พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พุธ 07 ก.ค. 2021 5:04 am
""คนจะข้ามน้ำได้ก็ต้องมีเรือฉันใด
มนุษย์ปุถุชนจะข้ามฝั่งไปได้
ก็ต้องอาศัย "บุญ" ฉันนั้น
คำว่าบุญนี่ยิ่งใหญ่ "บุญคือกุศล
คือความดี" ที่จะอุปถัมภ์ค้ำชูให้ไป
ถึงฝั่งต่อไปในภายภาคหน้า
ต่อให้เราสุขภาพดีแค่ไหน
หากไม่หมั่นทำความดี ไม่สะสมบุญ
ย่อมไม่มีวันไปถึงฝั่ง""
โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร
วัดป่าปางกี๊ด อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
“การเวียนว่ายตายเกิดของพวกเรามันไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสาระ ไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นเนื้อเป็นหนังเลย แค่มาลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วก็จากไป เราจะเกิดมาเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เกิดมาเป็นเศรษฐีคนมียศถาบรรดาศักดิ์เต็มบ่าไหล่ ก็แค่เกิดมาลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วก็จากไปเท่านั้นแหละ ยศถาบรรดาศักดิ์เงินทองทรัพย์สมบัติก็ทิ้งไว้บนโลกหมด จากไปด้วยดวงจิตดวงนี้แหละ แม้นร่างกายนี้ก็เอาไปด้วยไม่ได้ ได้แต่ทิ้งคืนเจ้าของเดิมเขาไปคือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แหละธรรมชาติภายนอกมันเป็นอย่างนั้น แต่ภายในคือดวงจิตมันไม่ได้แตกดับไปด้วย
เมื่อเราอบรมดีแล้ว มันก็เป็นสมบัติของพวกเรา แต่ถ้าพวกเรามัวแต่ประมาทไม่ได้อบรม กิเลสที่มันฝังรากลึกอยู่ภายในจิตในใจของเรา มันก็สามารถเอากายของเราไปเป็นเครื่องมือของมัน มันก็เลยทำให้เกิดเป็นสมุทัยเป็นตัวเหตุทำให้เกิดทุกข์ พวกเราชาวพุทธอย่าพากันนอนใจ ให้น้อมพากันนำไปประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีลมหายใจอยู่ก็สามารถปฏิบัติธรรมได้หมด สามารถอบรมจิตอบรมใจของเราได้ เพียงแค่กำหนดสติให้กำกับจิตไว้ อยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก หรือจะสำทับคำบริกรรมเข้าไปก็ได้ เช่นหายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” มีสติกำกับไว้ให้ระมัดระวังรักษาจิตให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น อย่างอื่นไม่ต้องไปสนใจ จะมีความนึกคิดปรุงแต่งมีเรื่องราวมากมายก่ายกองไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ก็ปล่อยมันไป อย่าไปสนใจมัน มันจะมีหรือไม่มีความรู้สึกอยู่ในจิตของเราก็ตาม ให้วางมันลงให้หมด อย่าไปสนใจมัน ทั้งดีชั่ว สุขทุกข์ เรื่องของเขามันไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเราวางใจของเราได้แบบนี้ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่มันมีอยู่ มันก็ไม่มีอยู่ในจิตใจของเรา คือไม่มีอยู่ในความรู้สึกของเรา จิตของเราก็อยู่กับลมหายใจเข้า “พุท” ลมหายใจออก “โธ” ได้อย่างแนบแน่น จากนั้นจิตจะค่อย ๆ ละเอียดเข้าไป ก็สามารถหยั่งเข้าสู่ความสงบได้ในที่สุด
พอจิตมันสงบอิ่มพอของจิตแล้ว จิตที่ถอนตัวออกมาจากความสงบก็จะมีแต่ความตั้งมั่นหนักแน่นมั่นคง ที่เราเรียกว่าสมาธิ นี่แหละที่นักภาวนาเราต้องการคือตรงนี้ ต้องการสมาธิ เป็นพื้นฐานของการภาวนา ที่จะก้าวเข้าไปสู่ทางด้านปัญญา ถ้ามีความตั้งมั่นเป็นตัวหนุนทางด้านจิตใจแล้ว เวลาจะคิดอะไรมันก็จะคิดแบบแยบคายรอบคอบที่สุดเลย มันจะไม่ปลีกแวะไม่เหลวไหลอีก เพราะเมื่อก่อนจิตมันไม่มีความตั้งมั่นเป็นพื้นฐาน มันก็เลยเป็นข้าทาสของสังขารอยู่เรื่อยไป แต่ตอนนี้พอเราเริ่มภาวนาเป็นแล้ว จิตมันเริ่มมีความละเอียดมากขึ้นเข้าไป จิตเริ่มมีหลัก พอจะพิจารณา เช่น พิจารณาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็จะอยู่กับสิ่งที่เราพิจารณานั่นแหละ หรือจะพิจารณาอสุภะอสุภังในเรือนกายนี้ก็ให้พิจารณาลงไป ถ้าพวกเราทั้งหลายรู้จักภาวนากัน เริ่มต้นถ้าเรามีความยินดีพอใจหนักแน่นมั่นคงในข้อปฏิบัติ คือ ทาน ศีล และภาวนาแล้ว เชื่อเถิดว่าจิตของบุคคลผู้นั้นจะก้าวเข้าสู่สุคติได้อย่างแน่นอน ก็ขอให้พากันน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติกัน แล้วพวกเราก็จะเป็นผู้เจริญในธรรมของพระพุทธเจ้ากันอย่างแน่นอน”
พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒
"ธรรมดาของชีวิต มีแล้วก็กลับไม่มีได้ โลกสลับกันไปมา เหมือนมืดแล้วสว่าง อย่าเสียใจหรือดีใจกับสิ่งใดให้มากนัก"
- พระราชวิสุทธิประชานาถ (หลวงพ่ออลงกต) วัดพระบาทน้ำพุ -
#ไม่มีเจตนาไม่เป็นอาบัติ
เมื่อวานนี้ก็มีท่านหนึ่งที่ไปปลงอสุภะศพที่โรงพยาบาลตำรวจ บังเอิญไปเห็นปัจจัยเขาตกอยู่ เก็บเอามาไว้ พอมาดูของตัวเอง อ้าว! ของเรายังอยู่ ก็เลยเอาไปคืนไว้ แล้วก็สงสัยข้องใจตัวเอง ว่าเก็บของตกนี่เป็นอาบัติหรือเปล่า
ทีนี้ ถ้าหากว่าของนั้นไม่ใช่ของเรา เป็นของที่ตกอยู่ ของตกหล่นซึ่งเป็นของมีค่า เจ้าของเขายังอาลัยในสิ่งของของเขา ถ้าพระภิกษุไปเก็บ ต้องอาบัติตามราคาของสิ่งของ
ถ้ามีราคาต่ำกว่า ๑ บาท ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้าหากว่ามีราคามากกว่า ๑ บาท คือมากกว่า ๕ มาสก มาสกหนึ่ง ๒๐ สตางค์ ๒๐ สตางค์ ๕ หน เป็น ๑ บาท
สมัยโบราณท่านเปรียบเทียบกับทองคำหนักเท่าเมล็ดข้าวเปลือก แล้วก็เทียบออกมาเป็นเงินตรา เป็นราคา ๑ บาท ถ้าสิ่งของเหล่านั้นไม่ใช่ของเรา หรือเราไม่มีข้อสงสัยว่าจะเป็นของเรา ไปหยิบเอาโดยเจตนาก็เป็นอาบัติ ถ้าของนั้นเกินราคา ๑ บาทขึ้นไป ก็เป็นอาบัติปาราชิก
แต่ว่าท่านผู้ที่เก็บเงินตกได้นึกว่าเป็นของตัวเองตกหล่น ก็เลยเก็บมา พอมาสงสัยว่าผมจะเป็นอาบัติไหม เพราะในเมื่อมาดูของตัวเองแล้ว ของเรายังอยู่ จึงเข้าใจว่าของนั้นเป็นของคนอื่นที่ทำตกเอาไว้ ก็เลยเอาไปคืนเขา
นี่ ในลักษณะอย่างนี้ เราไม่มีเจตนา เราไม่มีเจตนาที่จะไปหยิบเอาของของเขา แต่เราเข้าใจว่าเป็น ของของเรา ไม่เป็นอาบัติ เป็นอาบัติเฉพาะจับเงินจับทอง เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ รับเงินทองด้วยมือตัวเอง
เหตุการณ์อย่างนี้เคยเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ปากกาอยู่ในย่าม ปากกาด้ามนั้น มันราคา ๓๐๐ บาท ปาร์คเกอร์สมัยก่อน เอาใส่ย่าม แล้วก็เดินไปในเมือง ย่ามสมัยก่อนมันไม่มีถุงเล็กถุงน้อยเหมือนอย่างทุกวันนี้ ก็เสียบเกาะปากย่าม เวลาดึงเอาของ ของมันก็มาเกาะเอาปากกาหลุดหล่นไม่รู้ตัว จนกระทั่งเข้าไปทำธุระในเมืองหลายชั่วโมง กลับมาแล้วก็มาเห็นปากกาตกหล่น ก่อนที่จะหยิบ ก็ค้นหาปากกาในย่ามของตัวเอง มันไม่มี แล้วมองดูปากกาที่ตกอยู่นั่น มันรูปร่างลักษณะก็เหมือนของเรา แล้วยังแถมมีสลักชื่อด้วย ก็เลยหยิบขึ้นมาดู แต่ถ้าหยิบขึ้นมาดูแล้วไม่เห็นชื่อ เราก็ต้องวางไว้ที่เดิม ในลักษณะอย่างนี้ไม่เป็นอาบัติ
#หลวงพ่อพุธ_ฐานิโย
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.