" บาตรรั่ว เพราะสนิมกัดกร่อนฉันใด
คนปล่อยกิเลสตัณหา ตั้งบ้านเรือนอยู่ในใจได้ ก็ต้องทุกข์ อยู่เช่นนั้นเหมือนกัน "
โอวาทธรรม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท)
" เรามีพอให้ทานนับว่าเรามีวาสนานะ มีอานิสงส์มากนะ เจ้าของทานนี่ไปไหนไปเถอะ ทานจะตามเจ้าของไปเลยนะ ไม่ได้ไปไหนนะ เจ้าของทานไปไหนๆ ทานจะตามไปเลย ตามไปเลยนั่นละบุญของเจ้าของเองล่ะ เจ้าของไปไหนสมบัติบริษัทบริวารจะตามไปๆ เช่น อย่างนักบุญ นักให้ทานเอ้า... ไปไหนไปเถอะไม่อดนะ ทานของเจ้าของนั่นล่ะติดตามเจ้าของไป . . . เจ้าของไปไหนทานจะตามไปเรื่อยๆ” . องค์หลวงตาพระมหาบัว
“ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามใจเรา มันเป็นไปตามธรรมชาติ
ความตาย ความเจ็บไข้ ความวิบัติ เหล่านี้มันเป็นของธรรมดา ไม่ใช่มีมาให้เรากลัว ไม่ใช่มีไว้สำหรับให้เรากลัว แต่มีไว้สำหรับให้เราเรียน ให้เราศึกษา ให้เรากล้าเผชิญหน้า
สิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการของเรา นั่นแหละ มันมาเพื่อให้เราเรียน หรือมาเพื่อสอบไล่ความเก่งของเรา”
ท่านพุทธทาสภิกขุ
อย่าดูที่ไหนมาก ยิ่งกว่าดูใจของตน
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
"อย่าพากันทำสุ่มสี่สุ่มห้า นึกถึงภาวนาเมื่อไรก็มีสติแย็บหนึ่งๆ แล้วมานึกถึงคำบริกรรมคำใดก็เพียงคำสองคำหายไป นอกจากนั้นมีแต่กิเลสเอาความคิดความปรุงไปถลุงเสียทั้งวันทั้งคืน แล้วผลรายได้ก็คือความทุกข์ความเดือดร้อนภายในใจ หาหลักฐานมั่นคงภายในใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตนก็สำคัญว่าตนเป็นนักภาวนา แต่ความจริงนักภาวนามีเพียงอย่างมากห้าเปอร์เซ็นต์ ๙๕% เป็นเรื่องของกิเลสเอาไปถลุงเสียทั้งหมด มันก็ไม่คุ้มค่ากัน ผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควรเพราะเหตุอย่างนี้เอง"
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ๒๒ มกราคม ๒๕๔๖
•"คนที่เชื่อกรรมก็ทำตัวให้ถูกต้องดีงามอยู่โดยสม่ำเสมอ จัดว่าเป็นผู้ที่มีดวงดี ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าระยะนั้นดวงมันขึ้นมันลง เราพาขึ้นดวงก็ขึ้น เราพาลงดวงก็ลง เพราะดวงมันอยู่กับเรา เราพาดีมันก็ดี พาชั่วมันก็ชั่ว ดูไม่ดูมันก็ดีกับชั่วของมันอยู่นั้นแล เราหากไปดูเวลานั้นมันดียังงั้น มันชั่วยังงี้นะ ความจริงมันก็ดีกับชั่วเป็นประจำอยู่แล้ว จากการกระทำดีและชั่วของเรา จากตัวของเรา ซึ่งเป็นตัวดวงหรือเป็นตัวลายของลายมือ ดูตรงนี้เป็นเหมาะที่สุดสำหรับชาวพุทธเรา อย่าพากันคันมืออยู่ไม่เป็นสุขล้วงแต่กระเป๋า นักล้วงไม่หยุดไม่ถอย ไม่เข็ดไม่หลาบ เงินในกระเป๋าไม่เหมือนน้ำในท้องมหาสมุทรก็มีทางหมดไปได้ เพราะมือใหญ่ก็ล้วงมาก มือน้อยก็ล้วงน้อย ย่อมหมดไปได้เหมือนกันจะเอาอะไรมาทน"
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙
เวลามีพระมาหาผมแต่ละคณะๆ ผมก็ถามว่าที่วัดน่ะมันมีทางจงกรมบ้างไหม ผมว่าพระสมัยนี้ทุกวันนี้มันกลัวทางจงกรมเหมือนกับกลัวเสือ คล้ายว่าเห็นเสือหมอบอยู่บนทางจงกรม ก็เลยไม่พากันเดิน ให้พากันทำความใจว่า ข้อวัตรที่ครูบาอาจารย์ได้พาพวกเราปฏิบัติกันมาแต่ก่อน นั้นคือข้อบุญนั้นเอง พวกญาติโยมก็ให้รักษาข้อวัตรเหมือนกัน ข้อวัตรอะไร ทานวัตร ศีลวัตร ภาวนาวัตร ให้รักษาอนุรักษ์ไว้ ถ้าพวกเราไม่อนุรักษ์ไว้รักษาไว้ มันจะหมดไปเสื่อมไป เสียไป เสื่อมที่ไหนละ อันดับแรกมันก็เสื่อมหมดไปจากตัวเรา ใจเรา นี่แหล่ะ เพราะฉะนั้นจึงให้พากันรักษาไว้ เห็นไหม พอหลวงตาจากพวกเราไป มันโผล่ขึ้นมาเลย แรกๆก็เรื่องสีผ้า เขาสั่งให้เอาสีเหลืองๆมาใส่มาห่อ ผมก็เลยบอกหมู่คณะของพวกเราว่าให้อนุรักษ์ไว้ ผ้าแก่นขนุนนี้ที่พวกเราใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ หลวงปู่มั่นท่านอธิษฐานจิตว่า สีผ้าในสมัยครั้งพุทธกาลนั้นท่านใช้กันแบบไหน ท่านว่าพระอรหันต์มาแสดงให้ท่านรู้ ให้ท่านเห็น จึงได้ความมา เพราะฉะนั้นท่านจึงได้พาปฏิบัติรักษามา พวกเราต้องอนุรักษ์ไว้ จะมาให้ใช้ผ้าสีเดียวกันหมดไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทรงปฏิบัติมา ท่านอนุญาตของหกอย่างที่สามารถนำมาย้อมผ้าได้ เวลาผมไปเจอหมู่เพื่อนครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ผมก็ว่าให้พวกเราอนุรักษ์ไว้รักษาไว้ นั้นล่ะให้สำเหนียกไว้ ครูบาอาจารย์ท่านพาปฏิบัติมา รักษาไว้ ข้อวัตรคือข้อบุญ ถ้าไปทิ้งพวกนี้แล้ว มันภาวนาให้เป็นไปไม่ได้
คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
ไม่เคยภาวนา. จะเห็นศาสนาเป็นของอัศจรรย์อะไร?
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
|