นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 12:30 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ธรรมดาของชีวิต
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 07 ก.ค. 2021 5:04 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
""คนจะข้ามน้ำได้ก็ต้องมีเรือฉันใด
มนุษย์ปุถุชนจะข้ามฝั่งไปได้
ก็ต้องอาศัย "บุญ" ฉันนั้น

คำว่าบุญนี่ยิ่งใหญ่ "บุญคือกุศล
คือความดี" ที่จะอุปถัมภ์ค้ำชูให้ไป
ถึงฝั่งต่อไปในภายภาคหน้า

ต่อให้เราสุขภาพดีแค่ไหน
หากไม่หมั่นทำความดี ไม่สะสมบุญ
ย่อมไม่มีวันไปถึงฝั่ง""

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร
วัดป่าปางกี๊ด อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






“การเวียนว่ายตายเกิดของพวกเรามันไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสาระ ไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นเนื้อเป็นหนังเลย แค่มาลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วก็จากไป เราจะเกิดมาเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เกิดมาเป็นเศรษฐีคนมียศถาบรรดาศักดิ์เต็มบ่าไหล่ ก็แค่เกิดมาลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วก็จากไปเท่านั้นแหละ ยศถาบรรดาศักดิ์เงินทองทรัพย์สมบัติก็ทิ้งไว้บนโลกหมด จากไปด้วยดวงจิตดวงนี้แหละ แม้นร่างกายนี้ก็เอาไปด้วยไม่ได้ ได้แต่ทิ้งคืนเจ้าของเดิมเขาไปคือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แหละธรรมชาติภายนอกมันเป็นอย่างนั้น แต่ภายในคือดวงจิตมันไม่ได้แตกดับไปด้วย

เมื่อเราอบรมดีแล้ว มันก็เป็นสมบัติของพวกเรา แต่ถ้าพวกเรามัวแต่ประมาทไม่ได้อบรม กิเลสที่มันฝังรากลึกอยู่ภายในจิตในใจของเรา มันก็สามารถเอากายของเราไปเป็นเครื่องมือของมัน มันก็เลยทำให้เกิดเป็นสมุทัยเป็นตัวเหตุทำให้เกิดทุกข์ พวกเราชาวพุทธอย่าพากันนอนใจ ให้น้อมพากันนำไปประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีลมหายใจอยู่ก็สามารถปฏิบัติธรรมได้หมด สามารถอบรมจิตอบรมใจของเราได้ เพียงแค่กำหนดสติให้กำกับจิตไว้ อยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก หรือจะสำทับคำบริกรรมเข้าไปก็ได้ เช่นหายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” มีสติกำกับไว้ให้ระมัดระวังรักษาจิตให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น อย่างอื่นไม่ต้องไปสนใจ จะมีความนึกคิดปรุงแต่งมีเรื่องราวมากมายก่ายกองไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ก็ปล่อยมันไป อย่าไปสนใจมัน มันจะมีหรือไม่มีความรู้สึกอยู่ในจิตของเราก็ตาม ให้วางมันลงให้หมด อย่าไปสนใจมัน ทั้งดีชั่ว สุขทุกข์ เรื่องของเขามันไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเราวางใจของเราได้แบบนี้ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่มันมีอยู่ มันก็ไม่มีอยู่ในจิตใจของเรา คือไม่มีอยู่ในความรู้สึกของเรา จิตของเราก็อยู่กับลมหายใจเข้า “พุท” ลมหายใจออก “โธ” ได้อย่างแนบแน่น จากนั้นจิตจะค่อย ๆ ละเอียดเข้าไป ก็สามารถหยั่งเข้าสู่ความสงบได้ในที่สุด

พอจิตมันสงบอิ่มพอของจิตแล้ว จิตที่ถอนตัวออกมาจากความสงบก็จะมีแต่ความตั้งมั่นหนักแน่นมั่นคง ที่เราเรียกว่าสมาธิ นี่แหละที่นักภาวนาเราต้องการคือตรงนี้ ต้องการสมาธิ เป็นพื้นฐานของการภาวนา ที่จะก้าวเข้าไปสู่ทางด้านปัญญา ถ้ามีความตั้งมั่นเป็นตัวหนุนทางด้านจิตใจแล้ว เวลาจะคิดอะไรมันก็จะคิดแบบแยบคายรอบคอบที่สุดเลย มันจะไม่ปลีกแวะไม่เหลวไหลอีก เพราะเมื่อก่อนจิตมันไม่มีความตั้งมั่นเป็นพื้นฐาน มันก็เลยเป็นข้าทาสของสังขารอยู่เรื่อยไป แต่ตอนนี้พอเราเริ่มภาวนาเป็นแล้ว จิตมันเริ่มมีความละเอียดมากขึ้นเข้าไป จิตเริ่มมีหลัก พอจะพิจารณา เช่น พิจารณาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็จะอยู่กับสิ่งที่เราพิจารณานั่นแหละ หรือจะพิจารณาอสุภะอสุภังในเรือนกายนี้ก็ให้พิจารณาลงไป ถ้าพวกเราทั้งหลายรู้จักภาวนากัน เริ่มต้นถ้าเรามีความยินดีพอใจหนักแน่นมั่นคงในข้อปฏิบัติ คือ ทาน ศีล และภาวนาแล้ว เชื่อเถิดว่าจิตของบุคคลผู้นั้นจะก้าวเข้าสู่สุคติได้อย่างแน่นอน ก็ขอให้พากันน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติกัน แล้วพวกเราก็จะเป็นผู้เจริญในธรรมของพระพุทธเจ้ากันอย่างแน่นอน”

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒









"ธรรมดาของชีวิต มีแล้วก็กลับไม่มีได้ โลกสลับกันไปมา เหมือนมืดแล้วสว่าง อย่าเสียใจหรือดีใจกับสิ่งใดให้มากนัก"

- พระราชวิสุทธิประชานาถ (หลวงพ่ออลงกต) วัดพระบาทน้ำพุ -









#ไม่มีเจตนาไม่เป็นอาบัติ

เมื่อวานนี้ก็มีท่านหนึ่งที่ไปปลงอสุภะศพที่โรงพยาบาลตำรวจ บังเอิญไปเห็นปัจจัยเขาตกอยู่ เก็บเอามาไว้ พอมาดูของตัวเอง อ้าว! ของเรายังอยู่ ก็เลยเอาไปคืนไว้ แล้วก็สงสัยข้องใจตัวเอง ว่าเก็บของตกนี่เป็นอาบัติหรือเปล่า

ทีนี้ ถ้าหากว่าของนั้นไม่ใช่ของเรา เป็นของที่ตกอยู่ ของตกหล่นซึ่งเป็นของมีค่า เจ้าของเขายังอาลัยในสิ่งของของเขา ถ้าพระภิกษุไปเก็บ ต้องอาบัติตามราคาของสิ่งของ

ถ้ามีราคาต่ำกว่า ๑ บาท ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้าหากว่ามีราคามากกว่า ๑ บาท คือมากกว่า ๕ มาสก มาสกหนึ่ง ๒๐ สตางค์ ๒๐ สตางค์ ๕ หน เป็น ๑ บาท

สมัยโบราณท่านเปรียบเทียบกับทองคำหนักเท่าเมล็ดข้าวเปลือก แล้วก็เทียบออกมาเป็นเงินตรา เป็นราคา ๑ บาท ถ้าสิ่งของเหล่านั้นไม่ใช่ของเรา หรือเราไม่มีข้อสงสัยว่าจะเป็นของเรา ไปหยิบเอาโดยเจตนาก็เป็นอาบัติ ถ้าของนั้นเกินราคา ๑ บาทขึ้นไป ก็เป็นอาบัติปาราชิก

แต่ว่าท่านผู้ที่เก็บเงินตกได้นึกว่าเป็นของตัวเองตกหล่น ก็เลยเก็บมา พอมาสงสัยว่าผมจะเป็นอาบัติไหม เพราะในเมื่อมาดูของตัวเองแล้ว ของเรายังอยู่ จึงเข้าใจว่าของนั้นเป็นของคนอื่นที่ทำตกเอาไว้ ก็เลยเอาไปคืนเขา
นี่ ในลักษณะอย่างนี้ เราไม่มีเจตนา เราไม่มีเจตนาที่จะไปหยิบเอาของของเขา แต่เราเข้าใจว่าเป็น ของของเรา ไม่เป็นอาบัติ เป็นอาบัติเฉพาะจับเงินจับทอง เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ รับเงินทองด้วยมือตัวเอง

เหตุการณ์อย่างนี้เคยเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ปากกาอยู่ในย่าม ปากกาด้ามนั้น มันราคา ๓๐๐ บาท ปาร์คเกอร์สมัยก่อน เอาใส่ย่าม แล้วก็เดินไปในเมือง ย่ามสมัยก่อนมันไม่มีถุงเล็กถุงน้อยเหมือนอย่างทุกวันนี้ ก็เสียบเกาะปากย่าม เวลาดึงเอาของ ของมันก็มาเกาะเอาปากกาหลุดหล่นไม่รู้ตัว จนกระทั่งเข้าไปทำธุระในเมืองหลายชั่วโมง กลับมาแล้วก็มาเห็นปากกาตกหล่น ก่อนที่จะหยิบ ก็ค้นหาปากกาในย่ามของตัวเอง มันไม่มี แล้วมองดูปากกาที่ตกอยู่นั่น มันรูปร่างลักษณะก็เหมือนของเรา แล้วยังแถมมีสลักชื่อด้วย ก็เลยหยิบขึ้นมาดู แต่ถ้าหยิบขึ้นมาดูแล้วไม่เห็นชื่อ เราก็ต้องวางไว้ที่เดิม ในลักษณะอย่างนี้ไม่เป็นอาบัติ

#หลวงพ่อพุธ_ฐานิโย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 111 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO