต่ง เอามาเขียนมาย้อมมาทา กลิ่นอะไรที่หอม ก็เอามาประพรม ให้มันสวยงาม ให้น่ารักน่าพอใจ แต่แม้พวกเราจะพากันตกแต่งชำระ สิ่งที่เล็ดลอดออกมาจากสิ่งที่เราพากันชำระพากันตกแต่งนั้น เราตกแต่งมันอย่างไรก็ตาม มันก็ยังพลอยเล็ดลอดออกมาในสภาพของความเป็นสิ่งน่ารังเกียจ น่าสะอิดสะเอียน ไม่ว่ากลิ่น ไม่ว่ารูปลักษณะ ก็ปลิ้นปล้อนออกมาในทางน่าขยะแขยงเรื่อยไป หนักไปเรื่อย ถ้าพวกเราไม่ชำระ ไม่ตกแต่ง สภาพจริงแท้จะเป็นอย่างไร ขนาดเราตกแต่งชำระยังเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าเราไม่ชำระไม่ตกแต่งจะเป็นอย่างไร

เราลองมาพิจารณาดู กลิ่นจะเป็นยังไง เพียงแค่อ้าปากขึ้นมา จมูกก็จะหักทั้งนั้น ซึ่งสภาพความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้กันทุกคน ไม่ว่าหญิงไม่ว่าชาย จะต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน เราพิจารณาตามสภาพความเป็นจริงของมัน อย่าปล่อยให้โมหะครอบงำไป เราเจาะไปตามสภาพความเป็นจริงของมัน ดูเข้าไป พิจารณาเข้าไป จนกระทั่งสภาพที่แปรเปลี่ยนไปตามวัยจนหมดลมหายใจหล่อเลี้ยง ขนาดมีลมหายใจหล่อเลี้ยง มันยังแสดงความเป็นอสุภะอยู่ทุกวันทุกคืน ไม่เลือกเด็กเล็กเด็กน้อยหนุ่มสาวเฒ่าแก่ มันก็แสดงอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่มีการชำระสะสางอยู่ตลอดเวลา และเมื่อหมดลมหายใจหล่อเลี้ยงสักสามวันเจ็ดวัน เราดูสภาพความจริงมันจะเป็นอย่างไร

สภาพเรือนกายที่ไม่มีลมหายใจหล่อเลี้ยงนั้น เราสำรวจลงไปตามสภาพความเป็นจริง ดวงตาที่เราว่าเคยมีความใสเยิ้ม น่ารักน่ายินดี มันจะแปรเปลี่ยนไปในทางขุ่นมัว จนกระทั่งเหลือกถลนออกมา หนังตาที่เคยปิดบังไว้ก็จะไม่สามารถปิดบังไว้ได้อีกต่อไป จะเหลือกถลนออกมานอกหนังตาขนาดก้อนไข่ แม้กระทั่งลิ้นก็จะขึ้นอืดพองล้นปากออกมาจากฟัน ผิวที่เราเคยเสกสรรปั้นแต่งว่ามีน้ำมีนวล มีความผ่องใส เป็นสิ่งที่น่ายินดีน่าพอใจ เป็นสิ่งที่ห่อหุ้มเรือนกายนี้ไว้ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป สีที่เคยผ่องใส เคยขาวนวล ก็จะเป็นสีกระดำกระด่าง เขียว ๆ แดง ๆ ดำ ๆ จากนั้นก็เริ่มปริแตกขึ้นอืด สิ่งที่ถูกห่อหุ้มไว้ภายในที่เราเคยรังเกียจในส้วมในถานมาแต่ไหนแต่ไร ที่อยู่ที่อาศัยที่แท้จริงเขาอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในกองหนังห่อหุ้มนี่แหละ เมื่อหนังมันปริแตกออกมาแล้ว สิ่งที่ถูกห่อหุ้มไว้ก็ล้นทะลักออกมาภายนอก มีตับไตไส้พุงทั้งหลาย ล้วนล้นทะลักออกมา มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์ร่างกาย เป็นที่ยินดีพอใจของหนอนของแมลง ตอมไปทั่วสรรพางค์ร่างกายตั้งแต่ศีรษะไปจนปลายเท้า ล้วนแต่มีหนอนมีแมลงตอมอยู่ตลอดเวลา นี่แหละ สภาพจริงแท้เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าหญิงไม่ว่าชาย ไม่ว่าเราไม่ว่าเขา ล้วนแต่เป็นอย่างนี้

เมื่อเรากำหนดพิจารณาลงไปจะมีความละเอียดผ่องแผ้วในการพิจารณามากขึ้น แม้ในเบื้องต้นเรายังไม่สามารถวางในสุภะหมดสิ้นไปจากจิตจากใจเราก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ ความคะนองของจิตที่จะคะนองไปในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสมันก็หดกระแสจากความคะนองเข้ามาภายใน จิตนี้จะไม่ค่อยคะนองในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส มันก็ยังสัมผัสเหมือนอย่างเมื่อก่อนนั่นแหละ ตาสัมผัสรูป หูสัมผัสเสียง ลิ้นสัมผัสรส จมูกสัมผัสกลิ่น แต่ว่าเมื่อก่อนจิตจะคะนองไปในทางราคะ แต่บัดนี้เมื่อเราพิจารณาอสุภะอยู่บ่อยเข้า จิตจะหดกระแสเข้ามาจากความคะนอง ความร่มเย็นสบายใจก็เพิ่มพูนมากขึ้น”

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
๑๓ มกราคม ๒๕๖๑








การเจริญวิปัสสนาค้นคว้าในกาย ขั้นเหตุนั้น จงกำหนดคาดหมายเสียก่อนว่า เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ก็เราเคยเห็นมาแล้ว มนุษย์เพื่อนร่วมโลกร่วมสงสาร หญิงชายตายแล้ว เห็นแต่เป็นอย่างนี้ เอาไว้วัน ๒ วัน

ไม่ฉีดยา ก็เหม็น เหม็นเบื่อหน่าย เหม็นน่าเกลียด เหม็นมนุษย์ร้ายกว่าเหม็นหมานั่นแหละ ทำไมเหม็นเน่าขนาดนั้น

จึงว่า อสุภะ อสุภัง เป็นของเปื่อยเน่า เป็นของเหม็น น่าเกลียดเหม็นอย่างสุดยิ่ง นั่นแหละ ปฏิกูลน่าเกลียดสกปรกโสโครก มีหนังหุ้มอยู่ ภายนอกดูเกลี้ยงเกลาหลอกเรา หญิง ชาย หนุ่ม สาว ภายในนั้นมีอะไรบ้าง

ดิน น้ำ ลม ไฟ หลายอย่าง เอ็น กระดูก ชิ้นน้อย ชิ้นใหญ่ ไส้น้อยไส้ใหญ่ ทุกอย่าง อาการ ๓๒ ก็ล้วนแล้วแต่ของปฏิกูลทั้งนั้น

นั่นแหละ เมื่อเอาของภายในออกภายนอกแล้วเป็นอย่างไร ก็มีแต่ของเปื่อยเน่า มีแต่ของปฏิกูลน่าเกลียดทั้งนั้น นั่นแหละทีนี้ ก็เห็นๆ กันมาอย่างนั้น ถึงแม้เรายังไม่เป็น ยังไม่ถึง คนอื่นก็เป็นมาให้เห็นอยู่

บางคนหญิงชายตายแล้ว เก็บไว้คืน ๒ คืน ก็ส่งกลิ่นเหม็นออกมาแล้ว คืนที่ ๓ เอาไปป่าช้าเปิดหีบออก มันขึ้นสีเขียวหมดแล้ว สีเขียว สีดำ หน้าเบ้ อะไรก็ไม่น่าดู เปลี่ยนสภาพหมด มีกลิ่นเหม็น
น้ำเน่าไหลออกจมูก ไหลออกปาก หญิง ชาย โอ๋…น่าเกลียด น้ำเน่านั้น เขาเลิกผ้าออกไปถึงทวารหนัก ทวารเบา น้ำเน่านั้นมันก็ไหลออกจากทวารหนัก ทวารเบา

แพทย์เขาบอกว่า ผู้หญิงมันเน่าทวารเบาก่อน เหม็นเน่า น่าเกลียด ผู้ชายเน่าที่ท้องก่อน เหม็นเน่าน่าเกลียด ปฏิกูลน่าเกลียด แสนที่จะไม่น่าปรารถนา นั่นแหละ เมื่อถึงสภาพนั้น อะไรเป็นเขา เป็นเรา ก็ถามจิตดู

เคยเห็นมาแล้ว หลายร้อยศพ ผลสุดท้ายก็เผาหรือฝัง เมื่อเผาแล้วเป็นอย่างไร ก็เหลือแต่ร่างกระดูกขาวๆ นั่นแหละ อสุภะ อันละเอียด จากนั้นไฟก็สังหารเป็นเถ้าถ่านจนหมด ถ้าฝังถมดินไว้ ดินก็ดูดกลืนกินหมด

เหลือแต่กระดูกธาตุแข็งเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นดีหรอก ของเขาของเรา เมื่อถึงสภาพนั้นแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอย่างนี้

นี่เป็นการเดินวิปัสสนาค้นคว้าในสกลกาย ธาตุขันธ์ อสุภะ คือ ความแก่ อสุภะ คือ ความเจ็บ อสุภะ คือ ความตาย นี่เป็นประจำอยู่ทุกธาตุ ทุกสังขาร แต่แล้วถ้าเราไม่พิจารณา ไม่ค้นคว้า มันก็ไม่เห็นของจริงตามที่พระองค์เจ้าทรงบัญญัติไว้

จากเทปเรื่อง การฝึกจิต (๒๐ ก.ค. ๓๕)
…หลวงปู่จันทา ถาวโร…
วัดป่าเขาน้อย อ. วังทรายพูน จ. พิจิตร









.

#รวบรวมความดี

แล้วก็พยายามรวบรวมความดี คือ

๑. รู้จักให้ทาน ทานให้ตามควร
อย่าให้เกินฐานะ
๒. รู้จักการรักษาศีล
๓. รู้จักการพิจารณาร่างกาย

ทั้ง ๓ อย่างนี้ควบคู่กันไว้ ไม่มากก็น้อย
ต่อมาเมื่อเวลาใกล้จะตายจริงๆ
ร่างกายจะเต็มไปด้วยทุกขเวทนา
ทุกคนมีสภาพเหมือนกันหมด
ไม่มีใครนอนหลับตายอย่างเงียบๆ
ไอ้คนถึงหลับไม่ตื่นนี่ทุกขเวทนามันก็หนัก แล้วเมื่อตื่นก็พูดไม่ได้
เวลานั้นจิตใจก็จะโปร่งจากกิเลส
เพราะมันเต็มไปด้วยทุกขเวทนา
นึกถึงความรักก็ไม่ไหว
นึกถึงความรวยก็ไม่ไหว
นึกถึงความโกรธก็ไม่ไหว
นึกถึงความหนุ่มก็ไม่ไหว
จะหลงร่างกายก็หลงไม่ได้อีก

ต่อมาก็เกิดอารมณ์คิดว่า
ร่างกายนี้เป็นทุกข์ เป็นโทษอย่างนี้
ที่เราเคยคิดอารมณ์มันชิน
เราไม่ต้องการมันอีก
เราขอเกิดแล้วตายชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายอารมณ์นั้นเป็นอารมณ์จริงจัง
ถ้าอารมณ์อย่างนี้เกิดขึ้น
เวลานั้นความเป็นพระอรหันต์จะมีกับท่าน การตายคราวนั้นก็พร้อมกับนิพพาน
ไอ้เรื่องนี้มีตัวอย่างมากนะ

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๒ ฉบับที่ ๓๖๕ หน้า ๕๘
คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์









" ต่อจากนี้ไป มนุษย์จะอยู่ยากแล้วนะ มันกินต้นไม้ได้ มันก็กิน คนมันกินได้ มันก็กิน ภาวนาอย่างน้อยๆเอาให้ได้เป็นเทวดานะ ให้มันผ่านช่วงนี้ไปก่อน แล้วค่อยมาเกิด "
.
โอวาทธรรม หลวงปู่สังข์ สังกิจโจ
วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 122 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO